► อ่าน 2 ทิโมธี 4:6-22
เปาโลเขียนถึงทิโมธีว่า “ขอให้ท่านพยายามมาถึงก่อนฤดูหนาว” (2 ทิโมธี 4:21) ฟังสิ่งที่เปาโลร้องขอโดยคำนึงถึงเบื้องหลังต่อไปนี้
เปาโลอยู่ในคุกของชาวโรม อีกไม่นานเขาจะต้องตายเพื่อความเชื่อของเขา
ทิโมธีกำลังรับใช้อยู่ในเอเฟซัสซึ่งห่างไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร
การเดินทางโดยทางทะเลมีอันตรายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินทางในฤดูหนาว การที่จะให้ทิโมธีเดินทางมาถึงก่อนฤดูหนาว เขาต้องรีบด่วนเดินทางทันทีหลังจากได้รับจดหมายฉบับนี้
บริบททางประวัติศาสตร์ให้ความประทับใจแก่เรามากขึ้นเกี่ยวกับอารมณ์ที่อยู่เบื้องหลังคำร้องขอของเปาโล เปาโลไม่ได้เพียงกำลังพูดว่า “ได้โปรดมาเยี่ยมเมื่อสะดวก” เขาอ้อนวอนบุตรชายฝ่ายวิญญาณของเขาว่า “ข้าพเจ้าอยากเจอหน้าท่านก่อนที่ข้าพเจ้าจะตาย หากท่านรอให้ถึงฤดูหนาว ท่านจะเดินทางมาไม่ได้ ขอได้โปรดมาก่อนที่จะสายเกินไป” จดหมายก็มีใจความเดียวกันแม้ว่าท่านจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับบริบททางประวัติศาสตร์ แต่บริบทแสดงถึงความจริงจังของคำร้องขอของเปาโล
บริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมีความสำคัญเพราะพระเจ้าไม่ได้จัดเตรียมพระคัมภีร์ไว้ในภาษาเดียวที่ทุกคนในโลกเข้าใจได้ ข้อความสองข้อความที่สำคัญเกี่ยวกับพระคัมภีร์คือ...
1. หลักการของพระคัมภีร์เป็นความจริงสำหรับทุกคน ในทุกที่ และทุกเวลา
2. หลักการของพระคัมภีร์ประทานมาให้กับผู้คนที่เจาะจง ในสถานที่เจาะจง และในเวลาที่เจาะจง
การตีความพระคัมภีร์ [1]
ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่
1
เมืองของพวกเขา
ข้อความดั้งเดิมของพระคัมภีร์
2
แม่น้ำ
ความแตกต่างทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่แยกโลกของเราออกจากโลกโบราณ
3
สะพาน
หลักการที่สอนไว้ในข้อความ
4
แผนที่
ความสัมพันธ์กันกับพันธสัญญาใหม่ (สำหรับเนื้อหาในพันธสัญญาเดิม)
5
เมืองของเรา
การประยุกต์ใช้หลักการในโลกที่เราอยู่
ยิ่งเราเข้าใจเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพระคัมภีร์มากเท่าใด เราก็จะยิ่งเข้าใจหลักการสากลของพระคัมภีร์มากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเราศึกษาบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เราอ่านพระคัมภีร์ใน “เมืองของพวกเขา” เพื่อเข้าใจเนื้อหาสำหรับผู้ฟังดั้งเดิม จากนั้นเราพิจารณาที่ “แม่น้ำ” คือความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่แยกโลกของเรากับโลกโบราณ ยิ่งเราเข้าใจโลกของพระคัมภีร์มากเท่าใด เราก็จะยิ่งได้ยินพระวจนะของพระเจ้าตรัสกับโลกของเราในปัจจุบันมากขึ้นเท่านั้น
การอ่านพระคัมภีร์ด้วยบริบทดั้งเดิมมีความสำคัญเพราะนั่นคือรากฐานของหลักการสำคัญสำหรับการตีความพระคัมภีร์ การตีความข้อพระคัมภีร์ที่ถูกต้องในปัจจุบันจะต้องสอดคล้องกับข้อความดั้งเดิมของข้อพระคัมภีร์นั้น ฉันจะต้องไม่พบความหมายที่ขัดแย้งกับข้อความดั้งเดิมของข้อพระคัมภีร์นั้น
บริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมคืออะไร? บริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมคือสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากข้อความในพระคัมภีร์เพื่อช่วยให้เราเข้าใจข้อความนั้น ซึ่งรวมถึงคำตอบของคำถามอย่างเช่น...
ชีวิตของชาวอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารเป็นอย่างไร (บริบทสำหรับ อพยพ—เฉลยธรรมบัญญัติ)?
วัฒนธรรมของปาเลสไตน์ในศตวรรษแรกเป็นอย่างไร (บริบทของพระกิตติคุณสี่เล่ม)?
