► อ่าน อพยพ 28-29 สังเกตดูการเตรียมตัวอย่างดีของคนเหล่านั้นที่นำอิสราเอลในการนมัสการ คุณเตรียมตัวฝ่ายวิญญาณ จิตใจ และอารมณ์อย่างไรเพื่อนำนมัสการ?
การเตรียมผู้นำนมัสการให้พร้อม
การวางแผนและการเตรียมสำหรับการนมัสการในที่ประชุมเป็นสิ่งสำคัญ การเตรียมผู้นำนมัสการให้ พร้อมยิ่งสำคัญมากกว่า เราไม่สามารถนำคนไปยังที่ที่เราไม่เคยไป ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงต้องเตรียมใจของเราให้พร้อมก่อนที่เราจะพยายามนำคนอื่นในการนมัสการ
[1] ในบทที่ 2 เราเห็นถึงข้อกำหนดของพระเจ้าสำหรับผู้นมัสการ พระเจ้าเรียกให้ผู้นมัสการของพระองค์มีมือสะอาดและมีใจบริสุทธิ์ ก่อนเริ่มต้นเตรียมการนมัสการในที่ประชุม เราควรเตรียมตัวเองให้พร้อมในฐานะผู้นำนมัสการ เราต้องเตรียมพร้อมฝ่ายวิญญาณเพื่อนำนมัสการ
เริ่มต้นวางแผนการนมัสการด้วยการอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ ใช้เวลากับพระวจนะของพระเจ้าเพื่อพัฒนาชีวิตฝ่ายวิญญาณของคุณเอง อันตรายอย่างหนึ่งสำหรับผู้นำนมัสการคือการทดแทนการพัฒนาชีวิตฝ่ายวิญญาณส่วนตัวด้วยการเตรียมงานสำหรับพันธกิจ เราสามารถศึกษาพระคัมภีร์เพื่อเตรียมคำเทศนาสำหรับผู้อื่นได้ในขณะที่ให้พระวจนะของพระเจ้าพูดกับความต้องการในจิตวิญญาณของเราเองด้วย
ก่อนเลือกข้อพระคัมภีร์และเพลงที่กล่าวพระวจนะของพระเจ้าต่อที่ประชุม ขอให้ใช้เวลาเพื่อให้พระวจนะและพระวิญญาณของพระเจ้าพูดกับคุณส่วนตัวก่อน จากนั้นเมื่อคุณเริ่มต้นวางแผนสำหรับการประชุมนมัสการในวันอาทิตย์ จงขอให้พระเจ้านำคุณไปยังข้อพระคัมภีร์ หัวข้อคำเทศนา และดนตรีที่จะพูดกับความต้องการของผู้คน
ตรวจสอบ
คุณพัฒนาให้มีรูปแบบที่ดีในการนมัสการส่วนตัวในชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง? คุณกำลังเผชิญกับอุปสรรคอะไร? คุณตอบสนองต่ออุปสรรคเหล่านั้นอย่างไร?
การวางแผนการนมัสการในที่ประชุม [2]
เฟรด บอค (Fred Bock) อธิบายถึงการเตรียมตัวของศิษยาภิบาลที่เขารับใช้ภายใต้ คือ แอลลอยด์ จอห์น โอกิลวี (Lloyd John Ogilvie) ดร.โอกิลวีวางแผนคำเทศนาของเขาสำหรับตลอดทั้งปี หลายครั้งหัวข้อคำเทศนาที่เลือกไว้สำหรับเดือนมกราคมกลับเป็นหัวข้อที่ตรงกับความจำเป็นที่มีของคนในที่ประชุมเมื่อนำมาเทศนาในเดือนกรกฎาคม ทำไมหรือ? “พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าของเมื่อวานนี้ วันนี้ และพรุ่งนี้ พระองค์รู้ถึงความจำเป็นของเราล่วงหน้า นานก่อนที่เราจะรู้...และเมื่อเราเตรียมพร้อมกับบริหารจัดการ สิ่งนี้ทำให้เราเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากขึ้นและยืดหยุ่นได้สำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์”[3] พระวิญญาณบริสุทธิ์รู้ว่าใครจะอยู่ในที่ประชุมนมัสการของคุณ พระองค์สามารถนำคุณให้ใช้บทเพลงและพระคัมภีร์ที่จะพูดตอบสนองความต้องการของพวกเขา
คุณอาจไม่ควรวางแผนปีละครั้ง แต่การวางแผนสำหรับการนมัสการสำคัญ การวางแผนอย่างรอบคอบทำให้เรามีอิสระที่จะจดจ่อกับการนมัสการในช่วงการประชุม แทนที่จะมานั่งกังวลว่า “อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป?” เมื่อเราไม่วางแผน เราก็มักจะถอยหลังจากสิ่งที่เราทำเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า การวางแผนทำให้เรามีอิสระที่จะสร้างสรรค์ได้
