ในฐานะคริสเตียนอีแวนเจลิคอล เรายอมรับพระคัมภีร์ว่าเป็นสิทธิอำนาจสูงสุดสำหรับหลักคำสอนและแนวการปฏิบัติ พระคัมภีร์บรรจุความรู้ทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับความรอด
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่าเราตีความสิ่งที่เราอ่านผ่านวิธีการหลากหลาย สำหรับคริสเตียนอีแวนเจลิคอลส่วนใหญ่ เราอ่านพระคัมภีร์โดยมองผ่านเลนส์สามเลนส์ เลนส์เหล่านี้ไม่ได้มาแทนที่สิทธิอำนาจของพระคัมภีร์เลย แต่เป็นเพียงวิธีการที่เราอ่านและเข้าใจพระคัมภีร์เท่านั้น
หากต้องการเข้าใจพระคัมภีร์อย่างถ่องแท้ เราควรใช้เลนส์ทั้งสามนี้ หากเราละเลยเลนส์ใดเลนส์หนึ่ง เราก็อาจตีความพระคัมภีร์ผิดได้ การอ่านพระคัมภีร์โดยใช้เลนส์เหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจข้อความในพระวจนะของพระเจ้าได้ดีขึ้น
ภาพต่อไปนี้อาจช่วยให้คุณมองเห็นความสัมพันธ์ของเลนส์ทั้งสามนี้ต่อพระคัมภีร์ เรามองพระคัมภีร์ผ่านเลนส์เหล่านี้[1]
เลนส์ที่ 1: ประเพณี
[2] เลนส์แรกที่เรามองพระคัมภีร์ทะลุผ่านก็คือประเพณี เลนส์ประเพณีถามว่า “คริสเตียนตลอดประวัติศาสตร์เข้าใจพระคัมภีร์นี้อย่างไร?” ประเพณีทดสอบความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเนื้อหาโดยเปรียบเทียบกับความเข้าใจอันลึกซึ้งของคริสเตียนคนอื่นๆ ตลอดประวัติศาสตร์
ประเพณีประกอบด้วยหลักความเชื่อของคริสตจักรยุคแรก หลักคำสอนสำคัญที่เชื่อมโยงคริสเตียนในอดีตเข้าเป็นหนึ่งเดียว และคำสอนของคนรุ่นก่อนๆ ประเพณีแสดงให้เห็นถึงการตีความพระคัมภีร์ตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักร
ประเพณีของคริสตจักรไม่ได้สอดคล้องกันในทุกประเด็น ประเพณีที่เชื่อถือได้มากที่สุดคือสิ่งที่คริสตจักรสอนไว้ทุกหนทุกแห่งและทุกยุคสมัย ควรคำนึงถึงประเพณีของนิกายต่างๆ แต่ประเพณีนี้ไม่มีอำนาจมากเท่ากับประเพณีของคริสตจักรทั่วโลก
พระเจ้าตรัสผ่านประเพณีเพื่อช่วยให้เราเข้าใจพระวจนะของพระองค์ หากการตีความของคุณทำให้พระคัมภีร์มีความหมายที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน คุณควรคิดว่าคุณเข้าใจผิด!
เลนส์ 2: เหตุผล
เลนส์ที่สองที่เราใช้คือเลนส์เหตุผล เลนส์นี้ถามว่า “ความเข้าใจอย่างมีเหตุผลของพระคัมภีร์นี้คืออะไร?” เลนส์แห่งเหตุผลต้องการให้เราใช้ความนึกคิดเพื่อจะเข้าใจสิ่งที่เราอ่านในพระคัมภีร์ เลนส์นี้ตระหนักว่าพระคัมภีร์นั้นสามารถเข้าใจเหตุผลได้โดยความนึกคิด เราใช้เหตุผลเพื่อเข้าใจพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ปฏิเสธความจริงจากพระคัมภีร์เพียงเพราะเราไม่สามารถเข้าใจเหตุผลเพื่อพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์เป็นความจริงได้ มีคนมากมายปฏิเสธบันทึกถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ในพระคัมภีร์เพราะพวกเขาคิดว่าการอัศจรรย์นั้นขัดแย้งกับเหตุผล อย่างไรก็ตาม การอัศจรรย์ไม่ได้ขัดแย้งกับเหตุผลเพราะเราเข้าใจด้วยเหตุผลได้ว่าพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจเพื่อทำการอัศจรรย์
คริสเตียนบางคนต่อต้านการใช้เหตุผล พวกเขาโต้แย้งว่าเราไม่สามารถไว้ใจความนึกคิดที่ตกต่ำของเราในการเข้าใจพระวจนะพระเจ้าได้ เป็นความจริงที่มนุษย์มีความสามารถทางจิตที่จำกัด อย่างไรก็ตาม เปาโลก็ใช้เหตุผลในการโต้แย้งอยู่เสมอ เช่น ใน โรม เปาโลถามคำถามเป็นชุดที่นำผู้อ่านไปสู่ความเข้าใจด้วยเหตุผลเกี่ยวกับความจริงสำคัญเรื่องความรอด แม้ว่าเหตุผลของเราจะไม่ใช่สิทธิอำนาจสูงสุด เราก็ไม่ควรเพิกเฉยต่อความหมายตามเหตุผลของพระคัมภีร์
เลนส์ที่ 3: ประสบการณ์
เลนส์สุดท้ายคือเลนส์ประสบการณ์ เลนส์นี้ถามว่า “ความเข้าใจของฉันตรงกันกับประสบการณ์ของคริสเตียนคนอื่นไหม?” ประสบการณ์ส่วนตัวไม่ควรได้รับความเชื่อถือเหนือกว่าความจริงแท้ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์มีคุณค่าเมื่อมีความสมดุลกับประเพณีและเหตุผล
