วัตถุประสงค์ประการหนึ่งของหลักสูตรนี้คือเพื่อช่วยให้คุณเติบโตขึ้นในการศึกษาพระคัมภีร์และประยุกต์ใช้ในชีวิตส่วนตัว ก้าวแรกที่ดีคือการประเมินแนวทางปฏิบัติในการอ่านพระคัมภีร์ของคุณในปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา
► ใช้เวลาสักสองสามนาทีเพื่ออภิปรายร่วมกันถึงแนวทางปฏิบัติในการอ่านพระคัมภีร์ของคุณในปัจจุบัน นี่ไม่ใช่เวลามาวิจารณ์ตัดสินกัน แต่เป็นเวลาสะท้อนคิดถึงคำถามที่ว่า “ฉันกำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร?” มีคำถามบางประการให้คิดดังต่อไปนี้
ฉันอ่านพระคัมภีร์บ่อยแค่ไหน?
เมื่อฉันอ่านพระคัมภีร์ ฉันใช้เวลามากแค่ไหน?
ฉันเลือกพระคัมภีร์แต่ละตอนอย่างไรเพื่อการอ่าน?
ฉันเข้าใจในสิ่งที่ฉันกำลังอ่านอยู่ไหม?
ฉันจดจำสิ่งที่ฉันอ่านได้ไหม?
ฉันสามารถประยุกต์ใช้กับชีวิตของฉันได้ไหม?
อะไรคือเหตุผลสองถึงสามประการที่ทำให้ฉันไม่อ่านพระคัมภีร์มากขึ้น?
ซามูเอลเป็นคริสเตียนชาวใต้หวันคนหนึ่ง เขาเป็นคริสเตียนมาแล้ว 15 ปี แต่มีสัญญาณของการเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณแสดงให้เห็นเพียงไม่กี่อย่าง เขาผิดหวังกับความขาดแคลนในการเติบโตฝ่ายวิญญาณของเขา หลังจากพิธีนมัสการในเช้าวันอาทิตย์ ความผิดหวังของเขาก็ปรากฏให้เห็น “อาจารย์ คุณบอกให้ผมอ่านพระคัมภีร์ คุณบอกว่าพระเจ้าจะพูดกับผมผ่านทางพระวจนะของพระองค์ ผมพยายามแล้ว! ผมอ่านพระคัมภีร์ทุกเช้า แต่ผมไม่ได้รับอะไรเลย มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
ศิษยาภิบาลตอบว่า “ซามูเอล บอกผมสิว่าคุณอ่านพระคัมภีร์อย่างไร” คำตอบของซามูเอลชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญในการต่อสู้ดิ้นรนของเขา เขาตอบว่า “ทุกเช้าก่อนไปทำงาน ผมเปิดพระคัมภีร์และอ่านหนึ่งข้อ” ศิษยาภิบาลถามต่อว่า “คุณอ่านจนจบพระธรรมหรือจบบทก่อนจะอ่านบทอื่นๆ ไหมครับ?” “ไม่เลยครับ ผมแค่อ่านหนึ่งข้อทุกๆ เช้า - ไม่ว่าพระคัมภีร์ของผมจะเปิดไปหน้าไหน มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรเลย!”
เพื่อช่วยให้ซามูเอลเข้าใจถึงปัญหาของการอ่านพระคัมภีร์ในลักษณะนี้ ศิษยาภิบาลขอให้เขาเปิดพระคัมภีร์และอ่านข้อแรกที่เขาเห็น ซามูเอลอ่านว่า “คนเหล่านั้นที่อยู่ในเนเกบจะได้ภูเขาเอซาวเป็นกรรมสิทธิ์ คนเหล่านั้นที่อยู่ในเนินเชเฟลาห์จะได้แผ่นดินฟีลิสเตียเป็นกรรมสิทธิ์ พวกเขาจะยึดแผ่นดินเอฟราอิมและแผ่นดินสะมาเรียเป็นกรรมสิทธิ์ และเบนยามินจะได้กิเลอาดเป็นกรรมสิทธิ์” (โอบาดีห์ 1:19)
จากนั้นศิษยาภิบาลจึงถามคำถามบางประการกับซามูเอล “เนเกบอยู่ที่ไหน? เนินเชเฟลาห์อยู่ที่ไหน? แผ่นดินเอฟราอิมอยู่ที่ไหน? สะมาเรียล่ะ? เบนยามินล่ะ? กิเลอาดล่ะ?” คำตอบสำหรับทุกคำถามคือ “ผมไม่รู้ครับ” ในสัปดาห์ต่อมา พวกเขาเริ่มต้นศึกษาพระคัมภีร์ในหัวข้อ “วิธีอ่านพระคัมภีร์” ในช่วงระหว่างหลายสัปดาห์ต่อมา ซามูเอลเริ่มต้นเรียนรู้หลักการบางอย่างในการตีความพระคัมภีร์ เขาเรียนรู้ที่จะเข้าใจว่าพระคัมภีร์พูดกับเราอย่างไรในทุกวันนี้
เป้าหมายของหลักสูตรนี้คือเพื่อช่วยให้คุณเรียนรู้และประยุกต์ใช้หลักการพื้นฐานของการตีความพระคัมภีร์ โดยผ่านทางบทเรียนและแบบฝึกหัดเหล่านี้ คุณจะได้รับเครื่องมือเพื่อช่วยให้เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เพื่อประยุกต์ใช้กับชีวิตของคุณ และเพื่อสอนพระวจนะให้กับผู้อื่น
ทำไมฉันจึงควรศึกษาพระคัมภีร์ ?