เริ่มต้นด้วยโครงสร้าง
พวกเราส่วนใหญ่ชอบระเบียบในชีวิต เรามีแนวโน้มที่จะกินอาหารเช้าตอนเชา และกินอาหารเย็นตอนเย็น เรามักจะอ่านหนังสือจากบทที่ 1 ไปจนจบมากกว่าอ่านแบบสุ่มหน้า ไม่มีนักเดินทางคนใดที่จะบินข้ามประเทศและได้ยินนักบินพูดว่า “เรายังไม่ตัดสินใจว่าจะใช้เส้นทางใดในวันนี้ เราจะบินก่อนแล้วค่อยดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น” เราชอบโครงสร้าง
[4] โครงสร้างในการนมัสการไม่ได้จำกัดเสรีภาพของเราในการทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อพระองค์เปลี่ยนแผนที่เราวางไว้! โครงสร้างให้ทิศทางแก่การนมัสการ ขณะเดียวกันก็ยังคงเปิดกว้างต่อการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ถ้าหากพระองค์เข้าแทรกแซงโครงสร้างนั้น ในการมอบถวายพระวิหาร มีโครงสร้างที่วางเอาไว้ แต่การสถิตอยู่ของพระเจ้าเปลี่ยนโครงสร้างการประชุมนมัสการ (2 พงศาวดาร 5:13-14)
ในภาคผนวก ก คือโครงร่างที่ผู้นำนบางคนใช้เพื่อวางแผนการนมัสการ คุณอาจพบว่ามันเป็นประโยชน์หากคุณเอาไปดัดแปลงใช้กับการประชุมนมัสการของคุณ รูปแบบเหล่านี้ไม่ใช่รูปแบบตายตัว แต่ให้โครงสร้างที่คุณสามารถดัดแปลงให้เข้ากับความต้องการของคุณได้
โครงสร้างทั่วไปสำหรับการวางแผนนมัสการประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้[5]
(1) โครงสร้างที่มีคำเทศนาเป็นศูนย์กลาง
(2) โครงสร้างบนพื้นฐานกิจกรรมที่คนของพระเจ้าทำในการนมัสการ
คนของพระเจ้ามารวมตัวกัน: เรียกให้นมัสการ บทเพลงแห่งการสรรเสริญ การอธิษฐาน
คนของพระเจ้าฟังพระวจนะ: การอ่านพระคัมภีร์และคำเทศนา
คนของพระเจ้าตอบสนองต่อพระวจนะ: บทเพลงสรรเสริญเชื้อเชิญ การถวาย
คนของพระเจ้าถูกส่งออกไป: บทเพลงสรรเสริญปิดประชุม คำอวยพร
(3) โครงสร้างที่แสดงถึงการสนทนาระหว่างพระเจ้ากับคนของพระองค์ (ตามอิสยาห์บทที่ 6)
พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เอง (ข้อ 1): เรียกให้นมัสการ
คนของพระเจ้าตอบสนองด้วยการสรรเสริญและสารภาพ (ข้อ 3-5): บทเพลงสรรเสริญและคำอธิษฐาน
พระเจ้าตรัสกับคนของพระองค์ (ข้อ 6-8): พระคัมภีร์และคำเทศนา
คนของพระเจ้าตอบสนองด้วยการอุทิศตน (ข้อ 8): บทเพลงสรรเสริญและการถวาย
พระเจ้ามอบหมายแก่คนของพระองค์ (ข้อ 9): การอวยพร
(4) โครงสร้างบนพื้นฐานของสดุดี 95
เข้ามาด้วยความยินดีในการขอบพระคุณ (ข้อ 1-5): เรียกให้นมัสการ บทเพลงแห่งการสรรเสริญ
ต่อเนื่องการนมัสการด้วยความยำเกรง (ข้อ 6-7): บทเพลงสรรเสริญสำหรับสารภาพ คำอธิษฐาน
ฟังเสียงของพระเจ้า (ข้อ 7-11): พระคัมภีร์และคำเทศนา
ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้ของโครงร่างการนมัสการทั้ง 4 แบบ มีให้ที่นี่
การสื่อสารข้อความเดียวกัน
การนมัสการพูดต่อพระเจ้า แต่ก็พูดกับที่ประชุมด้วย ในการนมัสการเรานำพระวจนะของพระเจ้ามาให้กับผู้นมัสการ เมื่อวางแผนการประชุมนมัสการ การถามว่า “พระเจ้าต้องการบอกข้อความอะไรให้กับคนของพระองค์ในการประชุมนมัสการนี้?” จะเป็นประโยชน์
คุณเคยร่วมการประชุมนมัสการแบบนี้ไหม?
