แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 8: การวางแผนและการนำนมัสการ

2 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์ของบทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) ยอมรับถึงความสำคัญของการเตรียมตัวฝ่ายวิญญาณสำหรับการนำนมัสการ

(2) เข้าใจบทบาทของโครงสร้างและหัวข้อของการนมัสการในที่ประชุม

(3) วางแผนการนมัสการในที่ประชุมให้สมดุลเพื่อจะพูดกับทั้งพระกายของพระคริสต์

(4) เห็นคุณค่าของคุณภาพที่ผู้นำนมัสการจำเป็นต้องมี

(5) แยกแยะความแตกต่างระหว่างการนำกับการบังคับควบคุมในการนมัสการได้

(6) ประยุกต์ใช้ขั้นตอนในเชิงปฏิบัติสำหรับการนำนมัสการอย่างมีประสิทธิภาพ

การเตรียมตัวสำหรับบทเรียนนี้

ท่องจำ 2 พงศาวดาร 5:13-14

บทนำ

► คุณให้เวลากับการวางแผนการนมัสการในที่ประชุมแต่ละสัปดาห์มากแค่ไหน? คุณเตรียมเพลงที่เข้ากันกับคำเทศนาหรือไม่? การวางแผนในลักษณะนี้จำเป็นไหมหรือการวางแผนล่วงหน้าขัดขวางเสรีภาพของพระวิญญาณในการนมัสการหรือไม่?

ลองนึกภาพผู้หญิงที่กำลังเตรียมอาหารสำหรับแขกพิเศษ เมื่อแขกมาถึงเพื่อรับประทานอาหารเย็น เจ้าของบ้านก็กล่าวว่า “ฉันไม่เชื่อว่าการทำอาหารจะต้องใช้เวลามากเกินไป นี่คือขนมปัง เนื้อ และผักที่เหลือ ก็แค่เอารวม ๆ กันอย่างที่คุณต้องการ” คุณจะทำสิ่งนี้ให้กับแขกพิเศษหรือไม่? ไม่แน่นอน! คุณต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับแขกของคุณ

ลองนึกภาพศิษยาภิบาลที่นำการนมัสการมาเป็นของขวัญแด่พระเจ้า เขากล่าวว่า “ผมไม่เชื่อในการวางแผนการนมัสการที่ต้องใช้เวลามากเกินไป ผมอยากให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มีอิสระที่จะพูดผ่านผม ดังนั้นผมจะไม่วางแผนอะไรเลย แต่จะให้พระวิญญาณนำผม”

ผู้นำบางคนเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถทำงานผ่านคำเทศนาที่เตรียมมาอย่างดีหรือการรับใช้ที่วางแผนไว้อย่างดี อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์แสดงให้เห็นคุณค่าของการวางแผนสำหรับการนมัสการ ตั้งแต่การเอาใจใส่เตรียมนักดนตรีสำหรับการนมัสการในพระวิหาร ไปจนถึงคำแนะนำของเปาโลเกี่ยวกับการนมัสการของคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าการวางแผนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเป็นผู้นำในการทำพันธกิจ เราต้องไม่นำเครื่องบูชาที่ไม่ได้จ่ายราคาอะไรเลยมาถวายพระเจ้า เนื่องจากการนมัสการคือการถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า พระเจ้าจึงสมควรได้รับเครื่องบูชาที่ดีที่สุดของเรา

ในบทเรียนนี้ เราจะพิจารณาสองด้านของการเป็นผู้นำนมัสการ ด้านแรก เราจะศึกษาความสำคัญของการวางแผนสำหรับการนมัสการ จากนั้น เราจะพิจารณาถึงความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในการนมัสการ

การเตรียมตัวสำหรับการนมัสการในที่ประชุม

► อ่าน อพยพ 28-29 สังเกตดูการเตรียมตัวอย่างดีของคนเหล่านั้นที่นำอิสราเอลในการนมัสการ คุณเตรียมตัวฝ่ายวิญญาณ จิตใจ และอารมณ์อย่างไรเพื่อนำนมัสการ?

