► ความจริงของพระเจ้าเปิดเผยสำแดงแก่คนทั้งปวงด้วยวิธีไหนบ้าง?
เพราะว่าพระเจ้าสำแดงความจริงหลายวิธี แต่เราพูดถึงสองวิธีหลัก ๆ นั่นคือ การสำแดงทั่วไปและการสำแดงพิเศษ เปาโลกล่าวถึงการสำแดงเหล่านี้ในพระธรรมโรม แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้สองคำนี้ก็ตาม
การสำแดงทั่วไป คือสิ่งที่เราสามารถเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าได้โดยการมองสิ่งทรงสร้างของพระองค์ เรามองเห็นสติปัญญาและฤทธิ์เดชอันอัศจรรย์ของพระเจ้าได้ในการออกแบบจักรวาล
เราเห็นสิ่งสำคัญเกี่ยวกับพระเจ้าได้จากวิธีออกแบบสร้างมนุษย์ ข้อเท็จจริงที่เราให้เหตุผลได้ ชื่นชมความงามได้ และบอกได้ถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ถูกและผิด (แม้ว่าจะไม่ได้ถูกต้องเสมอก็ตาม) แสดงให้เราเห็นว่าพระผู้สร้างของเรานั้นต้องมีความสามารถต่าง ๆ เหล่านี้ในระดับที่สูงกว่า เรารู้ว่าพระเจ้าสามารถคิดและสื่อสารได้เพราะเรามีความสามารถเหล่านั้น (ดูใน สดุดี 19:1-4 และ 94:9)
เพราะว่าการสำแดงทั่วไปแสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าพูดได้ เราจึงตระหนักว่าการสำแดงพิเศษก็เกิดขึ้นได้ พระเจ้าเป็นบุคคล[1] และสามารถพูดกับสิ่งทรงสร้างของพระองค์ที่มีเหตุและผลได้ นั่นช่วยให้เราตระหนักว่ามีถ้อยคำต่าง ๆ จากพระเจ้าและแม้แต่มีหนังสือที่มาจากพระเจ้าได้
แม้จะไม่มีพระคัมภีร์ คนก็รู้ว่ามีพระเจ้าที่พวกเขาควรเชื่อฟังโดยการสำแดงทั่วไป และก็รู้ว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อฟังพระองค์ (โรม 1:20) แต่การสำแดงทั่วไปไม่ได้บอกเราว่าจะมาถึงความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าได้อย่างไร การสำแดงทั่วไปแสดงให้เราเห็นถึงความจำเป็นสำหรับการสำแดงพิเศษ เพราะว่าการสำแดงพิเศษแสดงให้เห็นว่าคนนั้นชั่วร้ายและไม่มีข้ออ้างใด ๆ ต่อพระผู้สร้างของตน
การสำแดงทั่วไปแสดงให้เราเห็นว่ามนุษย์ชาติล้มในบาปและมีความผิด การสำแดงพิเศษอธิบายว่าเพราะอะไรมนุษยชาติจึงอยู่ในสภาวะนั้น การสำแดงพิเศษเป็นความจริงที่ได้รับการเปิดเผยผ่านการดลใจแห่งพระคัมภีร์และผ่านการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ การสำแดงพิเศษอธิบายถึงพระลักษณะของพระเจ้า อธิบายถึงการล้มในบาปและบาป และแสดงให้เห็นว่าเราสามารถคืนดีกับพระเจ้าได้อย่างไร
ศึกษาเนื้อหา – พระธรรมโรม ส่วนที่ 2 ตอนที่ 1
หมายเหตุ ต่อเนื่องการศึกษาไปทีละข้อ
► การสำแดงพิเศษบอกอะไรที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่เรารู้จากการสำแดงทั่วไป?
(โรม 1:19) เราเห็นความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าโดยการสังเกตสิ่งทรงสร้าง แม้กระทั่งนักปรัชญาชาวกรีกก็ยอมรับว่าต้องมีความคิดอันสูงส่งบางอย่างที่ควบคุมจักรวาลอยู่ ส่วนสำคัญเป็นพิเศษของการทรงสร้างก็คือธรรมชาติของมนุษย์ เราเห็นความจริงเกี่ยวกับการดำรงอยู่และพระลักษณะอันเป็นธรรมชาติของพระเจ้าโดยสังเกตว่า มนุษย์มีจิตสำนึกด้านศีลธรรมที่รู้ผิดชอบชั่วดี (ดูใน โรม 1:32)
► เมื่อเรามองดูมนุษย์ เราเข้าใจอะไรบ้างเกี่ยวกับพระเจ้า?