ระเบียบการประชุมนมัสการ
หัวข้อ
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 1
พระพรของการอธิษฐาน
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 2
สรรเสริญแด่พระเจ้า
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 3
ความหวังของเราในสวรรค์
บทเพลงสรรเสริญร้องเดี่ยว/ประสานเสียง
เชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสู่ชีวิตเรา
คำเทศนา
“พระเจ้าเรียกโยนาห์ไปยังนีนะเวห์” – ท้าทายให้ประกาศข่าวประเสริฐ
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 4
สรรเสริญแด่พระเจ้า
ข้อความอะไรที่จะคงอยู่ในใจผู้นมัสการ? พวกเขาได้ร้องเพลงเกี่ยวกับการอธิษฐาน สรรเสริญพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้นฟังคำเทศนาหัวข้อที่ไม่เกี่ยวข้องกันอย่างสิ้นเชิง ในช่วงสัปดาห์ต่อมา ผู้คนจะจดจำการท้าทายเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐอยู่ไหม? ไม่แน่อาจจะ แต่โครงสร้างการประชุมนมัสการไม่ได้สนับสนุนหัวข้อนี้
ตอนนี้ลองพิจารณาแผนการประชุมนมัสการที่ล้อมรอบหัวข้อการประกาศข่าวประเสริฐ
ระเบียบการประชุมนมัสการ
หัวข้อ
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 1
สรรเสริญแด่พระเจ้า
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 2
สรรเสริญและประกาศข่าวประเสริฐ
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 3
บทสรุปของเนื้อหาข่าวประเสริฐที่เราประกาศ
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 4
ความจำเป็นในการประกาศข่าวประเสริฐ
คำเทศนา
“พระเจ้าเรียกโยนาห์ไปยังนีนะเวห์” – ท้าทายให้ประกาศข่าวประเสริฐ
บทเพลงสรรเสริญร้องเดี่ยว/ประสานเสียง
การมอบหมายให้ประกาศข่าวประเสริฐ
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 5
ตอบสนองต่อการมอบหมาย
เนื่องจากผู้นำได้วางแผนการประชุมนมัสการเพื่อสื่อสารหัวข้อหลักหัวข้อเดียว ผู้คนก็จะได้ยินเสียงของพระเจ้าตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งเตือนพวกเขาถึงการเรียกให้ประกาศข่าวประเสริฐ เมื่อพวกเขาขับรถผ่านผู้คนที่ชีวิตว่างเปล่า พวกเขาก็อาจระลึกได้ถึงเนื้อเพลงที่กล่าวว่า ทุกคนต้องการพระเจ้า ขณะที่พวกเขากำลังทำงานวันอังคาร พวกเขาอาจจะชื่นชมยินดีที่พระเยซูช่วยให้รอดและระลึกว่าเพราะพระเยซูได้ช่วยเราให้รอด เราจึงต้องแบ่งปันความยินดีนี้ให้กับคนอื่น
พระเจ้าทำงานผ่านการประชุมนมัสการที่ไม่มีหัวข้อหลักได้ไหม? ได้แน่นอน! อย่างไรก็ตามเราช่วยให้ที่ประชุมของเราจดจ่อกับข้อความที่เราได้ใช้เวลาวางแผนมาอย่างรอบคอบ วิธีนี้จำเป็นเสมอไปไหม? ไม่เลย การประชุมนมัสการจะมีหลายหัวข้อในบางครั้งที่พระเจ้าใช้เพื่อตรัสกับความต้องการที่หลากหลายในที่ประชุม เราต้องไม่ติดกับดักของการคิดว่าพระเจ้าทำงานผ่านระบบเดียวเท่านั้น แต่บ่อยครั้งที่หัวข้อเดียวกันช่วยให้ผู้นมัสการจดจ่อกับข้อความที่สื่อสารในการประชุมได้