การเตรียมผู้นำนมัสการให้พร้อม

การวางแผนและการเตรียมสำหรับการนมัสการในที่ประชุมเป็นสิ่งสำคัญ การเตรียมผู้นำนมัสการให้พร้อมยิ่งสำคัญมากกว่า เราไม่สามารถนำคนไปยังที่ที่เราไม่เคยไป ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงต้องเตรียมใจของเราให้พร้อมก่อนที่เราจะพยายามนำคนอื่นในการนมัสการ

[1]ในบทที่ 2 เราเห็นถึงข้อกำหนดของพระเจ้าสำหรับผู้นมัสการ พระเจ้าเรียกให้ผู้นมัสการของพระองค์มีมือสะอาดและมีใจบริสุทธิ์ ก่อนเริ่มต้นเตรียมการนมัสการในที่ประชุม เราควรเตรียมตัวเองให้พร้อมในฐานะผู้นำนมัสการ เราต้องเตรียมพร้อมฝ่ายวิญญาณเพื่อนำนมัสการ

เริ่มต้นวางแผนการนมัสการด้วยการอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ ใช้เวลากับพระวจนะของพระเจ้าเพื่อพัฒนาชีวิตฝ่ายวิญญาณของคุณเอง อันตรายอย่างหนึ่งสำหรับผู้นำนมัสการคือการทดแทนการพัฒนาชีวิตฝ่ายวิญญาณส่วนตัวด้วยการเตรียมงานสำหรับพันธกิจ เราสามารถศึกษาพระคัมภีร์เพื่อเตรียมคำเทศนาสำหรับผู้อื่นได้ในขณะที่ให้พระวจนะของพระเจ้าพูดกับความต้องการในจิตวิญญาณของเราเองด้วย

ก่อนเลือกข้อพระคัมภีร์และเพลงที่กล่าวพระวจนะของพระเจ้าต่อที่ประชุม ขอให้ใช้เวลาเพื่อให้พระวจนะและพระวิญญาณของพระเจ้าพูดกับคุณส่วนตัวก่อน จากนั้นเมื่อคุณเริ่มต้นวางแผนสำหรับการประชุมนมัสการในวันอาทิตย์ จงขอให้พระเจ้านำคุณไปยังข้อพระคัมภีร์ หัวข้อคำเทศนา และดนตรีที่จะพูดกับความต้องการของผู้คน

ตรวจสอบ

คุณพัฒนาให้มีรูปแบบที่ดีในการนมัสการส่วนตัวในชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง? คุณกำลังเผชิญกับอุปสรรคอะไร? คุณตอบสนองต่ออุปสรรคเหล่านั้นอย่างไร?

การวางแผนการนมัสการในที่ประชุม[2]

เฟรด บอค (Fred Bock) อธิบายถึงการเตรียมตัวของศิษยาภิบาลที่เขารับใช้ภายใต้ คือ แอลลอยด์ จอห์น โอกิลวี (Lloyd John Ogilvie) ดร.โอกิลวีวางแผนคำเทศนาของเขาสำหรับตลอดทั้งปี หลายครั้งหัวข้อคำเทศนาที่เลือกไว้สำหรับเดือนมกราคมกลับเป็นหัวข้อที่ตรงกับความจำเป็นที่มีของคนในที่ประชุมเมื่อนำมาเทศนาในเดือนกรกฎาคม ทำไมหรือ? “พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าของเมื่อวานนี้ วันนี้ และพรุ่งนี้ พระองค์รู้ถึงความจำเป็นของเราล่วงหน้า นานก่อนที่เราจะรู้...และเมื่อเราเตรียมพร้อมกับบริหารจัดการ สิ่งนี้ทำให้เราเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากขึ้นและยืดหยุ่นได้สำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์”[3] พระวิญญาณบริสุทธิ์รู้ว่าใครจะอยู่ในที่ประชุมนมัสการของคุณ พระองค์สามารถนำคุณให้ใช้บทเพลงและพระคัมภีร์ที่จะพูดตอบสนองความต้องการของพวกเขา

