หลังจากอธิบายถึงบุคคลที่มองดูตัวเองในกระจกเงาแล้วจากนั้นก็ลืมว่าตัวเองมีลักษณะอย่างไร ยากอบ ก็อธิบายถึงบุคคลผู้ประยุกต์ใช้พระคัมภีร์อย่างถูกต้องในชีวิตของเขา “แต่ผู้ที่พินิจพิจารณาธรรมบัญญัติอันสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นธรรมบัญญัติแห่งเสรีภาพและตั้งมั่นในธรรมบัญญัตินั้น ไม่ได้เป็นผู้ที่ฟังแล้วก็ลืม แต่เป็นผู้ที่ประพฤติตาม ผู้นั้นจะได้รับความสุขในการประพฤติของตน” (ยากอบ 1:25) การเพียงได้ยินพระวจนะนั้นยังไม่พอ เราต้องประยุกต์ใช้พระวจนะด้วย อะไรคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการประยุกต์ใช้พระคัมภีร์อย่างถูกต้อง?
เพื่อจะประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ได้อย่างถูกต้อง คุณต้องทำสามสิ่งต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1: รู้ความหมายของพระคัมภีร์
นี่คือสาเหตุที่บทเรียนเรื่องการสังเกตและการตีความจึงมีความสำคัญ หากเราไม่รู้เนื้อหาพระคัมภีร์ การประยุกต์ใช้ของเราก็จะไม่ถูกต้อง เราเริ่มต้นขั้นตอนการประยุกต์ใช้โดยการถามว่า “คริสเตียนในศตวรรษแรกใช้พระคัมภีร์ข้อนี้ในโลกของพวกเขาอย่างไร?”
ยกตัวอย่างเช่น เปาโลเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟีลิปปี 4:13) ผู้สอนบางท่านได้ยึดเอาข้อนี้เป็นคำสัญญาว่าเราสามารถบรรลุทุกสิ่งได้ตามที่ใจเราปรารถนาเพราะ “พระคริสต์เสริมกำลังข้าพเจ้า” นักกีฬาประกาศว่า “เราจะชนะในการแข่งขันวันนี้เพราะ ‘ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระคริสต์’” ผู้รักษาโรคที่มีความเชื่อในพระเจ้ายืนยันกับผู้ฟังว่า “ถ้าคุณมีความเชื่อมากพอ คุณจะได้รับการรักษาโรคเพราะ ‘คุณเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระคริสต์’” นักเทศน์พระกิตติคุณเทียมเท็จแห่งความมั่งคั่งประกาศว่า “พระเจ้าต้องการทำให้คุณร่ำรวย สิ่งที่คุณต้องทำคือร่วมมือกับพระเจ้า คุณ ‘เผชิญได้ทุกอย่างโดยคริสต์’”
เมื่อเราถามว่า “คริสเตียนที่ฟีลิปปีประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ข้อนี้อย่างไร?” เราพบว่านี่ไม่ได้เป็นคำสัญญาสำหรับความสำเร็จทางโลก แต่เป็นคำสัญญาเกี่ยวกับความอดทนยืนหยัดฝ่ายวิญญาณ เปาโลถูกจับกุมในกรุงโรม ผู้ฟังของเขาเผชิญกับการข่มเหง เปาโลไม่ได้หมายความว่าเขาประสบความสำเร็จทางโลก แต่บอกว่าเขาสามารถยืนหยัดได้ในทุกสถานการณ์โดยความเชื่อและการเชื่อฟัง เปาโลเรียนรู้ที่จะพอใจในทุกสถานการณ์เพราะโดยทางพระคริสต์ เขาสามารถทำสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เขาทำ นี่ไม่ได้หมายถึงชีวิตที่สะดวกสบาย แต่หมายความว่าเขาไม่สูญเสียจิตวิญญาณแห่งความพอใจเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก
ขั้นตอนที่ 2: เข้าใจวิธีนำพระคัมภีร์มาประยุกต์ใช้กับชีวิต