รักษาความสมดุลในการนมัสการ
เราทุกคนมีของโปรดเช่น อาหารโปรด ดนตรีโปรด หนังสือเล่มโปรด เกมส์โปรด และพระคัมภีร์พระธรรมเล่มโปรอ ในการวางแผนการนมัสการ สิ่งสำคัญคือการที่ผู้นำไม่ใช้แค่เพลงโปรด พระคัมภีร์ข้อโปรด และหัวข้อเทศนาโปรดเท่านั้น การนมัสการอย่างสมดุลจะพูดถึงข่าวประเสริฐที่ครบถ้วนให้กับที่ประชุมทั้งหมด
(1) การนมัสการที่สมดุลแสดงให้เห็นทั้งพระเจ้าผู้มีสง่าราศียิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สถิตอยู่กับเรา
พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ได้รับการยกย่องซึ่งปกครองเหนือโลกทั้งหมด พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่อยู่ด้วยกับประชากรของพระองค์ด้วยเช่นกัน เรามองเห็นความสมดุลนี้ตลอดทั้งพระคัมภีร์
หลังจากข้ามทะเลแดง ประชาชนอิสราเอลร้องเพลงถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ในบรรดาพระต่างๆ องค์ไหนจะเป็นเหมือนพระองค์เล่า? องค์ไหนจะเหมือนพระองค์ผู้ทรงงามสง่าในความบริสุทธิ์ และน่าเกรงขามด้วยพระสิริและทรงทำการอัศจรรย์? พระองค์เหยียดพระหัตถ์ขวาออก แผ่นดินก็กลืนพวกเขาเสีย “ด้วยความรักมั่นคง พระองค์ทรงนำชนชาติซึ่งทรงไถ่ไว้ ด้วยพระเดชานุภาพ พระองค์ทรงพาพวกเขามาถึงที่สถิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์” (อพยพ 15:11-13)
อิสยาห์มองเห็นองค์เจ้านายประทับบนพระที่นั่งอันสูงส่งและรับการเทิดทูน แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยพระสิริของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับการยกย่อง แต่พระองค์ตรัสส่วนตัวกับอิสยาห์เพื่อมอบหมายหน้าที่ว่า “ไปเถอะและกล่าวแก่ชนชาตินี้ว่า...” (อิสยาห์ 6:1-13)
ผู้เขียนสดุดียกย่องพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านายของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระนามของพระองค์สูงส่งยิ่งนักทั่วทั้งแผ่นดินโลก
พระองค์ทรงตั้งพระสิริของพระองค์ไว้เหนือฟ้าสวรรค์” พระเจ้าผู้ได้รับการยกย่องนี้ได้เข้ามามีความสนิทสนมกับมนุษย์ “มนุษย์เป็นผู้ใดเล่า ที่พระองค์ทรงระลึกถึงเขา? และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่า ที่พระองค์ทรงห่วงใยเขา?” (สดุดี 8)