(โรม 1:20) มนุษย์รู้ได้ว่าตนถูกสร้างขึ้นจากการทรงสร้าง และรู้ว่าพระเจ้ามีฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจนิรันดร์เหนือพวกเขา นี่เป็นความรู้เพียงพอที่จะทำให้การปฏิเสธพระเจ้าของพวกเขาไม่มีข้อแก้ตัวได้อีก พวกเขาจะถูกพิพากษาความบาปของตนอย่างยุติธรรม พวกเขารู้ว่าตนมีความผิดเนื่องจากการกบฏ[2] ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขารู้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกี่ยวกับพระเจ้าและตนเองก็ทำให้พวกเขาไม่มีข้อแก้ตัว
ความยุติธรรมของพระเจ้ากำหนดว่าความบาปต้องถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นการจงใจก่อนที่พระองค์จะลงโทษบาปนั้น พวกเขาจำเป็นต้องมีความรู้มากพอเพื่อจะตัดสินใจเลือกได้ดีด้วย ถ้าหากมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเลือกทำแตกต่างออกไป พวกเขาก็ไม่อาจอยู่ในสภาพที่มีข้อแก้ตัวไม่ได้ พระเจ้าอธิบายถึงเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง[3]
เกือบทุกวัฒนธรรมในโลกมีข้อสมมุติฐานว่ามีพระเจ้าสูงสุดผู้สร้างโลก พวกเขามักจะนมัสการอำนาจเหนือธรรมชาติอื่น ๆ แทนที่จะนมัสการพระเจ้า เพราะพวกเขารู้ว่าตนเองถูกแยกออกจากพระเจ้าสูงสุด เปาโลไม่ได้พยายามพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้า แต่ชี้ว่าการดำรงอยู่และสิทธิอำนาจของพระเจ้าเป็นที่รู้จักในทุกวัฒนธรรม ความรู้นี้นำไปสู่การสำนึกว่ามีความผิด
การสำแดงทั่วไปมีข้อจำกัดต่าง ๆ ความรู้ถึงพระคริสต์และข่าวประเสริฐไม่ได้รับการเปิดเผยเว้นแต่จะได้รับการการเปิดเผยจากการสำแดงพิเศษ เช่นเดียวกันโลกที่ถูกสร้างขึ้นก็ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างถูกต้องแน่นอน เพราะว่าโลกนั้นอยู่ภายใต้การสาปแช่งเนื่องจากความบาปและไม่แสดงให้เห็นถึงการออกแบบดั้งเดิมอย่างสมบูรณ์ การทรงสร้างเป็นเหมือนภาพวาดที่สวยงามแต่มีรอยเท้าเปื้อนโคลนอยู่ ภาพนั้นเสียหาย แต่ความสวยงามดั้งเดิมบางส่วนยังคงอยู่และแสดงให้เห็นถึงบางสิ่งเกี่ยวกับจิตรกรผู้วาดภาพนั้น
(โรม 1:21-22) พระเจ้าสมควรที่มนุษย์จะถวายเกียรติพระองค์ในฐานะพระเจ้า (นมัสการ) และขอบคุณพระองค์ (สรรเสริญ) แต่แทนที่จะรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่ได้รับจากพระองค์ พวกเขากลับรู้สึกไม่พอใจต่อสิทธิอำนาจของพระองค์ พวกเขาอยากเป็นพระเจ้าเองและรับความนับถือจากทุกสิ่งที่มีอยู่ การกล่าวอ้างโดยไม่อยู่ภายใต้พระเจ้าเช่นนั้นช่างเป็นความโง่เขลา
จิตใจของพวกเขาก็มืดมัวไป จิตใจเป็นตัวแทนของความตั้งใจและความจงรักภักดีของบุคคล ความสว่างเป็นตัวแทนของความจริง เพราะว่าพวกเขาปฏิเสธความจริง พวกเขาจึงสูญเสียความสามารถในการมองเห็นความจริงนั้น พวกเขาสูญเสียความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในฝ่ายวิญญาณและสิ่งที่เป็นนิรันดร์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจโลกในฝ่ายวัตถุอย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน
[4] (โรม 1:23, 25) การจดจ่ออยู่กับตัวเอง กับโลกวัตถุ และการปฏิเสธพระผู้สร้างของพวกเขา นำไปสู่การสร้างเทพเจ้าต่าง ๆ ที่ยกย่องชมเชยธรรมชาติที่ล้มลงในบาปของพวกเขา พวกเขาเอาพระสิริของพระเจ้าไปมอบให้กับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ พวกเขาปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระผู้สร้างและยกย่องสิ่งมีชีวิตเพื่อจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบที่มีต่อพระองค์ ท่าทีนี้เป็นรากฐานของวิวัฒนาการสมัยใหม่และลัทธิมานุษยนิยม ถ้าหากคนผลิตตัวเองขึ้นมาได้ พวกเขาก็สามารถกำหนดวัตถุประสงค์ คุณค่า และความมีศีลธรรมของตัวเองได้ด้วยเช่นกัน
สาระสำคัญของการนับถือรูปเคารพ คือการรับใช้และนมัสการบางสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น การรับใช้บางสิ่ง คือการให้สิ่งนั้นเป็นอันดับแรกในชีวิตและบัญชาชีวิตให้เป็นไปตามลำดับความสำคัญนั้น การนมัสการบางสิ่ง คือการพึ่งพาสิ่งนั้นและเอาพระสิริซึ่งเป็นของพระเจ้าเพียงผู้เดียวไปให้แก่สิ่งนั้น การนับถือรูปเคารพย่อมคาดหวังความพึงพอใจอย่างที่มีพระผู้สร้างผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถให้ได้จากสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น ลัทธิวัตถุนิยมสมัยใหม่คือการนับถือรูปเคารพ คนไม่สามารถยกย่องวัตถุได้โดยไม่นมัสการพระเจ้าน้อยลง
► คนต่างชาติตอบสนองต่อความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร?
(โรม 1:24) ข้อนี้แนะนำประเด็นหลักที่ขยายความใน โรม 1:26-27 ความรักนับถือรูปเคารพย่อมนำไปสู่การผิดศีลธรรม ซึ่งรวมถึงบาปทางเพศ บาปทางเพศทำให้ความปรารถนาทางกายมีความสำคัญเป็นอันดับแรกแต่กลับไม่ให้เกียรติร่างกาย เนื่องจากร่างกายสมควรบริสุทธิ์และอุทิศเพื่องานรับใช้ของพระเจ้า
(โรม 1:26-27) การผิดศีลธรรมเป็นผลลัพธ์ตามธรรมชาติของการยกย่องตนเอง และปล่อยให้ตัณหาที่เห็นแก่ตัวควบคุม เมื่อความปรารถนาควบคุม พวกเขาก็ถูกบิดเบือนไป คนไม่อาจรักคนอื่นได้อย่างถูกต้อง หรือไม่สามารถมีความสุขกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ถ้าหากเขาไม่ได้รักและมีความสุขกับพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม โรม 1:24 แนะนำหัวข้อนี้และแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างการผิดศีลธรรมกับการปฏิเสธพระเจ้า
บาปทุกอย่างคือการบิดเบือนสิ่งดีที่พระเจ้าสร้าง ความวิปริตทางเพศก็เห็นได้ชัดเจนกว่าบาปบางอย่าง ยิ่งคนออกห่างจากทางของพระเจ้ามากเท่าไหร่ คนก็ยิ่งโหดเหี้ยม รุนแรง และวิปริตมากขึ้นเท่านั้น บางคนคิดว่ามีวัฒนธรรมอันเรียบง่ายที่ทำให้ดำเนินชีวิตได้ดีกว่าเนื่องจากไม่ถูกความเจริญทำให้เสื่อมทรามไป ข้อเท็จจริงก็คือคนส่วนใหญ่จากวัฒนธรรมที่ไม่มีอารยธรรมใช้ชีวิตอยู่กับความกลัวตาย กลัวสิ่งเหนือธรรมชาติ ปฏิบัติธรรมเนียมอันโหดเหี้ยม และทุกข์ทรมานจากการดำเนินชีวิตอันชั่วร้ายวิปริต