เปาโลเตือนทิโมธีว่าเขาต้องรู้จักตัวเองเพื่อจะรับใช้ผู้อื่นได้อย่างเกิดผล “จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน จงประพฤติสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ เพราะเมื่อทำอย่างนี้แล้ว ท่านจะสามารถช่วยทั้งตัวท่าน และทุกคนที่ฟังท่านให้รอดได้” (1 ทิโมธี 4:16) เมื่อทิโมธีเอาใจใส่ทั้งต่อตัวเองและต่อหลักคำสอนที่เขาเทศนา เขาก็จะรับใช้ผู้ฟังของเขาได้อย่างเกิดผล
หลังจากที่ผมรู้เนื้อหาพระคัมภีร์และวิธีประยุกต์ใช้กับผู้ฟังกลุ่มแรกแล้ว ผมต้องรู้จักตัวเองและวิธีประยุกต์ใช้เนื้อหาพระคัมภีร์นั้นกับโลกที่ผมอยู่ บางทีผมอาจมองดูตัวเองและเห็นว่าผมมักจะคาดหวังให้พระเจ้าอวยพรและช่วยเหลือผม ฟีลิปปี 4:13 บอกให้ผมเผชิญหน้ากับความท้าทายของชีวิตด้วยความมั่นใจเพราะ “ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”
ตอนนี้การประยุกต์ใช้ชัดเจนและเจาะจง ถัดจากข้อนี้ ผมอาจะเขียนว่า “เมื่อทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการข่มเหงค่านิยมของคริสเตียน ผมจะไว้วางใจในพระคุณของพระเจ้าที่จะเสริมกำลังผมให้สัตย์ซื่อ ผมเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระคริสต์” นี่คือการนำข้อพระคัมภีร์จากศตวรรษที่ 1 มาสู่ศตวรรษที่ 21
การประยุกต์ใช้พระคัมภีร์อย่างถูกต้องจะได้ผลในโลกแห่งความเป็นจริง พระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับทุกด้านของชีวิต เมื่อผมนำพระคัมภีร์มาประยุกต์ใช้ ผมไม่ได้ถามว่า “การประยุกต์ใช้พระคัมภีร์นี้ในเชิง ‘ศาสนา’ คืออะไร?” แต่ผมจะถามว่า “พระคัมภีร์นี้จะถูกนำไปประยุกต์ใช้กับทุกด้านของชีวิตได้อย่างไร?”
จอห์น เวสเลย์ เขียนเอาไว้ว่า “ข่าวประเสริฐของพระคริสต์ไม่รู้จักศาสนาใด ๆ ยกเว้นเรื่องสังคม ไม่รู้เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ยกเว้นเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ทางสังคม”[1] เราใช้ชีวิตตามข่าวประเสริฐไม่ใช่ในฐานะพระภิกษุที่ซ่อนตัวจากสังคม แต่ในฐานะผู้เชื่อที่สัมพันธ์กับผู้อื่น เราเติบโตในความบริสุทธิ์ไม่ใช่ด้วยการแยกตัวจากผู้อื่น แต่ภายในบริบทของชุมชนคริสตจักร
ก่อนหน้านี้เราดูใน เอเฟซัส 4:29 เมื่อพิจารณาถึงการประยุกต์ใช้ข้อพระคัมภีร์นี้ ผมควรนำไปใช้กับความสัมพันธ์ของผมกับคริสเตียนด้วยกัน นั่นคือ “คำพูดของผมเสริมสร้างเพื่อนผู้เชื่อหรือทำลายพวกเขา” ผมควรเชื่อมโยงข้อพระคัมภีร์นี้กับครอบครัวของผม “การสนทนาของผมเสริมสร้างครอบครัวของผมหรือทำลายความเชื่อมั่นของคู่สมรสและลูกๆ ของผม” ผมควรเชื่อมโยงข้อพระคัมภีร์นี้กับงานของผมคือ “ผมเป็นพนักงานที่พูดถ้อยคำเชิงบวกหรือผมแพร่กระจายความคิดเชิงลบ” เอเฟซัส 4:29 เกี่ยวข้องกับทุกด้านของชีวิต
นี่คือเหตุผลที่เปาโลเขียนไว้ว่า ทาสที่มีความสัมพันธ์อย่างถูกต้องกับเจ้านายของพวกเขาย่อมจะสำแดงให้เห็นว่าหลักคำสอนของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรานั้นดีงามในทุกอย่าง (ทิตัส 2:10) การประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ด้วยความระมัดระวังทำให้ข่าวประเสริฐเป็นที่น่าดึงดูดใจแก่ผู้คนรอบตัวเรา