คุณอาจไม่ควรวางแผนปีละครั้ง แต่การวางแผนสำหรับการนมัสการสำคัญ การวางแผนอย่างรอบคอบทำให้เรามีอิสระที่จะจดจ่อกับการนมัสการในช่วงการประชุม แทนที่จะมานั่งกังวลว่า “อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป?” เมื่อเราไม่วางแผน เราก็มักจะถอยหลังจากสิ่งที่เราทำเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า การวางแผนทำให้เรามีอิสระที่จะสร้างสรรค์ได้

เริ่มต้นด้วยโครงสร้าง

พวกเราส่วนใหญ่ชอบระเบียบในชีวิต เรามีแนวโน้มที่จะกินอาหารเช้าตอนเชา และกินอาหารเย็นตอนเย็น เรามักจะอ่านหนังสือจากบทที่ 1 ไปจนจบมากกว่าอ่านแบบสุ่มหน้า ไม่มีนักเดินทางคนใดที่จะบินข้ามประเทศและได้ยินนักบินพูดว่า “เรายังไม่ตัดสินใจว่าจะใช้เส้นทางใดในวันนี้ เราจะบินก่อนแล้วค่อยดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น” เราชอบโครงสร้าง

[4]โครงสร้างในการนมัสการไม่ได้จำกัดเสรีภาพของเราในการทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อพระองค์เปลี่ยนแผนที่เราวางไว้! โครงสร้างให้ทิศทางแก่การนมัสการ ขณะเดียวกันก็ยังคงเปิดกว้างต่อการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ถ้าหากพระองค์เข้าแทรกแซงโครงสร้างนั้น ในการมอบถวายพระวิหาร มีโครงสร้างที่วางเอาไว้ แต่การสถิตอยู่ของพระเจ้าเปลี่ยนโครงสร้างการประชุมนมัสการ (2 พงศาวดาร 5:13-14)

ในภาคผนวก ก คือโครงร่างที่ผู้นำนบางคนใช้เพื่อวางแผนการนมัสการ คุณอาจพบว่ามันเป็นประโยชน์หากคุณเอาไปดัดแปลงใช้กับการประชุมนมัสการของคุณ รูปแบบเหล่านี้ไม่ใช่รูปแบบตายตัว แต่ให้โครงสร้างที่คุณสามารถดัดแปลงให้เข้ากับความต้องการของคุณได้

โครงสร้างทั่วไปสำหรับการวางแผนนมัสการประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้[5]

(1) โครงสร้างที่มีคำเทศนาเป็นศูนย์กลาง

  • คำประกาศความจริง: บทเพลงสรรเสริญ พระคัมภีร์ คำเทศนา

  • การตอบสนองต่อความจริง: การเชื้อเชิญ การถวาย บทเพลงสรรเสริญปิดประชุม

(2) โครงสร้างบนพื้นฐานกิจกรรมที่คนของพระเจ้าทำในการนมัสการ

  • คนของพระเจ้ามารวมตัวกัน: เรียกให้นมัสการ บทเพลงแห่งการสรรเสริญ การอธิษฐาน

  • คนของพระเจ้าฟังพระวจนะ: การอ่านพระคัมภีร์และคำเทศนา

  • คนของพระเจ้าตอบสนองต่อพระวจนะ: บทเพลงสรรเสริญเชื้อเชิญ การถวาย

  • คนของพระเจ้าถูกส่งออกไป: บทเพลงสรรเสริญปิดประชุม คำอวยพร

(3) โครงสร้างที่แสดงถึงการสนทนาระหว่างพระเจ้ากับคนของพระองค์ (ตามอิสยาห์บทที่ 6)

  • พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เอง (ข้อ 1): เรียกให้นมัสการ

  • คนของพระเจ้าตอบสนองด้วยการสรรเสริญและสารภาพ (ข้อ 3-5): บทเพลงสรรเสริญและคำอธิษฐาน

  • พระเจ้าตรัสกับคนของพระองค์ (ข้อ 6-8): พระคัมภีร์และคำเทศนา

  • คนของพระเจ้าตอบสนองด้วยการอุทิศตน (ข้อ 8): บทเพลงสรรเสริญและการถวาย

  • พระเจ้ามอบหมายแก่คนของพระองค์ (ข้อ 9): การอวยพร

(4) โครงสร้างบนพื้นฐานของสดุดี 95

  • เข้ามาด้วยความยินดีในการขอบพระคุณ (ข้อ 1-5): เรียกให้นมัสการ บทเพลงแห่งการสรรเสริญ