บางคนหลีกเลี่ยงการอ่านพระคัมภีร์เพราะพวกเขาเชื่อว่ามันยากเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ มีหลายคนที่เชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าแต่ไม่รู้วิธีตีความและประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ การศึกษาพระคัมภีร์เป็นงานหนัก มันคุ้มค่าไหม? ทำไมเราจึงควรศึกษาพระคัมภีร์?
พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองผ่านทางพระคัมภีร์
พระคัมภีร์แสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้ใด พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงพระลักษณะที่เป็นธรรมชาติของพระเจ้า (สดุดี 119:15, 27) พระคัมภีร์แสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าคิดอย่างไร อะไรที่สำคัญต่อพระองค์ พระองค์สัมพันธ์กับผู้คนอย่างไร และพระองค์ทำงานอย่างไรในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ กฎหมายของพระเจ้า (สิ่งที่พระองค์กำหนดไว้) สะท้อนถึงพระลักษณะ ความยุติธรรม และสติปัญญาของพระองค์ (สดุดี 119:137) เมื่อใดก็ตามที่เราอ่านพระคัมภีร์ เราควรใส่ใจต่อสิ่งที่พระคัมภีร์แสดงให้เราเห็นเกี่ยวกับพระเจ้า
พระคัมภีร์เปิดเผยพระเจ้าต่อผู้นมัสการ และยังให้แนวทางการตอบสนองต่อพระเจ้าแก่ผู้นมัสการด้วย แสดงให้เห็นวิถีที่เราต้องดำเนินชีวิต
พระคัมภีร์คือตะเกียง
ผู้เขียนสดุดีเปรียบพระวจนะของพระเจ้ากับตะเกียงที่ส่องนำทางชีวิตเรา (สดุดี 119:105) พระคัมภีร์คือความจริงของพระเจ้าที่สอนวิธีคิดและการใช้ชีวิตแก่เรา
► อ่าน สดุดี 19:7-11, สดุดี 119:160, และ 2 ทิโมธี 3:16-17
พระวจนะของพระเจ้าเป็นแหล่งของหลักคำสอนที่ถูกต้อง พระคัมภีร์บรรจุความรู้ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการได้รับความรอดและความบริสุทธิ์ หลักการนี้ไม่ได้ให้ความหมายว่าเราสามารถเข้าใจทุกสิ่งในพระคัมภีร์ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความช่วยเหลืออื่นๆ ไม่ได้หมายความว่าประเพณีไม่สำคัญ แต่หมายความว่าพระวจนะของพระเจ้าคือสิทธิอำนาจสูงสุดสำหรับผู้เชื่อ
เนื่องจากพระวจนะของพระเจ้าเป็นแหล่งแห่งความจริง ดังนั้นการรู้พระคัมภีร์จึงช่วยเตรียมเราและเสริมสร้างเราสำหรับงานพันธกิจ เมื่อเราสอนพระวจนะของพระเจ้าอย่างถูกต้อง เราก็สอนด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า ความจริงเป็นของพระองค์ ไม่ใช่ของเรา
พระคัมภีร์คือน้ำนมฝ่ายวิญญาณ
เปโตรกล่าวไว้ว่าผู้เชื่อควรปรารถนาพระคัมภีร์มากเท่ากับทารกเกิดใหม่ที่ปรารถนาน้ำนม (1 เปโตร 2:2) เช่นเดียวกับเด็กทารกที่ต้องมีน้ำนมเพื่อการเติบโตฝ่ายร่างกาย คริสเตียนก็ต้องมีพระคัมภีร์เพื่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณ หากปราศจากการบริโภคพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำ เราก็จะไม่มีวันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณได้เลย
เมื่อเราเรียนรู้ทักษะการตีความพระคัมภีร์และฝึกสังเกตแยกแยะความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า เราก็เติบโต (ฮีบรู 5:14) ความสามารถของเราในการใช้พระวจนะของพระเจ้าสอนผู้อื่นก็จะได้รับการพัฒนา