มนุษย์ถูกสร้างขึ้นให้ทำหน้าที่ในฐานะมนุษย์ซึ่งอยู่ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ถ้าหากมนุษย์แยกออกจากพระเจ้า เขาก็ไม่สามารถเป็นดั่งที่พระเจ้ามุ่งหมายให้มนุษยชาติเป็นได้ เขาขาดแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นอุดมคติของตน คนที่ไม่มีพระเจ้าก็ไม่อาจบรรลุอุดมคติแห่งความเป็นชายและความเป็นหญิงได้ ความวิปริตทางเพศเป็นสิ่งสุดโต่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด แต่ทุกคนก็ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงในด้านอื่น ๆ เช่นเดียวกัน การปฏิเสธพระเจ้าว่าเป็นพระเจ้าก็คือการปฏิเสธมนุษย์ว่าเป็นมนุษย์ การปฏิเสธที่จะนมัสการพระเจ้าก็เป็นการปฏิเสธความเป็นมนุษย์ของตัวเขาเอง
ตรงกันข้ามกับความคาดหมายคือ ผู้ที่นมัสการสิ่งที่ถูกสร้างก็จบลงด้วยการทำให้สิ่งมีชีวิตวิปริตไป ขัดกับธรรมชาติ ถ้าหากคนยอมให้ความปรารถนาต่าง ๆ ตามธรรมชาติของตนเองควบคุม ความปรารถนาเหล่านั้นก็จะกลายเป็นสิ่งผิดธรรมชาติไปอย่างสุดโต่ง
เป็นเรื่องน่าขันที่หากคน ๆ หนึ่งยกย่องความปรารถนาของร่างกายอยู่เหนือพระเจ้า ในที่สุดเขาก็จะปฏิบัติต่อร่างกายด้วยการดูหมิ่น อวัยวะที่ผู้คนยกย่องบูชาในบาปทางเพศก็เป็นอวัยวะเดียวกันที่พวกเขาเอ่ยถึงเมื่อต้องการพูดอะไรที่หยาบโลนและดูหมิ่น
ผู้หญิงมักไม่ปล่อยตัวให้กับการผิดศีลธรรมทางเพศและความวิปริตได้รวดเร็วเท่าผู้ชาย โดยสัญชาตญาณพวกเธออยากจะปกป้องความสมบูรณ์ของครอบครัว การที่ผู้หญิงประพฤติสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นว่าการกระทำชั่วในสังคมของพวกเธอนั้นเต็มที่แล้ว
► รูปแบบความวิปริตที่มักเกิดขึ้นในสังคมของคุณมีอะไรบ้าง?
สภาวะแห่งความชั่วร้ายที่พวกเขาพาตัวเข้าไปก็เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับอย่างยิ่ง สภาวะแห่งความชั่วร้ายก็เป็นการลงโทษบาปอย่างเหมาะสม เพราะสภาวะแห่งความชั่วร้ายก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานและความอับอายเมื่อบาปนั้นเจริญขึ้น ทำให้ความปรารถนาต่าง ๆ ไม่ได้รับความพึงใจ และนำมาถึงผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากการกระทำชั่ว
[1] เราไม่ได้กำลังบอกว่าพระเจ้าเป็นมนุษย์ แต่พระองค์เป็นบุคคล – พระองค์คิด ตั้งใจ และพูดได้ - ไม่ใช่พลังบางอย่างที่ไม่ได้เป็นบุคคล
[2] ดูที่บันทึกเกี่ยวกับพระธรรมโรม 1:32
[3] ดูที่ส่วนย่อยในบทที่ 9 หัวข้อ “ความยุติธรรมของพระเจ้าเกี่ยวกับความยากลำบาก” เพื่ออภิปรายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดนี้
[4]
“ถ้าหากรากแห่งบาปของมนุษย์คือความวิปริตทางศาสนา ผลก็คือการเสื่อมทรามทางศีลธรรม”
- วิลเลี่ยม เกรทเฮ้าส์
Commentary on Romans
Previous
Next