ในการนมัสการ เราเอาใจใส่ทั้งพระเจ้าผู้มีสง่าราศียิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สถิตอยู่กับเรา เมื่อการนมัสการของเราหลงลืมพระเจ้าผู้มีสง่าราศียิ่งใหญ่ พระองค์ก็จะกลายมาเป็นเพื่อนธรรมดา ๆ ที่ไม่ต้องการการเชื่อฟังและการรับใช้อีกต่อไป เมื่อการนมัสการของเราลืมพระเจ้าผู้สถิตอยู่กับเรา เราก็จะนมัสการพระองค์แบบห่างไกล พระองค์เป็นพระเจ้าที่ไม่ห่วงใยเราเลย ในการวางแผนนมัสการ เราควรเอาใจใส่ทั้งสองด้านในความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมนุษย์ เราต้องเตือนให้ผู้นมัสการระลึกว่าเรายำเกรงพระเจ้า แต่เราก็ต้องระลึกด้วยว่าเราปิติยินดีในพระเจ้า ในการอธิษฐาน เราสรรเสริญพระเจ้าสำหรับการงานอันมีฤทธิ์ของพระองค์ แต่เราก็มาหาพระองค์ด้วยความต้องการส่วนตัวที่จะสนิทสนมกับพระองค์ด้วยเช่นกัน
► ขอให้พิจารณาชุดบทเพลงสรรเสริญในภาษาของคุณ ค้นหาตัวอย่างบทเพลงที่ตระหนักถึงสง่าราศีของพระเจ้า และค้นหาอีกบทเพลงเกี่ยวกับพระองค์ผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรา
(2) การนมัสการที่สมดุลทั้งในที่ประชุมและส่วนตัว
พระธรรมสดุดีประกอบไปด้วยการสรรเสริญในที่ประชุมและการสรรเสริญส่วนตัว สดุดีบางตอนพูดถึงคำสรรเสริญ “ของพวกเรา” บางตอนพูดถึงคำสรรเสริญ “ของข้าพเจ้า” ผู้นมัสการชาวฮีบรูนมัสการร่วมกันที่พระวิหาร แต่ที่บ้านพวกเขาอธิษฐานส่วนตัว พระเยซูมักจะไปที่ธรรมศาลาเพื่อนมัสการในที่ประชุม พระองค์ไปยังที่เปลี่ยวด้วยเพื่อใช้เวลาตามลำพังกับพระบิดา (ลูกา 4:16 และมาระโก 1:35) การนมัสการในพระคัมภีร์มีทั้งในที่ประชุมและส่วนตัว ในการนมัสการนั้น เราต้องเตรียมโอกาสสำหรับการนมัสการร่วมกันในที่ประชุมเป็นกายเดียวกัน และเตรียมโอกาสสำหรับส่วนตัวเพื่อให้ผู้นมัสการได้แสดงออกถึงการอุทิศตนส่วนตัวต่อพระเจ้า
นำมาสู่การปฏิบัติ
การนมัสการทั้งในที่ประชุมและส่วนตัวจะมีผลกระทบต่อทุกด้านของการประชุมนมัสการ เราจะร่วมกันร้องเพลงสำหรับที่ประชุมทั้งหมด และเราก็จะร่วมกันร้องเพลงที่เป็นการนมัสการส่วนตัว เราจะอธิษฐานต่อ “พระบิดาของเราในสวรรค์” เราจะมีเวลาในกลุ่มอธิษฐานที่ให้แต่ละคนได้อธิษฐานส่วนตัวในพระกายนี้
ยิ่งกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ การนมัสการในที่ประชุมเป็นความท้าทาย ในยุคที่โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต การส่งข้อความและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรานั่งอยู่ในที่ประชุมนมัสการโดยอารมณ์และจิตวิญญาณไม่ได้ร่วมนมัสการด้วย การอุทิศตัวเพื่อนมัสการร่วมกันต้องการให้เราแยกตัวเองออกจากสิ่งที่ดึงความสนใจและมานมัสการร่วมกับพระกาย
► ขอให้พิจารณาชุดบทเพลงสรรเสริญและเพลงประสานเสียงในภาษาของคุณ ค้นหาตัวอย่างบทเพลงที่มีเนื้อร้องที่ถูกเขียนจากมุมมองส่วนรวม ซึ่งอาจมีคำสรรพนามคำว่า “ของพวกเรา” “พวกเรา” “พวกเราเอง” หรือคำเช่น “ปวงชน” จากนั้นให้ค้นหาเพลงที่มีเนื้อร้องที่ถูกเขียนจากมุมมองของบุคคลหนึ่ง ซึ่งอาจมีคำสรรพนามคำว่า “ของฉัน” “ฉัน” “ฉันเอง”
