หมายเหตุ ต่อเนื่องการศึกษาไปทีละข้อ
(โรม 1:6) “ทรงเรียก” อ้างอิงถึงการทรงเรียกเพื่อได้รับความรอด เพื่อเป็นประชากรบริสุทธิ์ ดังที่ได้เห็นในข้อต่อไปนี้ (ดูเพิ่มเติมที่ โรม 8:30) เปาโลกล่าวว่าอัครทูตมีพันธกิจต่อชนชาติทั้งปวง เขาชี้แจงว่า คริสเตียนชาวโรมันเป็นผู้เชื่อที่มีข่าวสารของอัครทูต ดังนั้นเขาจึงแสดงให้เห็นว่า พวกเขามีหน้าที่ต้องทำตามสิทธิอำนาจในการเป็นอัครทูตของเขาอย่างจริงจัง จดหมายฉบับนี้ไม่ได้แค่มาจากผู้เผยแพร่ที่พวกเขาเคยได้ยินถึงเท่านั้น พวกเขาเป็นหนี้ความใส่ใจและความนับถือต่อเปาโล ถึงแม้ว่าเปาโลจะไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรของพวกเขาก็ตาม[1]
(โรม 1:7) การทรงเรียกสู่ความรอดเป็นการทรงเรียกให้บริสุทธิ์ คำกล่าวนี้เปรียบเทียบได้กับคำกล่าวในข้อ 1 ที่เปาโลกล่าวว่า เขาเป็นอัครทูตเนื่องจากการทรงเรียกให้เขาเป็น นี่ไม่ได้หมายความว่าเขากำลังพยายามหรือหวังว่าจะเป็นอัครทูต แต่หมายความว่าเขาได้รับการทำให้เป็นอัครทูตโดยการทรงเรียก ผู้เชื่อชาวโรมันได้รับการทำให้บริสุทธิ์โดยการทรงเรียกให้บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับที่การทรงเรียกให้เป็นอัครทูตมาพร้อมกับของประทานและความสามารถต่าง ๆ สำหรับงานพันธกิจนั้น การทรงเรียกให้บริสุทธิ์ก็มาพร้อมกับฤทธิ์อำนาจและการชำระที่ทำให้เราบริสุทธิ์ การทรงเรียกของพระเจ้ามาพร้อมกับพระคุณของพระองค์ที่ช่วยให้การทรงเรียกสำเร็จเสมอ
ความบริสุทธิ์ที่เริ่มต้นเมื่อกลับใจมาเชื่อไม่ได้สมบูรณ์ในทุกด้าน ผู้เชื่อควรเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนอย่างต่อเนื่องให้เข้ากับความจริงของพระเจ้าเมื่อเขาเรียนรู้ถึงความจริงของพระองค์ ความบริสุทธิ์ไม่ได้สมบูรณ์เมื่อมีการกลับใจมาเชื่อ แต่ความบริสุทธิ์เริ่มต้นที่การกลับใจมาเชื่อเมื่อคนบาปกลับใจใหม่ อุทิศตนเชื่อฟังพระเจ้า และได้รับการทำให้เป็นคนใหม่ (2 โครินธ์ 5:17)
(โรม 1:8) คำว่า โลก มักใช้อ้างอิงถึงโลกที่เจริญแล้วซึ่งเป็นที่รู้จักในเวลานั้น มากกว่าจะหมายถึงทั้งโลก ข่าวประเสริฐยังไม่ได้ไปทั่วทุกแห่งในโลก
(โรม 1:9) คำว่า ลาทริวโอ [ข้าพเจ้าได้รับใช้’] ในพันธสัญญาใหม่ใช้กับการรับใช้ในทางศาสนาเสมอ...การรับใช้นี้อาจประกอบด้วยการนมัสการหรือการปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ในทางศาสนา”[2] เปาโลรับใช้พระเจ้า ไม่ใช่แค่ในรูปแบบกิจกรรมทางศาสนา แต่ด้วยชีวิตจิตใจของเขา
(โรม 1:10-12) ที่นี่เปาโลบอกกับพวกเขาว่า เขาวางแผนจะไปเยี่ยมเยียนที่กรุงโรม และอยากจะเสริมสร้างพวกเขาให้เข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ เปาโลรู้ว่าพวกเขาจะได้หนุนใจซึ่งกันและกันโดยความเชื่อของทั้งสองฝ่าย