  • ต่อเนื่องการนมัสการด้วยความยำเกรง (ข้อ 6-7): บทเพลงสรรเสริญสำหรับสารภาพ คำอธิษฐาน

  • ฟังเสียงของพระเจ้า (ข้อ 7-11): พระคัมภีร์และคำเทศนา

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้ของโครงร่างการนมัสการทั้ง 4 แบบ มีให้ที่นี่

การสื่อสารข้อความเดียวกัน

การนมัสการพูดต่อพระเจ้า แต่ก็พูดกับที่ประชุมด้วย ในการนมัสการเรานำพระวจนะของพระเจ้ามาให้กับผู้นมัสการ เมื่อวางแผนการประชุมนมัสการ การถามว่า “พระเจ้าต้องการบอกข้อความอะไรให้กับคนของพระองค์ในการประชุมนมัสการนี้?” จะเป็นประโยชน์

คุณเคยร่วมการประชุมนมัสการแบบนี้ไหม?

ระเบียบการประชุมนมัสการ หัวข้อ
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 1 พระพรของการอธิษฐาน
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 2 สรรเสริญแด่พระเจ้า
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 3 ความหวังของเราในสวรรค์
บทเพลงสรรเสริญร้องเดี่ยว/ประสานเสียง เชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสู่ชีวิตเรา
คำเทศนา “พระเจ้าเรียกโยนาห์ไปยังนีนะเวห์” – ท้าทายให้ประกาศข่าวประเสริฐ
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 4 สรรเสริญแด่พระเจ้า

ข้อความอะไรที่จะคงอยู่ในใจผู้นมัสการ? พวกเขาได้ร้องเพลงเกี่ยวกับการอธิษฐาน สรรเสริญพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้นฟังคำเทศนาหัวข้อที่ไม่เกี่ยวข้องกันอย่างสิ้นเชิง ในช่วงสัปดาห์ต่อมา ผู้คนจะจดจำการท้าทายเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐอยู่ไหม? ไม่แน่อาจจะ แต่โครงสร้างการประชุมนมัสการไม่ได้สนับสนุนหัวข้อนี้

ตอนนี้ลองพิจารณาแผนการประชุมนมัสการที่ล้อมรอบหัวข้อการประกาศข่าวประเสริฐ

ระเบียบการประชุมนมัสการ หัวข้อ
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 1 สรรเสริญแด่พระเจ้า
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 2 สรรเสริญและประกาศข่าวประเสริฐ
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 3 บทสรุปของเนื้อหาข่าวประเสริฐที่เราประกาศ
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 4 ความจำเป็นในการประกาศข่าวประเสริฐ
คำเทศนา “พระเจ้าเรียกโยนาห์ไปยังนีนะเวห์” – ท้าทายให้ประกาศข่าวประเสริฐ
บทเพลงสรรเสริญร้องเดี่ยว/ประสานเสียง การมอบหมายให้ประกาศข่าวประเสริฐ
บทเพลงสรรเสริญในที่ประชุม 5 ตอบสนองต่อการมอบหมาย

เนื่องจากผู้นำได้วางแผนการประชุมนมัสการเพื่อสื่อสารหัวข้อหลักหัวข้อเดียว ผู้คนก็จะได้ยินเสียงของพระเจ้าตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งเตือนพวกเขาถึงการเรียกให้ประกาศข่าวประเสริฐ เมื่อพวกเขาขับรถผ่านผู้คนที่ชีวิตว่างเปล่า พวกเขาก็อาจระลึกได้ถึงเนื้อเพลงที่กล่าวว่า ทุกคนต้องการพระเจ้า ขณะที่พวกเขากำลังทำงานวันอังคาร พวกเขาอาจจะชื่นชมยินดีที่พระเยซูช่วยให้รอดและระลึกว่าเพราะพระเยซูได้ช่วยเราให้รอด เราจึงต้องแบ่งปันความยินดีนี้ให้กับคนอื่น