(3) การนมัสการที่สมดุลโดยใช้ทั้งสิ่งที่คุ้นเคยแล้วกับสิ่งใหม่ที่ยังไม่รู้จัก
ความสมดุลนี้เป็นไปในเชิงปฏิบัติมากกว่าในเชิงศาสนศาสตร์ แต่ก็มีความสำคัญถ้าหากเราต้องการให้คนในที่ประชุมมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการนมัสการ ในการวางแผนเพื่อการนมัสการเราควรสมดุลโดยใช้ทั้งสิ่งที่คุ้นเคยแล้วกับสิ่งใหม่ที่ยังไม่รู้จัก
หากมีสิ่งใหม่มากเกินไปก็จะทำให้คนในที่ประชุมกลายเป็นผู้สังเกตการณ์แทนที่จะเป็นผู้นมัสการ พวกเขาไม่สามารถมีส่วนร่วมได้เพราะไม่รู้จักเพลงใหม่ ซี. เอส. ลูอิสเคยบ่นว่าศิษยาภิบาลหลายคนลืมไปว่า “พระเยซูบอกให้เปโตร ‘เลี้ยงดูแกะของเรา’ ไม่ใช่ ‘สอนเทคนิคการเล่นละครแบบใหม่ๆ ให้สุนัขของเรา’” ความแปลกใหม่มากเกินไปทำให้ยากต่อการมุ่งเน้นไปที่การนมัสการ
อะไรที่คุณคุ้นเคยมากเกินไป มันก็จะกลายเป็นกิจวัตรที่ไม่มีความหมาย การประชุมนมัสการที่คนคาดเดาได้อย่างถูกต้องจะทำให้ที่ประชุมสูญเสียความสนใจและเลิกนมัสการ
การวางแผนการนมัสการควรประกอบไปด้วยทั้งเพลงที่คุ้นเคยกับเพลงใหม่ ยกตัวอย่าง เช่น ผู้นำนมัสการคนหนึ่งเลือกนำที่ประชุมด้วยบทเพลงสรรเสริญบทใหม่เกี่ยวกับการไถ่บาป บทเพลงนี้แสดงถึงมูลค่าที่ต้องชดใช้ในการไถ่บาป หลังจากขับร้องบทเพลงนี้แล้ว ผู้นำนมัสการก็ใช้เพลงเก่ากว่าที่คุ้นเคยเพื่อเรียกให้ที่ประชุมตอบสนองต่อการเสียสละของพระเยซู ความสมดุลระหว่างเพลงเก่ากับเพลงใหม่ทำให้ที่ประชุมนมัสการด้วยความกระตือรือร้น
นำมาสู่การปฏิบัติ
การนมัสการที่สมดุลโดยใช้ทั้งสิ่งที่คุ้นเคยแล้วกับสิ่งใหม่ที่ยังไม่รู้จักก็จะใช้ทั้งบทเพลงสรรเสริญเดิม ๆ กับบทเพลงใหม่ จะใช้ทั้งข้อพระคัมภีร์ที่คุ้นเคยมากที่สุดกับคุ้นเคยน้อยที่สุด ก่อนที่จะอ่านพระคัมภีร์ตอนที่คุ้นเคยมากอย่างเช่น ยอห์น 3:1-21 ที่พระเยซูสอนเรื่องการบังเกิดใหม่ เราสามารถอ่านข้อพระคัมภีร์ตอนที่คุ้นเคยน้อยที่สุดอย่างเช่น เอเสเคียล 36:16-38 ซึ่งพระเจ้าสัญญาว่าจะชำระล้างอิสราเอลด้วยน้ำและให้ประชาชนมีใจใหม่ พระคัมภีร์ทั้งสองตอนนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมากในหัวข้อเดียวกัน การอ่านพระคัมภีร์ทั้งสองตอนจะทำให้ที่ประชุมมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูในยอห์นบทที่ 3
ถ้าหากคุณกำลังนำเสนอเพลงใหม่เพลงหนึ่ง พร้อมกับเพลงใหม่ควรเป็นเพลงที่คุ้นเคย เมื่อเราเปิดการนมัสการด้วยเพลงที่ไม่คุ้นเคย การประชุมนมัสการก็เริ่มต้นด้วยความไม่แน่นอน เป็นการฉลาดที่จะเปิดประชุมด้วยเพลงคุ้นเคยและจากนั้นค่อยแนะนำเพลงใหม่