คำกล่าวของเปาโลบอกเราว่า ผู้เชื่อได้รับประโยชน์ฝ่ายวิญญาณจากการสามัคคีธรรมร่วมกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้การงานของพระองค์สำเร็จได้มากในผู้เชื่อทั้งหลายผ่านทางผู้เชื่อคนอื่น ๆ คนที่ละเลยความสัมพันธ์ของเขากับผู้เชื่อคนอื่น ๆ จะสูญเสียผลประโยชน์จากพระคุณอันมั่นคงซึ่งมาจากการสามัคคีธรรม (เปาโลกล่าวอย่างครอบคลุมถึงความจำเป็นที่สมาชิกแต่ละคนจะต้องมีผู้เชื่อคนอื่น ๆ ใน 1 โครินธ์ 12)
(โรม1:13) ในแผนการที่จะมาเยี่ยมเยียนพวกเขาก่อนหน้านี้ เปาโลมีเหตุขัดข้อง - ไม่ได้ขัดข้องเพราะปัญหา แต่มีเหตุขัดข้องจากลำดับความสำคัญที่ต้องเทศนาข่าวประเสริฐในที่ ๆ คนไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐก่อน (ดู 15:20-22) มีคนเทศนาข่าวประเสริฐที่กรุงโรมแล้ว เปาโลจึงไปที่อื่น ๆ ก่อน อย่างไรก็ตาม การมากรุงโรมครั้งนี้ก็ไม่ได้ขัดแย้งกับลำดับความสำคัญของเขา เนื่องจากการมาเยี่ยมเยียนที่นั่นจะนำเขาไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึง (15:23-24)
(โรม 1:14) ชาวกรีก เป็นคนที่มีวัฒนธรรมและเจริญแล้วโดยอิทธิพลกรีก คำว่า ชาติอื่น ๆ หมายถึง “คนต่างด้าว” ซึ่งอ้างอิงถึงคนที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมกรีกเพียงเล็กน้อย คนกรีกมองคนชาติอื่น ๆ ว่าเป็นคนที่ไม่เจริญและโง่เขลา
คำว่า นักปราชญ์ อ้างอิงถึงคนที่ได้รับการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านปรัชญากรีก คนที่ไม่มีการศึกษา คือคนที่ไม่ได้รับการศึกษาสูง ๆ เปาโลแสดงให้เห็นว่าพันธกิจของเขาไม่ได้จำกัดเฉพาะกับคนบางประเภทเท่านั้น สิ่งนี้เตรียมพันธกิจเขาให้พร้อมสำหรับพวกเขา และแสดงให้เห็นถึงบทบาทของเขาในฐานะมิชชันนารีด้วยเช่นกัน
เปาโลกล่าวว่า เขาเป็นหนี้ต่อทุกคนที่จำเป็นต้องได้ยินข่าวประเสริฐ เปาโลไม่ได้เป็นหนี้เพราะว่าคนบาปจำเป็นต้องได้ยินถึงข่าวประเสริฐ หากเป็นหนี้เพราะว่าตัวเขานั้นได้รับพระคุณ และได้รับข้อผูกมัดให้มอบพระคุณ
ตัวอย่างประกอบ: ถ้าหากมีบางคนให้เงินจอห์นเพื่อไปแบ่งให้โธมัส ตอนนี้จอห์นก็เป็นหนี้โธมัสแล้ว ถึงแม้ว่าโธมัสอาจจะไม่ได้ทำอะไรเพื่อให้ได้เงินนั้นมาเลยก็ตาม เช่นเดียวกัน เราเป็นหนี้คนที่ไม่ได้ยินข่าวประเสริฐ เพราะพระเจ้าได้ให้ความรับผิดชอบแก่เราเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพวกเขา
► คริสเตียนทุกคนเป็นหนี้ที่จะต้องแบ่งปันข่าวประเสริฐหรือไม่? เพราะอะไร?