พระเจ้าทำงานผ่านการประชุมนมัสการที่ไม่มีหัวข้อหลักได้ไหม? ได้แน่นอน! อย่างไรก็ตามเราช่วยให้ที่ประชุมของเราจดจ่อกับข้อความที่เราได้ใช้เวลาวางแผนมาอย่างรอบคอบ วิธีนี้จำเป็นเสมอไปไหม? ไม่เลย การประชุมนมัสการจะมีหลายหัวข้อในบางครั้งที่พระเจ้าใช้เพื่อตรัสกับความต้องการที่หลากหลายในที่ประชุม เราต้องไม่ติดกับดักของการคิดว่าพระเจ้าทำงานผ่านระบบเดียวเท่านั้น แต่บ่อยครั้งที่หัวข้อเดียวกันช่วยให้ผู้นมัสการจดจ่อกับข้อความที่สื่อสารในการประชุมได้

รักษาความสมดุลในการนมัสการ

เราทุกคนมีของโปรดเช่น อาหารโปรด ดนตรีโปรด หนังสือเล่มโปรด เกมส์โปรด และพระคัมภีร์พระธรรมเล่มโปรอ ในการวางแผนการนมัสการ สิ่งสำคัญคือการที่ผู้นำไม่ใช้แค่เพลงโปรด พระคัมภีร์ข้อโปรด และหัวข้อเทศนาโปรดเท่านั้น การนมัสการอย่างสมดุลจะพูดถึงข่าวประเสริฐที่ครบถ้วนให้กับที่ประชุมทั้งหมด

(1) การนมัสการที่สมดุลแสดงให้เห็นทั้งพระเจ้าผู้มีสง่าราศียิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สถิตอยู่กับเรา

พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ได้รับการยกย่องซึ่งปกครองเหนือโลกทั้งหมด พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่อยู่ด้วยกับประชากรของพระองค์ด้วยเช่นกัน เรามองเห็นความสมดุลนี้ตลอดทั้งพระคัมภีร์

หลังจากข้ามทะเลแดง ประชาชนอิสราเอลร้องเพลงถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ในบรรดาพระต่างๆ องค์ไหนจะเป็นเหมือนพระองค์เล่า? องค์ไหนจะเหมือนพระองค์ผู้ทรงงามสง่าในความบริสุทธิ์ และน่าเกรงขามด้วยพระสิริและทรงทำการอัศจรรย์? พระองค์เหยียดพระหัตถ์ขวาออก แผ่นดินก็กลืนพวกเขาเสีย “ด้วยความรักมั่นคง พระองค์ทรงนำชนชาติซึ่งทรงไถ่ไว้ ด้วยพระเดชานุภาพ พระองค์ทรงพาพวกเขามาถึงที่สถิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์” (อพยพ 15:11-13)

อิสยาห์มองเห็นองค์เจ้านายประทับบนพระที่นั่งอันสูงส่งและรับการเทิดทูน แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยพระสิริของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับการยกย่อง แต่พระองค์ตรัสส่วนตัวกับอิสยาห์เพื่อมอบหมายหน้าที่ว่า “ไปเถอะและกล่าวแก่ชนชาตินี้ว่า...” (อิสยาห์ 6:1-13)

ผู้เขียนสดุดียกย่องพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านายของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระนามของพระองค์สูงส่งยิ่งนักทั่วทั้งแผ่นดินโลก

พระองค์ทรงตั้งพระสิริของพระองค์ไว้เหนือฟ้าสวรรค์” พระเจ้าผู้ได้รับการยกย่องนี้ได้เข้ามามีความสนิทสนมกับมนุษย์ “มนุษย์เป็นผู้ใดเล่า ที่พระองค์ทรงระลึกถึงเขา? และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่า ที่พระองค์ทรงห่วงใยเขา?” (สดุดี 8)