คริสตจักรในใต้หวันมีวิธีการแนะนำเพลงอย่างสร้างสรรค์ คนส่วนใหญ่ในที่ประชุมเป็นผู้เชื่อใหม่และไม่รู้จักเพลงที่เราร้องกัน คริสตจักรนี้จัดให้มีการซ้อมเพลงก่อนที่จะเริ่มประชุมนมัสการแต่ละครั้ง ยี่สิบนาทีก่อนการนมัสการ ผู้คนร้องเพลงที่ใช้ในการประชุมนมัสการได้ นักเปียโนเล่นเมโลดี้เพื่อให้ทุกคนรู้โทนเสียง เนื่องจากนี่คือการซ้อม ผู้นำจึงสามารถหยุดและซ้ำท่อนใดท่อนหนึ่งจนกว่าที่ประชุมจะร้องได้ เมื่อถึงเวลา 10:00 โมง ผู้คนก็ร้องเพลงใหม่ได้ด้วยความมั่นใจ
► ขอให้พิจารณาชุดบทเพลงสรรเสริญในภาษาของคุณ ค้นหาสองเพลงที่มีแนวเดียวกันหรือสองเพลงที่มีหัวข้อสัมพันธ์กัน ทั้งสองเพลงควรมีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน หนึ่งเพลงควรเป็นที่รู้จักคุ้นเคย และอีกหนึ่งเพลงควรเป็นเพลงที่ยังไม่รู้จัก หากคุณต้องใช้สองเพลงนี้ในการประชุมนมัสการ คุณจะร้องเพลงไหนก่อน? แล้วคุณจะเปลี่ยนผ่านไปสู่เพลงที่สองอย่างไร?
วางแผนเป็นทีม
พระธรรมปัญญาจารย์ให้คำแนะนำในทางปฏิบัติเรื่องนี้ไว้ “สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับรางวัลดีสำหรับการตรากตรำของพวกเขา” (ปัญญาจารย์ 4:9) การวางแผนนมัสการควรเป็นกิจกรรมของทีม ทุกคนที่มีส่วนในการนำนมัสการในที่ประชุมควรมีบทบาทในการวางแผน
ในฐานะศิษยาภิบาล ผู้นำเพลง และผู้นำอื่น ๆ ในคริสตจักร ควรประชุมร่วมกันเพื่อแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับการประชุมนมัสการ ให้ของประทานของแต่ละคนทำงานร่วมกัน โดยการทำงานเป็นทีมทำให้จุดแข็งของผู้นำของคริสตจักรแต่ละคนส่งเสริมการนมัสการ
วางแผนระยะยาว
ไม่มีการประชุมนมัสการครั้งใดที่รวมเนื้อหาทั้งหมดของพระคัมภีร์ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราควรสื่อสารทุกด้านของพระกิตติคุณให้กับผู้นมัสการของเรา แต่ละคนมีหัวข้อโปรดของตัวเอง เราต้องผลักดันตัวเองให้เทศนาและร้องเพลงในหัวข้อที่ไม่ใช่หัวข้อหรือเพลงโปรดของเราเอง
ศิษยาภิบาลและผู้นำนมัสการบางคนใช้ปฏิทินเพื่อกำหนดหัวข้อสำหรับสอนพระคัมภีร์ในสามปี[6] บางคนวางแผนเป็นสัปดาห์แต่ระมัดระวังที่จะให้ครบเนื้อหาทั้งหมดของพระคัมภีร์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
แม้ว่าถ้าคุณไม่ได้ทำตามปฏิทินการสอนอย่างเคร่งครัด แต่การรู้ถึงวาระสำคัญต่าง ๆ ของปฏิทินคริสเตียนก็จะทำให้คุณสอนด้านที่สำคัญ ๆ ของพระกิตติคุณได้ วาระสำคัญต่าง ๆ ในปฏิทินของคริสเตียนได้แก่วาระต่อไปนี้
เทศกาลเตรียมรับเสด็จ (4 วันอาทิตย์นับถอยหลังสู่วันคริสตมาส): จุดเน้นทั้งการมาครั้งแรกและการมาครั้งที่สองของพระคริสต์
คริสตมาส: จุดเน้นที่การมาบังเกิดและการกำเนิดของพระคริสต์
เทศกาลมหาพรต (6 วันอาทิตย์นับถอยหลังสู่อีสเตอร์): จุดเน้นที่การทนทุกข์และการตายของพระเยซู ตลอดจนข้อเรียกร้องของการเป็นสาวกสำหรับผู้เชื่อทุกคน