ใครคือพวกผู้สอนเท็จที่เป็นสาเหตุให้เปาโลรู้สึกขุ่นมัวใน กาลาเทีย และ ฟีลิปปี?
คำถามบางข้อที่ควรถามเมื่อศึกษาบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมได้แก่...
(1) เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับผู้เขียนพระคัมภีร์?
เนื่องจากพระเจ้าตรัสผ่านผู้เขียนที่เป็นมนุษย์ ความรู้เกี่ยวกับผู้เขียนจึงช่วยให้เราเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น
ขณะที่อ่านจดหมายของเปาโล ขอให้นึกถึงชีวิตของเขาก่อนกลับใจมาเชื่อ เมื่อเปาโลอธิบายถึงตัวเขาในช่วงแรกที่ “ไว้ใจในเนื้อหนัง” (ฟีลิปปี 3:4-6) นั้น เขารู้ว่าพวกฟาริสีเคารพยกย่องตัวเองสำหรับการระวังทำตามกฎบัญญัติ เมื่อเรานึกถึงความหน้าซื่อใจคดและปฏิเสธไม่ยอมรับพระเยซู เราก็ควรนึกถึงความรักที่พวกเขามีต่อกฎบัญญัติในข้อปลีกย่อยด้วยเช่นกัน
ในทางตรงกันข้าม เมื่อเปาโลอธิบายถึงตัวเองในฐานะคนบาป “ตัวเอ้” (1 ทิโมธี 1:15) ขอระลึกว่าเปาโลได้ข่มเหงคริสตจักรและมอบคริสเตียนทั้งหลายให้ถึงแก่ความตาย นี่คือชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่กับความทรงจำในอดีตก่อนที่จะพบพระคริสต์บนถนนไปยังดามัสกัส
เมื่ออ่านอพยพ เราควรรู้เกี่ยวกับสิทธิพิเศษของโมเสสในพระราชวังของฟาโรห์ เมื่อเราพิจารณาถึงความหรูหราของชีวิตในวัง สิ่งที่ ฮีบรู 11:25 พูดถึงโมเสสก็ยิ่งมีความหมายมากขึ้น “…ท่านเลือกการร่วมทุกข์กับประชากรของพระเจ้าแทนการเริงสำราญชั่วคราวในบาป” เมื่อเราเห็นหนุ่มน้อยโมเสสที่มีความสุขกับโอกาสทางการศึกษาและวัฒนธรรม เราก็เห็นพระเจ้าผู้จัดเตรียมผู้รับใช้ของพระองค์ให้นำชนชาติที่ยิ่งใหญ่
(2) เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับผู้ฟังในพระคัมภีร์?
ควบคู่ไปกับการเรียนรู้เกี่ยวกับผู้เขียนพระคัมภีร์ เราควรเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เกี่ยวกับผู้ฟังในยุคดั้งเดิม
เนื้อหาส่วนมากใน 1 และ 2 พงศาวดาร คือการซ้ำเนื้อหาจากพระธรรมซามูเอลและพงศ์กษัตริย์ เพราะอะไรหรือ? พงศาวดารถูกเขียนขึ้นหลังจากอิสราเอลกลับมาจากการเป็นเชลย พงศ์กษัตริย์แสดงถึงเหตุผลที่พระเจ้าอนุญาตให้อิสราเอลทนทุกข์ในการพิพากษา ส่วนพงศาวดารแสดงให้เห็นว่าพระเจ้ายังคงห่วงใยประชากรของพระองค์
เยเรมีย์เทศนาในช่วงสมัยที่มีการทำลายล้างเยรูซาเล็ม เมื่อเราอ่านถ้อยคำของเขาเรื่องการพิพากษา เราควรระลึกว่าสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้เกี่ยวกับการพิพากษาจะต้องเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเยเรมีย์ เราอ่านพบพระสัญญาของพระเจ้าด้วยเช่นกัน “พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับพวกเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า” (เยเรมีย์ 29:11) พระสัญญานี้มาถึงเมื่อประชาชนถูกนำตัวไปยังประเทศต่างชาติในฐานะนักโทษ แผนการของพระเจ้าสำหรับประชากรของพระองค์รวมถึงการพิพากษาที่จะนำพวกเขาให้กลับใจใหม่
จดหมายฝาก 1 ยอห์น ได้ระบุถึงคริสเตียนทั้งหลายที่กำลังเผชิญหน้ากับคำสอนเท็จที่ว่าจิตวิญญาณนั้นดีแต่ร่างกายชั่วร้าย พวกผู้สอนเท็จกล่าวว่าพระเยซูไม่ได้เป็นมนุษย์แท้จริง พระองค์เพียงแค่มาปรากฏเป็นมนุษย์เท่านั้น ยอห์นเตือนผู้อ่านของเขาว่าพระเยซูมีร่างกายจริงๆ “เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมาตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น” (1 ยอห์น 1:1)
พวกผู้สอนเท็จยังกล่าวด้วยว่าความรอดมาทางความรู้ลี้ลับที่ได้รับการเปิดเผยให้กับบางคนเท่านั้น ยอห์นแสดงให้เห็นว่าเราต้องเชื่อฟังเพื่อจะมีความรู้ถึงพระเจ้าอย่างแท้จริง “ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์” (1 ยอห์น 2:3) ความรู้ที่นำมาซึ่งชีวิตนิรันดร์เกี่ยวข้องกับความรัก “เรารู้ว่าเราได้พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว ก็เพราะเรารักพี่น้อง” (1 ยอห์น 3:14)
(3) เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับบริบททางประวัติศาสตร์ของพระธรรม?