ในการนมัสการ เราเอาใจใส่ทั้งพระเจ้าผู้มีสง่าราศียิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สถิตอยู่กับเรา เมื่อการนมัสการของเราหลงลืมพระเจ้าผู้มีสง่าราศียิ่งใหญ่ พระองค์ก็จะกลายมาเป็นเพื่อนธรรมดา ๆ ที่ไม่ต้องการการเชื่อฟังและการรับใช้อีกต่อไป เมื่อการนมัสการของเราลืมพระเจ้าผู้สถิตอยู่กับเรา เราก็จะนมัสการพระองค์แบบห่างไกล พระองค์เป็นพระเจ้าที่ไม่ห่วงใยเราเลย ในการวางแผนนมัสการ เราควรเอาใจใส่ทั้งสองด้านในความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมนุษย์ เราต้องเตือนให้ผู้นมัสการระลึกว่าเรายำเกรงพระเจ้า แต่เราก็ต้องระลึกด้วยว่าเราปิติยินดีในพระเจ้า ในการอธิษฐาน เราสรรเสริญพระเจ้าสำหรับการงานอันมีฤทธิ์ของพระองค์ แต่เราก็มาหาพระองค์ด้วยความต้องการส่วนตัวที่จะสนิทสนมกับพระองค์ด้วยเช่นกัน

► ขอให้พิจารณาชุดบทเพลงสรรเสริญในภาษาของคุณ ค้นหาตัวอย่างบทเพลงที่ตระหนักถึงสง่าราศีของพระเจ้า และค้นหาอีกบทเพลงเกี่ยวกับพระองค์ผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรา

(2) การนมัสการที่สมดุลทั้งในที่ประชุมและส่วนตัว

พระธรรมสดุดีประกอบไปด้วยการสรรเสริญในที่ประชุมและการสรรเสริญส่วนตัว สดุดีบางตอนพูดถึงคำสรรเสริญ “ของพวกเรา” บางตอนพูดถึงคำสรรเสริญ “ของข้าพเจ้า” ผู้นมัสการชาวฮีบรูนมัสการร่วมกันที่พระวิหาร แต่ที่บ้านพวกเขาอธิษฐานส่วนตัว พระเยซูมักจะไปที่ธรรมศาลาเพื่อนมัสการในที่ประชุม พระองค์ไปยังที่เปลี่ยวด้วยเพื่อใช้เวลาตามลำพังกับพระบิดา (ลูกา 4:16 และมาระโก 1:35) การนมัสการในพระคัมภีร์มีทั้งในที่ประชุมและส่วนตัว ในการนมัสการนั้น เราต้องเตรียมโอกาสสำหรับการนมัสการร่วมกันในที่ประชุมเป็นกายเดียวกัน และเตรียมโอกาสสำหรับส่วนตัวเพื่อให้ผู้นมัสการได้แสดงออกถึงการอุทิศตนส่วนตัวต่อพระเจ้า

นำมาสู่การปฏิบัติ

การนมัสการทั้งในที่ประชุมและส่วนตัวจะมีผลกระทบต่อทุกด้านของการประชุมนมัสการ เราจะร่วมกันร้องเพลงสำหรับที่ประชุมทั้งหมด และเราก็จะร่วมกันร้องเพลงที่เป็นการนมัสการส่วนตัว เราจะอธิษฐานต่อ “พระบิดาของเราในสวรรค์” เราจะมีเวลาในกลุ่มอธิษฐานที่ให้แต่ละคนได้อธิษฐานส่วนตัวในพระกายนี้

ยิ่งกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ การนมัสการในที่ประชุมเป็นความท้าทาย ในยุคที่โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต การส่งข้อความและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรานั่งอยู่ในที่ประชุมนมัสการโดยอารมณ์และจิตวิญญาณไม่ได้ร่วมนมัสการด้วย การอุทิศตัวเพื่อนมัสการร่วมกันต้องการให้เราแยกตัวเองออกจากสิ่งที่ดึงความสนใจและมานมัสการร่วมกับพระกาย

► ขอให้พิจารณาชุดบทเพลงสรรเสริญและเพลงประสานเสียงในภาษาของคุณ ค้นหาตัวอย่างบทเพลงที่มีเนื้อร้องที่ถูกเขียนจากมุมมองส่วนรวม ซึ่งอาจมีคำสรรพนามคำว่า “ของพวกเรา” “พวกเรา” “พวกเราเอง” หรือคำเช่น “ปวงชน” จากนั้นให้ค้นหาเพลงที่มีเนื้อร้องที่ถูกเขียนจากมุมมองของบุคคลหนึ่ง ซึ่งอาจมีคำสรรพนามคำว่า “ของฉัน” “ฉัน” “ฉันเอง”