ขั้นตอนที่ 3: เชื่อฟังพระคัมภีร์
เป้าหมายสูงสุดของการศึกษาพระคัมภีร์คือการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ใน 2 ทิโมธี 2:3-6 เปาโลอธิบายถึงคริสเตียนว่าเป็นดั่งทหาร นักวิ่งแข่ง และชาวนา ทั้งสามภาพนี้อธิบายถึงใครบางคนที่ยืนหยัดเพื่อการบรรลุเป้าหมาย ทหารไม่หยุดพักในช่วงทำสงคราม นักวิ่งแข่งไม่หยุดกลางทางบนลู่วิ่ง ชาวนาไม่หยุดไถนาจนกว่าจะงานจะเสร็จ ชีวิตคริสเตียนจำเป็นต้องทรหดอดทน “ขอให้เรายังคงวิ่งแข่งด้วยความทรหดอดทนในการแข่งขันที่อยู่ข้างหน้าเรา” (ฮีบรู 12:1)
ขณะที่คุณศึกษาพระคัมภีร์ ให้ถามว่า “มีด้านใดในชีวิตของฉันที่ฉันควรปฏิบัติตามความจริงนี้หรือไม่?” ร้องขอพระเจ้าช่วยให้คุณประยุกต์ใช้ความจริงนี้ในชีวิตของคุณได้อย่างเป็นระบบ เมื่อคุณทำเช่นนี้ พระเจ้าจะเปิดเผยความจริงให้แก่คุณมากขึ้น คุณก็จะมีความโหยหาอาหารฝ่ายวิญญาณมากขึ้นอีก
ถ้าพระเจ้าตรัสผ่าน เอเฟซัส 4:29 เพื่อให้คุณสำนึกผิดเรื่องคำพูดของคุณ คุณก็ควรทุ่มเทฝึกพูดด้วยคำพูดที่เสริมสร้าง อาจเป็นเรื่องง่ายๆ เช่น การขอพระเจ้าให้โอกาสคุณเพื่อพูดถ้อยคำแห่งพระคุณในชีวิตของใครบางคนวันละหนึ่งครั้ง หรืออาจหมายถึงการขอให้เพื่อนที่ไว้ใจได้เตือนคุณเมื่อพวกเขาได้ยินว่าคุณใช้การสื่อสารที่เป็นอันตราย นี่จะกลายเป็นวิธีฝึกปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำทุกวัน
ในวิทยาลัย มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ต่อสู้กับสิ่งล่อใจบางอย่าง เจสันชื่นชอบดนตรี รวมถึงเพลงบางเพลงที่มีเนื้อหาล่อใจในจุดอ่อนของเขา เจสันต้องการเอาชนะการล่อใจนี้ แต่เขากลับไม่นำพระคัมภีร์มาประยุกต์ใช้กับชีวิตของเขาอย่างสม่ำเสมอ
ในเดือนกันยายน โรงเรียนจะมีงานฟื้นฟู เจสันจะออกไปที่ด้านหน้าเวทีเพื่อตอบสนองเสมอ เขาจะกลับมาที่หอพักและเอาดนตรีที่ไม่เหมาะสมของเขาโยนทิ้ง เขามีคำพยานที่สดใสอย่างนี้เป็นเวลาสองหรือสามสัปดาห์ จากนั้นเขาก็เริ่มซื้อแผ่นเสียงใหม่ในแนวนี้ ไม่นานนัก เขาก็ท้อใจ จนมาถึงเดือนพฤศจิกายน เขาจะพูดว่า “ผมกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว”
ในเดือนกุมภาพันธ์ โรงเรียนจะมีงานประชุมใหญ่ทางด้านพระคัมภีร์ เจสันก็จะออกไปหน้าเวทีเพื่อตอบสนอง เขาก็จะโยนแผ่นเสียงของเขาทิ้งและมีคำพยานที่สดใสไปอีกไม่กี่สัปดาห์ จากนั้นในเดือนเมษายน เขาก็จะซื้อแผ่นเสียงเพิ่มขึ้นและวัฏจักรนี้ก็เริ่มอีกรอบ!
เจสันจำเป็นต้องมีสิ่งใด? การตีความที่ดีขึ้นไหม? ไม่เลย! เขารู้ตัวว่ามีจุดอ่อนอะไร เขารู้ว่าพระคัมภีร์บอกอะไรเกี่ยวกับการรักษาความคิดจิตใจให้บริสุทธิ์ เขารู้ถึงผลกระทบของดนตรีประเภทนั้นต่อวิถีชีวิตฝ่ายวิญญาณของเขา ปัญหาของเจสันไม่ใช่การตีความ แต่เขาจำเป็นต้องฝึกนำสิ่งที่เขารู้มาสู่การปฏิบัติ
มีการประยุกต์ใช้ด้านใดที่คุณจำเป็นต้องฝึกปฏิบัติบ้าง?
[1] Preface to John and Charles Wesley’s 1739 edition of
Hymns and Sacred Poems.
Previous
Next