ลองนึกถึงนักเทศน์คนหนึ่งที่ประกาศว่า “วันนี้ผมจะเทศนาว่าคริสเตียนควรจะหาภรรยามาได้อย่างไร ใน ผู้วินิจฉัย 21:20-21 บอกให้เราไปที่หมู่บ้านของเพื่อนบ้านและคอยซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ เมื่อมีพวกหญิงสาวจากหมู่บ้านนั้นผ่านมา ก็ให้จับตัวเธอและแบกเธอกลับมาบ้าน นี่คือรูปแบบการเลือกภรรยาที่พระคัมภีร์ให้ไว้” คุณควรสงสัยการประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ของนักเทศน์คนนี้!
การประยุกต์ใช้ของนักเทศน์คนนี้ผิดตรงไหน? ผู้วินิจฉัยกล่าวว่าพวกผู้ชายเผ่าเบนยามินหาภรรยาด้วยวิธีการนี้ในโอกาสหนึ่ง และแม้แต่บอกด้วยว่าพวกเขามีเหตุผลที่ดีในการทำแบบนั้น เหตุผลคือเพื่อรักษาเผ่าหนึ่งของอิสราเอล อย่างไรก็ตาม นักเทศน์คนนี้กำลังเพิกเฉยบริบททางประวัติศาสตร์ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในตอนท้ายของผู้วินิจฉัย ซึ่งเป็นพระธรรมที่แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมถอยของอิสราเอลจากแผนการของพระเจ้าไปสู่ความสับสนวุ่นวาย แทนที่จะแสดงให้เห็นถึงแผนการของพระเจ้าสำหรับการแต่งงาน เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อประชากรของพระเจ้ากบฏ
บางครั้งเรารู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับผู้เขียนหรือผู้ฟัง แต่เรารู้เกี่ยวกับบริบททั่วไปทางประวัติศาสตร์ เราไม่รู้ว่าใครเขียนพระธรรมนางรูธ แต่เรารู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นเป็นช่วงที่ผู้วินิจฉัยปกครอง (นางรูธ 1:1) นี่เป็นช่วงเวลาที่มีความสับสนวุ่นวายในสังคมอิสราเอล (ผู้วินิจฉัย 21:25) เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างกับความไม่สัตย์ซื่อของอิสราเอลต่อพระเจ้า พระธรรมนางรูธชี้ให้เห็นถึงความสัตย์ซื่อของรูธผู้เป็นหญิงม่ายชาวโมอับ
เรื่องราวนี้ยังบอกเล่าถึงโบอาสผู้ยอมเสียสละแต่งงานกับรูธเพื่อเป็นการเตรียมผู้สืบสกุลให้กับพวกลูกชายที่สิ้นชีวิตไปแล้วของนาโอมี ในฐานะผู้มีสิทธิไถ่ โบอาสเสียสละสิทธิในมรดกของตนเพื่อเตรียมบุตรชายคนหนึ่งให้นาโอมี ในการทำเช่นนี้ โบอาสจึงได้มีชื่ออยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลของดาวิด (มัทธิว 1:6, 16)
เบื้องหลังทางประวัติศาสตร์มีความสำคัญในการตีความพระธรรมโยนาห์ดังนี้
นีนะเวห์เป็นเมืองหลวงของอัสซีเรีย ซึ่งเป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดของอิสราเอล
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่โยนาห์เทศนาที่นีนะเวห์ อาโมสและโฮเชยาเตือนว่าการพิพากษาของพระเจ้าเหนืออิสราเอลจะมาโดยน้ำมือของอัสซีเรีย
จากมุมมองของมนุษย์ ความไม่เต็มใจของโยนาห์ที่จะไปเทศนาให้กับชาวอัสซีเรียนั้นเข้าใจได้ยาก พระธรรมโยนาห์แสดงให้เห็นถึงมุมมองของพระเจ้า มุมมองของพระเจ้าผู้รักมนุษย์ทุกคนโดยไม่ยกเว้นใคร
(4) เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับบริบททางวัฒนธรรมของพระธรรม?
บริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพระคัมภีร์เป็นการพิจารณาถึงประเพณีทางวัฒนธรรมของโลกในพระคัมภีร์ด้วย เราได้รับความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับอุปมาของพระเยซูเมื่อเราอ่านอุปมาเหล่านั้นในบริบทของประเพณีในปาเลสไตน์ศตวรรษแรก
อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี (ลูกา 10:30-35) เป็นเรื่องราวที่ทำให้ผู้ฟังชาวยิวประหลาดใจ ผู้ฟังของพระเยซูคงไม่ประหลาดใจเกี่ยวกับผู้นำศาสนาที่ไม่ช่วยเหลือผู้เดินทางที่บาดเจ็บนั้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาคงคาดหวังว่าผู้ที่ช่วยชีวิตจะเป็นรับบีหรือฟาริสีสักคน แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พระเยซูกลับชี้ไปที่ชาวสะมาเรียผู้ถูกดูหมิ่นว่าเป็นต้นแบบแห่งความรัก
ในอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหาย (ลูกา 15:11-32) เราควรนึกถึงบิดาชาวยิวผู้มีศักดิ์ศรี ผู้ฟังคาดหวังว่าจะได้ยินว่าบิดาจะปฏิเสธไม่ยอมให้บุตรชายกลับมา หรือไม่ก็ยอมให้เขาเป็นทาส แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น บิดายินดีทิ้งศักดิ์ศรีของตนเมื่อบุตรชายที่หลงหายของเขากลับมา การกระทำนี้น่าประหลาดใจนักจนทำให้บางวัฒนธรรมในตะวันออกตั้งชื่อเรื่องราวนี้ว่า “อุปมาเรื่องบิดาผู้วิ่งไป” ในทำนองเดียวกัน พระบิดาของเราในสวรรค์ก็ไม่ได้รอให้เราทำสิ่งใดเพื่อรับการยกโทษ แต่พระองค์เป็นฝ่ายแสวงหาคนบาปที่ดื้อรั้น นี่คือภาพของความรักอันล้นเหลือของพระบิดาของเรา
ควรอ่านจดหมายของเปาโลโดยคำนึงถึงสภาพการณ์ทางวัฒนธรรมในศตวรรษแรก เอเฟซัส 5:21–6:9 เป็นสิ่งที่น่าตกใจสำหรับผู้อ่านของเปาโล คำสั่งของเปาโลที่ให้ภรรยายอมอยู่ภายใต้สามีนั้นเป็นเรื่องปกติ คำสั่งของเขาที่ให้สามียอมสละตัวเองตามแบบอย่างพระคริสต์นั้นก็แปลกประหลาดสำหรับผู้ฟังที่เป็นชาวโรม พวกลูกๆ ถูกคาดหวังให้เชื่อฟังพ่อแม่ของพวกเขา แต่ไม่มีใครในโลกของชาวโรมันที่บอกผู้เป็นพ่อว่าไม่ให้ยั่วลูกๆ ของพวกเขาให้โกรธ
เมื่อเปาโลเรียกชาวฟีลิปปีให้ดำเนินชีวิตในฐานะพลเมืองแห่งสวรรค์ (ฟีลิปปี 3:20) เขากำลังเขียนจดหมายถึงชาวเมืองที่มีสิทธิพิเศษในฐานะพลเมืองแห่งจักรวรรดิโรม เนื่องจากเมืองนี้เคยก่อตั้งเป็นอาณานิคมของทหารที่เกษียณอายุแล้ว ชาวเมืองฟิลิปปีจึงให้ความสำคัญกับการเป็นพลเมืองของตนเป็นอย่างยิ่ง เปาโลเตือนพวกเขาว่าการเป็นพลเมืองที่แท้จริงของพวกเขาอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่ในเมืองบนโลก การรู้ถึงเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเช่นนี้ก็ทำให้มีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับฟีลิปปี
การค้นพบบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
อย่างที่เราได้เห็นมาแล้ว การศึกษาบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพระคัมภีร์ตอนหนึ่งนั้นเริ่มต้นโดยการถามคำถามบางประการ เราจะพบคำตอบสำหรับคำถามของเราได้อย่างไร? ภาคผนวกของหลักสูตรนี้อธิบายถึงแหล่งข้อมูลเพื่อศึกษาพระคัมภีร์ไว้บางแหล่งซึ่งจะช่วยให้คำตอบแก่เราได้ นอกจากนี้เราขอแนะนำให้ใช้หลักสูตรเบื้องต้นเกี่ยวกับพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ที่จัดทำโดย Shepherds Global Classroom หลักสูตรเหล่านี้ให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับแต่ละพระธรรมในพระคัมภีร์
Previous
Next