(3) การนมัสการที่สมดุลโดยใช้ทั้งสิ่งที่คุ้นเคยแล้วกับสิ่งใหม่ที่ยังไม่รู้จัก

ความสมดุลนี้เป็นไปในเชิงปฏิบัติมากกว่าในเชิงศาสนศาสตร์ แต่ก็มีความสำคัญถ้าหากเราต้องการให้คนในที่ประชุมมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการนมัสการ ในการวางแผนเพื่อการนมัสการเราควรสมดุลโดยใช้ทั้งสิ่งที่คุ้นเคยแล้วกับสิ่งใหม่ที่ยังไม่รู้จัก

หากมีสิ่งใหม่มากเกินไปก็จะทำให้คนในที่ประชุมกลายเป็นผู้สังเกตการณ์แทนที่จะเป็นผู้นมัสการ พวกเขาไม่สามารถมีส่วนร่วมได้เพราะไม่รู้จักเพลงใหม่ ซี. เอส. ลูอิสเคยบ่นว่าศิษยาภิบาลหลายคนลืมไปว่า “พระเยซูบอกให้เปโตร ‘เลี้ยงดูแกะของเรา’ ไม่ใช่ ‘สอนเทคนิคการเล่นละครแบบใหม่ๆ ให้สุนัขของเรา’” ความแปลกใหม่มากเกินไปทำให้ยากต่อการมุ่งเน้นไปที่การนมัสการ

อะไรที่คุณคุ้นเคยมากเกินไป มันก็จะกลายเป็นกิจวัตรที่ไม่มีความหมาย การประชุมนมัสการที่คนคาดเดาได้อย่างถูกต้องจะทำให้ที่ประชุมสูญเสียความสนใจและเลิกนมัสการ

การวางแผนการนมัสการควรประกอบไปด้วยทั้งเพลงที่คุ้นเคยกับเพลงใหม่ ยกตัวอย่าง เช่น ผู้นำนมัสการคนหนึ่งเลือกนำที่ประชุมด้วยบทเพลงสรรเสริญบทใหม่เกี่ยวกับการไถ่บาป บทเพลงนี้แสดงถึงมูลค่าที่ต้องชดใช้ในการไถ่บาป หลังจากขับร้องบทเพลงนี้แล้ว ผู้นำนมัสการก็ใช้เพลงเก่ากว่าที่คุ้นเคยเพื่อเรียกให้ที่ประชุมตอบสนองต่อการเสียสละของพระเยซู ความสมดุลระหว่างเพลงเก่ากับเพลงใหม่ทำให้ที่ประชุมนมัสการด้วยความกระตือรือร้น

นำมาสู่การปฏิบัติ

การนมัสการที่สมดุลโดยใช้ทั้งสิ่งที่คุ้นเคยแล้วกับสิ่งใหม่ที่ยังไม่รู้จักก็จะใช้ทั้งบทเพลงสรรเสริญเดิม ๆ กับบทเพลงใหม่ จะใช้ทั้งข้อพระคัมภีร์ที่คุ้นเคยมากที่สุดกับคุ้นเคยน้อยที่สุด ก่อนที่จะอ่านพระคัมภีร์ตอนที่คุ้นเคยมากอย่างเช่น ยอห์น 3:1-21 ที่พระเยซูสอนเรื่องการบังเกิดใหม่ เราสามารถอ่านข้อพระคัมภีร์ตอนที่คุ้นเคยน้อยที่สุดอย่างเช่น เอเสเคียล 36:16-38 ซึ่งพระเจ้าสัญญาว่าจะชำระล้างอิสราเอลด้วยน้ำและให้ประชาชนมีใจใหม่ พระคัมภีร์ทั้งสองตอนนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมากในหัวข้อเดียวกัน การอ่านพระคัมภีร์ทั้งสองตอนจะทำให้ที่ประชุมมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูในยอห์นบทที่ 3

