มีความท้าทายมากมายสำหรับผู้อ่านในยุคปัจจุบันที่จะตีความข้อความโบราณอย่างเช่นพระคัมภีร์ เวลาและระยะห่างที่แยกเราออกจากผู้เขียนดั้งเดิมทำให้การตีความเป็นเรื่องยาก เราพูดภาษาที่แตกต่างกัน วัฒนธรรมของเราก็แตกต่างจากวัฒนธรรมของผู้เขียนพระคัมภีร์
การตีความพระคัมภีร์ [1]
ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่
ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตีความพระคัมภีร์สำหรับสมัยของเรา พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อโลกสมัยโบราณ (1) ผู้อ่านกลุ่มแรกมีชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่างจากผู้อ่านในปัจจุบัน แม่น้ำ (2) ที่แยกระหว่างโลกของพวกเขาออกจากปัจจุบันทำให้เป็นเรื่องยากมากขึ้นสำหรับเราที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ แม่น้ำนี้เกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมของเรากับโลกพระคัมภีร์ อะไรคือความแตกต่างระหว่างผู้อ่านในยุคปัจจุบันกับผู้เขียนในยุคดั้งเดิม?
ภาษาที่แตกต่างกัน
พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นด้วยสามภาษาคือ ฮีบรู กรีก และอาราเมค ในปัจจุบันนี้พวกเราส่วนใหญ่อ่านพระคัมภีร์ด้วยภาษาของเราเอง ซึ่งสร้างระยะห่างระหว่างเรากับผู้เขียน ใครที่พูดภาษาที่สองย่อมจะเข้าใจความยากของภาษา
วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
เช่นเดียวกันกับความยากทางภาษา ก็มีความยากในเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ผู้เขียนพระคัมภีร์ที่เป็นมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่อาจแตกต่างอย่างมากจากโลกที่เราอยู่ เมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์ เราควรถามว่า “ฉันสามารถเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับวัฒนธรรมของโลกโบราณเพื่อจะช่วยให้ฉันเข้าใจและตีความเนื้อหาพระคัมภีร์ได้ดีขึ้น?”
ภูมิศาสตร์ที่ไม่คุ้นเคย
เหตุการณ์ต่างๆ ในพระคัมภีร์เกิดขึ้นกับผู้คนที่มีชีวิตอยู่จริงในสถานที่ที่มีจริง ยิ่งเราเข้าใจเกี่ยวกับภูมิศาสตร์มากเท่าไร เราก็ยิ่งจะสามารถข้ามแม่น้ำที่แยกโลกของเรากับโลกของพวกเขาได้
การรู้ว่าถนนที่เชื่อมระหว่างเยรีโคกับเยรูซาเล็มนั้นต้องผ่านภูเขาที่เป็นพื้นที่อันตรายย่อมจะอธิบายได้ว่าทำไมปุโรหิตกับคนเลวีจึงต้องระมัดระวัง (ลูกา 10:31-32) และยังให้ความประทับใจสำหรับชาวสะมาเรียที่มีความเมตตาสงสารซึ่งยอมเสี่ยงภัยเพื่อช่วยคนแปลกหน้าที่บาดเจ็บ (ลูกา 10:33-34)
ผู้อ่านถามว่า “ทำไมพวกสาวกจึงสงสัยความสามารถของพระเยซูในการเลี้ยงอาหารคน 4,000 คนใน มาระโก 8 หลังจากที่พระองค์ได้เลี้ยงคน 5,000 มาแล้วใน มาระโก 6?” แผนที่ให้คำตอบได้ ใน มาระโก 7 พระเยซูเดินทางไปที่เดคาโปลิสซึ่งเป็นพื้นที่ที่คนต่างชาติอาศัยอยู่ คำถามสำหรับพวกสาวกไม่ใช่ว่า “พระเยซูสามารถ เลี้ยงดูคนเหล่านี้ได้หรือไม่?” แต่คือ “พระองค์จะ เลี้ยงดูพวกเขาไหม?” พวกเขาไม่เชื่อว่าคนต่างชาติสมควรได้รับการอัศจรรย์อย่างเดียวกัน พวกเขายังไม่เข้าใจว่าพระเยซูได้มาเพื่อมนุษย์ทุกคน
มาระโก 6
มาระโก 7
มาระโก 8
สถานที่
กาลิลี
เดินทาง
เดคาโปลิส
ผู้คน
คนยิว
-
คนต่างชาติ
มาระโก 4 เล่าว่าพระเยซูสยบพายุที่ทะเลกาลิลีอย่างไร ในแผนที่พระคัมภีร์ เราทราบว่าทะเลกาลิลีเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 210 เมตร เนื่องจากพื้นที่สูงที่อยู่รอบทะเลสาบทำหน้าที่เป็นช่องทางลม ลมจึงมักก่อให้เกิดพายุรุนแรงภายในเวลาไม่กี่นาที พวกสาวกซึ่งเป็นชาวประมงที่ใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลแห่งนี้ คุ้นเคยกับพายุรุนแรงนี้ดี ความจริงที่ว่าพวกเขากลัวต่อความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง บอกเราได้ว่าพายุนั้นไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นพายุที่มีพลังรุนแรงอย่างผิดปกติ แต่พระเยซูใช้ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำเพื่อทำให้ทะเลสงบลง ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขากล่าวว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครกันหนอ? ขนาดลมกับทะเลยังเชื่อฟังท่าน?” (มาระโก 4:36-41)
รูปแบบวรรณกรรมที่ไม่คุ้นเคย
วรรณกรรมแต่ละประเภทต้องอ่านด้วยวิธีที่แตกต่างกัน เมื่อเราอ่านพระธรรมโรม เราจะต้องติดตามข้อโต้แย้งของเปาโลอย่างระมัดระวังในขณะที่เขาแสดงให้เห็นว่าเรามีความชอบธรรมต่อพระเจ้าได้อย่างไร เมื่อเราอ่านอุปมา เราจะฟังนักเล่าเรื่องสอนผ่านเรื่องราวที่ดีเลิศ
บทสรุป
ขอให้ดูที่ภาพอีกครั้ง ถึงแม้ว่าแม่น้ำแห่งภาษา วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ และวรรณกรรมจะแยกเราออกจากกัน แต่พระคัมภีร์มีข้อความที่พูดกับทุกวัฒนธรรม นี่คือสะพาน (3) ข้ามแม่น้ำ สะพานสร้างขึ้นจากหลักการต่างๆ ที่พระคัมภีร์สอน หลักการเหล่านี้เป็นความจริงสำหรับทุกวัฒนธรรมในทุกยุคสมัย
แผนที่ (4) ขอให้เราพิจารณาว่าเราอยู่ตรงไหนในเรื่องราวพระคัมภีร์ การเสด็จมาของพระคริสต์ทำให้คำเผยพระวจนะและกฎบัญญัติมากมายในพันธสัญญาเดิมสำเร็จ การจดจำสิ่งนี้จะเปลี่ยนวิธีของเราในการตีความและประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ตอนเหล่านี้
ในที่สุดเราก็มาถึงโลกปัจจุบันของเรา (5) ในขั้นตอนนี้ เราถามว่าหลักการที่เราค้นพบ (3) จะนำมาใช้ในโลกที่เราอยู่ได้อย่างไร
เราจะกลับมายังภาพนี้ในบทเรียนข้างหน้า แต่ตอนนี้คุณควรตระหนักถึงขั้นตอนต่างๆ
Previous
Next