อีสเตอร์: จุดเน้นที่การฟื้นขึ้นจากความตายและการขึ้นสู่สวรรค์ของพระคริสต์
เทศกาลเพ็นเทคอส: จุดเน้นที่พระวิญญาณบริสุทธิ์และคริสตจักร
ไม่ว่าคุณจะทำตามลำดับที่เป็นทางการหรือแผนงานพื้นฐานประจำสัปดาห์ ขอให้แน่ใจว่าคนในที่ประชุมของคุณได้ยินพระกิตติคุณทั้งหมดโดยเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ
วางแผนอย่างมีสันติสุข
การนมัสการไม่ได้เกี่ยวกับเรา การนมัสการคือเครื่องบูชาที่เราถวายแด่พระเจ้า การวางแผนการนมัสการเป็นส่วนหนึ่งของการถวาย เราวางแผนการนมัสการโดยไม่ต้องรู้สึกถูกกดดันด้วยความคิดที่ว่า “ดีพอหรือยัง?” เรานมัสการพระเจ้าแห่งพระคุณ การถวายของเราเป็นที่ยอมรับไม่ใช่เพราะมันดีพอ แต่เพราะพระเจ้ายอมรับของถวายที่ลูกของพระองค์ถวายด้วยความเต็มใจ
นี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะหลีกเลี่ยงความกดดันที่ว่า “เราต้องตามให้ทันคริสตจักร XYZ” ในโลกปัจจุบันที่เทคโนโลยีและมัลติมีเดียก้าวหน้า ผู้นำในหลายคริสตจักรรู้สึกกดดันอย่างต่อเนื่องที่จะต้องทันสมัยเหมือนกับคริสตจักรอื่น ๆ ศิษยาภิบาลทั้งหลายแข่งขันกันมีเทคโนโลยีล่าสุด ผู้กำกับเพลงแข่งขันกันร้องเพลงใหม่ล่าสุด ผู้นมัสการกลายเป็นนักช้อปปิ้งมองหาคริสตจักรที่มีข้อเสนอที่ดึงดูดใจใหม่ล่าสุด
อย่าพ่ายแพ้ต่อการล่อใจให้พยายามทำให้พระเจ้าประทับใจด้วยของถวายของคุณ อย่ายอมให้อุปกรณ์ที่ใช้ในการนมัสการอย่างเช่นดนตรีและเทคโนโลยีมาแทนที่การนมัสการที่แท้จริง นำสิ่งที่คุณรู้ว่าดีที่สุดที่พระเจ้าแห่งพระคุณจะชื่นชมกับกลิ่นหอมหวานของเครื่องบูชาของคุณ ให้สิ่งดีที่สุดแด่พระองค์ แล้วก็วางใจว่าพระองค์จะยอมรับของถวายของคุณ การนมัสการไม่ใช่การแข่งขันกับคริสตจักรอื่น ๆ แต่มันคือของขวัญมอบให้แด่พระเจ้า
[1]
“คนที่นำคนอื่นให้มาเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์ ต้องเคยเดินทางไกลเพื่อเข้ามาในประเทศขององค์กษัตริย์นั้นและต้องได้เพ่งดูพระพักตร์ของพระองค์อยู่เนือง ๆ”
- ชาร์ลส์ สเปอร์เจียน
[3] Lois and Fred Bock,
Creating Four-Part Harmony , (Carol Stream: Hope Publishing, 1989), 43
[4]
“ความเป็นธรรมชาติโดยปราศจากระเบียบอาจกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย และระเบียบที่ปราศจากความเป็นธรรมชาติก็อาจไร้ชีวิตชีวาได้”
- แฟรงกลิน เซกเลอร์ และ
แรนดอล แบรดลีย์
[5] โครงสร้างที่ผมรวมไว้ที่นี่นั้นสำหรับการประชุมนมัสการทั้งหมด ผู้นำนมัสการบางคนใช้โครงสร้างต่าง ๆ สำหรับส่วนของดนตรีเท่านั้น ผมไม่ได้รวมสิ่งเหล่านี้ไว้เพราะมันเป็นการแยกการนมัสการออกจากส่วนที่เหลือของการประชุม ในพระคัมภีร์ การนมัสการรวมถึงทุกส่วนของการประชุมนมัสการ ไม่ใช่การนมัสการด้วยดนตรีที่จัดแยกไว้จากการเทศนา
Previous
Next