(โรม 1:15) เปาโลเทศนาต่อชาวกรีกและชาติอื่น ๆ แล้ว ตอนนี้เขากระตือรือร้นที่จะเทศนาข่าวประเสริฐต่อคนในกรุงโรมด้วย
เขาเริ่มต้นสาระสำคัญหลักโดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจึงขวนขวายที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา” จากนั้นอธิบายสั้น ๆ ว่า ข่าวประเสริฐคืออะไร และเพราะอะไรโลกจึงต้องการข่าวประเสริฐ คำอธิบายสั้น ๆ นี้ถูกขยายความออกไปตลอดทั้งจดหมายฝาก
โรม 1:14-15 แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า เพราอะไรเปาโลจึงมีคุณสมบัติที่จะมาหาพวกเขา เขามีข่าวสารสำหรับทุกคนในโลกนี้[3]
(โรม 1:16) ข่าวประเสริฐมีไว้สำหรับคนยิวและคนกรีก และคำกล่าวนี้แนะนำหัวข้อเกี่ยวกับคนยิวและคนต่างชาติ และการยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าของพวกเขา หัวข้อนี้ดำเนินต่อไปจนถึงพระธรรมโรม 3 เปาโลจะไม่ละอายต่อข่าวประเสริฐแม้กระทั่งเมื่ออยู่ในศูนย์กลางอำนาจของจักรวรรดิ เพราะว่าข่าวประเสริฐเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า
ฤทธานุภาพของพระเจ้ากำลังทำงานอยู่ในเนื้อหาข่าวประเสริฐให้มีประสิทธิผลในการช่วยให้รอด คำบัญชาของพระเจ้ามาพร้อมกับฤทธานุภาพที่จำเป็นต่อการทำให้คำบัญชานั้นสำเร็จเสมอ ฤทธานุภาพของพระเจ้าทำงานในขณะที่พระวจนะของพระองค์ถูกกล่าวออกมา[4] ผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐพึ่งพาฤทธานุภาพของข่าวประเสริฐ เพราะเมื่อพวกเขาสื่อสารข่าวสารนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทำให้ข่าวสารนั้นมีพลังและทำให้ผู้ฟังสำนึกผิด
สำหรับเปาโลแล้ว การยืนหยัดเพื่อข่าวประเสริฐไม่เพียงแค่หมายถึงการปกป้องข่าวประเสริฐในฐานะความจริงที่มีจุดมุ่งหมายเท่านั้น แต่คือการเทศนาข่าวประเสริฐในฐานะความจริงที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย เขาประกาศข่าวประเสริฐด้วยความเชื่อมั่นว่า ข่าวประเสริฐจะเปลี่ยนแปลงผู้ฟังของเขา
► เพราะอะไรเราจึงควรมีความเชื่อมั่นเวลาที่เทศนาข่าวประเสริฐ?