พระคัมภีร์หวานปานน้ำผึ้ง
ผู้เขียนสดุดีเปรียบพระวจนะของพระเจ้ากับน้ำผึ้ง (สดุดี 19:10, สดุดี 119:103) น้ำผึ้งดีต่อสุขภาพและมีรสหวาน เราควรถือว่าการศึกษาพระวจนะของพระเจ้าเป็นงานที่น่ายินดี ไม่ใช่งานที่ไม่พึงประสงค์ เช่นเดียวกับทหารเข้าทำศึกสงครามที่ชื่นชมยินดีเมื่อได้อ่านจดหมายจากครอบครัวทางบ้าน เราควรชื่นชมยินดีที่ได้อ่านพระคัมภีร์ จดหมายของพระเจ้าที่เขียนถึงลูกๆ ของพระองค์
เมื่อเด็กหนุ่มชาวยิวเริ่มเข้าโรงเรียนเพื่อเรียนรู้การอ่านกฎบัญญัติ ครูจะเอาน้ำผึ้งหยดไว้ที่อักษรตัวแรกบนหน้ากระดาษและเด็กก็จะเลียเพื่อชิมรสชาติที่หวานของน้ำผึ้ง ครูใช้บทเรียนที่เป็นรูปธรรมนี้เพื่อให้ “เด็กเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยง [กฎบัญญัติ] เข้ากับความยินดีและรสชาติที่ดี”[1]
พระคัมภีร์คือพระแสงของพระวิญญาณ
พระวจนะของพระเจ้าคืออาวุธของเราในการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ (เอเฟซัส 6:17) เมื่อพระเยซูเผชิญการทดลองในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ตอบโต้การโจมตีของซาตานโดยการอ้างถึงพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ (มัทธิว 4:1-11)
พระคัมภีร์ให้ฤทธิ์เดชแก่เราเพื่อชัยชนะฝ่ายวิญญาณและเพื่อการทำพันธกิจได้อย่างเกิดผล โดยผ่านการศึกษาพระคัมภีร์ เราได้รับการเตรียมพร้อมเพื่อตอบสนองต่อหลักคำสอนเท็จ เพื่อก่อร่างสมาชิกในคริสตจักรของเราด้วยหลักคำสอนแท้จริง และเพื่อทำพันธกิจได้อย่างเกิดผลในโลกปัจจุบัน
เหตุผลที่ไม่ถูกต้องในการศึกษาพระคัมภีร์
► อ่าน ฮีบรู 4:12-13
มีหลายเหตุผลที่ดีสำหรับการศึกษาพระคัมภีร์ แต่บางครั้งผู้คนอ่านหรือศึกษาพระคัมภีร์ด้วยแรงจูงใจที่ผิด
บางคนอาจศึกษาพระคัมภีร์เพียงเพื่อรวบรวมหลักฐานสำหรับปกป้องความคิดเห็นของตน บางทีพวกเขาถึงกับอยากใช้ความรู้เพื่อควบคุมคนอื่นๆ ให้อยู่ใต้อิทธิพลของพวกเขา
บางคนอาจศึกษาพระคัมภีร์เพราะความหยิ่ง บางทีพวกเขาอาจรู้สึกว่าตัวเองจะได้รับสถานะฝ่ายวิญญาณและเหนือกว่าคนอื่น บางทีพวกเขาก็ต้องการให้ผู้คนคิดดีกับพวกเขาเนื่องด้วยความสำเร็จของพวกเขา หรือบางทีพวกเขาคิดเอาเองว่าการศึกษาพระคัมภีร์จะช่วยให้พวกเขาได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า
ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่เข้าใจผิดในการอ่านหรือศึกษาพระคัมภีร์ พระธรรมฮีบรู 4:12-13 แสดงให้เห็นถึงท่าทีที่ถูกต้องต่อพระคัมภีร์ แทนที่จะใช้พระคัมภีร์เพื่อการบรรลุเป้าหมายที่เห็นแก่ตัว เราควรระลึกว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ของเรา เราควรศึกษาพระคัมภีร์ด้วยท่าทีเคารพยำเกรงพระเจ้า พระคัมภีร์เป็นสิทธิอำนาจของเรา และเราควรยอมจำนนต่อพระคัมภีร์ เมื่อเราสอนพระคัมภีร์ให้กับคนอื่น เราควรสอนด้วยความถ่อมใจ
เมื่อเราศึกษาและสอนพระวจนะของพระเจ้าด้วยแนวทางนี้ นั่นย่อมจะเปิดเผยความบาปหรือความผิดพลาดในชีวิตของเราและแสดงให้เราเห็นถึงวิธีที่จะหันออกจากสิ่งเหล่านั้นได้ ซึ่งจะทำให้ชีวิตของเราได้รับการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนชีวิตของผู้คนที่เรารับใช้และนำพวกเขาอยู่
Previous
Next