เลนส์แต่ละเลนส์มีความสำคัญ หากเราใช้เพียงแค่ประเพณี เราก็จะตกอยู่ภายใต้ข้อผิดพลาดของโรมันคาธอลิกที่มองว่าคำสอนของคริสตจักรมีสิทธิอำนาจเทียบเท่าพระคัมภีร์ หากเราใช้เพียงแค่เหตุผล เราก็จะมองว่าความนึกคิดเป็นสิทธิอำนาจสูงสุด หากเราใช้เพียงแค่ประสบการณ์ การตีความของเราก็จะถูกจำกัดและจะขึ้นอยู่กับความรู้สึกส่วนตัว มุมมอง และข้อคิดเห็นของมนุษย์ เลนส์เหล่านี้เป็นวิธีที่เราจะเข้าใจพระคัมภีร์ แต่ไม่ควรใช้ในลักษณะที่ขัดแย้งกับสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์
ตัวอย่าง
“เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา… เพื่อพวกท่านจะได้รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” (เอเฟซัส 3:14, 19)
เปาโลอธิษบานว่าชาวเอเฟซัสจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับพระเจ้า เขาอธิษฐานว่าชาวเอเฟซัสจะได้รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม เราค้นพบอะไรหากเราอ่านคำอธิษฐานนี้ผ่านทางเลนส์ทั้งสามเหล่านี้?
ประเพณี คริสเตียนจากทุกยุคสมัยสอนว่าพระเจ้าสัญญาที่จะให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตที่ลึกซึ้งมากขึ้น กลุ่มคริสเตียนก็ไม่ได้ตกลงกันในรายละเอียดว่าพระเจ้าจะบรรลุวัตถุประสงค์นี้ในตัวผู้เชื่อได้อย่างไร แต่ตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักร มีคริสเตียนจากหลายพื้นภูมิที่ตกลงกันว่าพระเจ้าเรียกบรรดาบุตรของพระองค์สู่การมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้นกับพระองค์
ในศตวรรษที่สอง อิเรเนอุสเขียนว่าวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราคือ “เพื่อให้เราถูกสร้างขึ้นตามฉายาและแบบอย่างของพระเจ้า”[3] อิเรเนอุสเชื่อว่าผู้เชื่อทุกคนสามารถเต็มเปี่ยมไปด้วยความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้าได้ ในศตวรรษที่สี่ นักเขียนชาวตะวันออก เช่น เกรกอรีแห่งนิสซา สอนว่าคริสเตียนจะต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในศตวรรษที่ 17 ฟรองซัวส์ เฟเนลอน ชาวฝรั่งเศสนิกายโรมันคาธอลิกเขียนไว้ว่า ด้วยพลังแห่งพระคุณของพระเจ้า เราสามารถ “ดำเนินชีวิตอย่างที่พระเยซูเคยดำเนิน คิดอย่างที่พระองค์เคยคิด...”[4] โดยพระคุณของพระเจ้า เราสามารถดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ได้
เหตุผล เมื่ออ่านคำอธิษฐานของเปาโล เหตุผลของเราจะถามว่า “การตีความของฉันสำหรับคำอธิษฐานนี้สอดคล้องกันกับพระคัมภีร์ส่วนที่เหลือไหม?” มันสมเหตุสมผลไหมที่จะตีความคำอธิษฐานนี้ให้เป็นเหมือนคำสัญญาเกี่ยวกับชีวิตที่ลึกซึ้งมากขึ้นสำหรับคริสเตียน? เมื่อพิจารณาข้อพระคัมภีร์อื่นๆ เราจะเห็นว่า โรม 12:1, 1 เธสะโลนิกา 5:23 และข้อพระคัมภีร์อื่นๆ แนะนำชีวิตที่ลึกซึ้งมากขึ้นที่เป็นไปได้สำหรับผู้เชื่อ ความเป็นจริงของการเต็มเปี่ยมด้วยความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้านั้นมีเหตุผล
ประสบการณ์ ประสบการณ์ของคริสเตียนผู้ยิ่งใหญ่ตลอดประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นถึงความหิวกระหายชีวิตที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น คริสเตียนที่อุทิศตนทุกคนล้วนหิวกระหายที่จะลึกซึ้งกับพระเจ้ามากขึ้นอีก คำพยานของคริสเตียนผู้ยิ่งใหญ่แสดงให้เห็นว่าความหิวกระหายนี้ได้รับการตอบสนองโดยพระคุณของพระเจ้า
[2]
“ประเพณีเป็นผลจากกิจกรรมการสอนของพระวิญญาณจากยุคสมัยต่างๆ… ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวันผิดพลาด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะ [ไม่สำคัญ] และเราทำให้ตัวเองขัดสน
หากเราละเลยสิ่งนี้”
- J.I. Packer,
“Upholding the Unity of Scripture Today”
[3] ตามที่อ้างใน William M. Greathouse,
From the Apostles to Wesley (Kansas City: Beacon Hill Press, 1979), 38
[4] From the Apostles to Wesley , 85
Previous
Next