(โรม1:17) คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ [5] นี่เป็นความจริงอันเป็นศูนย์กลางและมีความสำคัญที่สุดในพระธรรมโรม
จดหมายฝากโรมทั้งฉบับว่าด้วยหัวข้อเกี่ยวกับการที่มนุษย์ถูกนับเป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร นั่นก็คือ ได้รับการทำให้เป็นคนชอบธรรม (มีความชอบธรรมของพระเจ้า) ความเร่งด่วนของประเด็นนี้ปรากฏอยู่ในข้อถัดไป เพราะพระพิโรธของพระเจ้าก็พร้อมอยู่สำหรับคนที่ยังคงอยู่ในความอธรรม
ความชอบธรรมของพระเจ้าที่พูดถึงที่นี่ไม่ใช่ “พระลักษณะความชอบธรรมของพระองค์...แต่เป็นความชอบธรรมที่หลั่งไหลออกมาและเป็นที่ยอมรับต่อพระองค์”[6] ความชอบธรรมของพระเจ้าทำงานอยู่ในมนุษย์โดยทางความเชื่อของพวกเขา แนวคิดเดียวกันปรากฏอยู่ใน ฟีลิปปี 3:9 “คือความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้าโดยความเชื่อ” คนไม่ได้เพียงถูกนับว่าชอบธรรมเนื่องจากการยกโทษเท่านั้น แต่พวกเขาเริ่มต้นเป็นคนชอบธรรมอย่างแท้จริงเพราะว่าพระเจ้าเปลี่ยนแปลงพวกเขา
ต่อมาในจดหมาย (โรม 3:21-22) เปาโลกล่าวว่า ความชอบธรรมของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซูมีไว้สำหรับทุกคนที่เชื่อ ในโรม 5:17-19 เราพบว่าของประทานแห่งความชอบธรรมทำให้คนจำนวนมากเป็นคนชอบธรรม
[7] วลี “โดยความเชื่อและเพื่อความเชื่อ” เน้นว่า ความเชื่อเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้ได้รับความชอบธรรม วลีนี้สอดคล้องกับจุดเน้นของนิกายโปรเตสแตนต์ที่เน้นว่าความเชื่อเท่านั้นเป็นข้อกำหนดสำหรับความรอด
[8] ในพระธรรมโรม คำว่า ความตาย อ้างอิงถึงการพิพากษาของพระเจ้า มีเพียงคนชอบธรรมที่ดำรงชีวิตโดยความเชื่อเท่านั้นที่ถูกละเว้นจากการพิพากษา (ดูที่ โรม 1:18) พระพิโรธของพระเจ้าจะเทลงมายังทุกคนยกเว้นคนที่รอดพ้นได้โดยความเชื่อ
► การเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อมีความหมายว่าอะไร?
► ในเนื้อหาตอนนี้ การมีชีวิตอยู่หมายถึงอะไร? ความตายคืออะไร? ความเชื่อเป็นวิธีการที่ทำให้มีชีวิตอยู่นั้นมีความหมายว่าอะไร?
[1] ดูบันทึกเกี่ยวกับพระธรรมโรม 1:14-15
[3] ดูที่บันทึกเกี่ยวกับพระธรรมโรม 1:5-6
[4] ดูใน 1 เปโตร 1:23 & 25, โรม 1:16, ฮีบรู 4:12, 1 โครินธ์ 1:18 เอเศเคียล 37:7-10, และอิสยาห์ 55:11 ด้วยเช่นกัน
[5] เปาโลอ้างอิงจาก ฮาบากุก 2:4
[7]
“ความเชื่อคือความมั่นใจที่มีชีวิตและกล้าหาญในพระคุณของพระเจ้า ดังนั้นจึงแน่ใจได้ว่าคน ๆ หนึ่งสามารถเดิมพันชีวิตของเขากับความเชื่อได้เป็นพันเท่า”
- มาร์ติน ลูเธอร์
[8]
“จุดมุ่งหมายทั่วไปของจดหมายฝากฉบับนี้คือเพื่อเผยแพร่ถึงวัตถุประสงค์อันเป็นนิรันดร์และไม่เปลี่ยนแปลง หรือการตัดสินของพระเจ้า นั่นคือ ‘คนที่เชื่อจะรอด หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า คนที่เชื่อจะไม่พินาศ’”
- จอห์น เวสเลย์
“Predestination Calmly Considered”
Previous
Next