ถ้าหากคุณกำลังนำเสนอเพลงใหม่เพลงหนึ่ง พร้อมกับเพลงใหม่ควรเป็นเพลงที่คุ้นเคย เมื่อเราเปิดการนมัสการด้วยเพลงที่ไม่คุ้นเคย การประชุมนมัสการก็เริ่มต้นด้วยความไม่แน่นอน เป็นการฉลาดที่จะเปิดประชุมด้วยเพลงคุ้นเคยและจากนั้นค่อยแนะนำเพลงใหม่

คริสตจักรในใต้หวันมีวิธีการแนะนำเพลงอย่างสร้างสรรค์ คนส่วนใหญ่ในที่ประชุมเป็นผู้เชื่อใหม่และไม่รู้จักเพลงที่เราร้องกัน คริสตจักรนี้จัดให้มีการซ้อมเพลงก่อนที่จะเริ่มประชุมนมัสการแต่ละครั้ง ยี่สิบนาทีก่อนการนมัสการ ผู้คนร้องเพลงที่ใช้ในการประชุมนมัสการได้ นักเปียโนเล่นเมโลดี้เพื่อให้ทุกคนรู้โทนเสียง เนื่องจากนี่คือการซ้อม ผู้นำจึงสามารถหยุดและซ้ำท่อนใดท่อนหนึ่งจนกว่าที่ประชุมจะร้องได้ เมื่อถึงเวลา 10:00 โมง ผู้คนก็ร้องเพลงใหม่ได้ด้วยความมั่นใจ

► ขอให้พิจารณาชุดบทเพลงสรรเสริญในภาษาของคุณ ค้นหาสองเพลงที่มีแนวเดียวกันหรือสองเพลงที่มีหัวข้อสัมพันธ์กัน ทั้งสองเพลงควรมีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน หนึ่งเพลงควรเป็นที่รู้จักคุ้นเคย และอีกหนึ่งเพลงควรเป็นเพลงที่ยังไม่รู้จัก หากคุณต้องใช้สองเพลงนี้ในการประชุมนมัสการ คุณจะร้องเพลงไหนก่อน? แล้วคุณจะเปลี่ยนผ่านไปสู่เพลงที่สองอย่างไร?

วางแผนเป็นทีม

พระธรรมปัญญาจารย์ให้คำแนะนำในทางปฏิบัติเรื่องนี้ไว้ “สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับรางวัลดีสำหรับการตรากตรำของพวกเขา” (ปัญญาจารย์ 4:9) การวางแผนนมัสการควรเป็นกิจกรรมของทีม ทุกคนที่มีส่วนในการนำนมัสการในที่ประชุมควรมีบทบาทในการวางแผน

ในฐานะศิษยาภิบาล ผู้นำเพลง และผู้นำอื่น ๆ ในคริสตจักร ควรประชุมร่วมกันเพื่อแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับการประชุมนมัสการ ให้ของประทานของแต่ละคนทำงานร่วมกัน โดยการทำงานเป็นทีมทำให้จุดแข็งของผู้นำของคริสตจักรแต่ละคนส่งเสริมการนมัสการ

วางแผนระยะยาว

ไม่มีการประชุมนมัสการครั้งใดที่รวมเนื้อหาทั้งหมดของพระคัมภีร์ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราควรสื่อสารทุกด้านของพระกิตติคุณให้กับผู้นมัสการของเรา แต่ละคนมีหัวข้อโปรดของตัวเอง เราต้องผลักดันตัวเองให้เทศนาและร้องเพลงในหัวข้อที่ไม่ใช่หัวข้อหรือเพลงโปรดของเราเอง

ศิษยาภิบาลและผู้นำนมัสการบางคนใช้ปฏิทินเพื่อกำหนดหัวข้อสำหรับสอนพระคัมภีร์ในสามปี[6] บางคนวางแผนเป็นสัปดาห์แต่ระมัดระวังที่จะให้ครบเนื้อหาทั้งหมดของพระคัมภีร์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

แม้ว่าถ้าคุณไม่ได้ทำตามปฏิทินการสอนอย่างเคร่งครัด แต่การรู้ถึงวาระสำคัญต่าง ๆ ของปฏิทินคริสเตียนก็จะทำให้คุณสอนด้านที่สำคัญ ๆ ของพระกิตติคุณได้ วาระสำคัญต่าง ๆ ในปฏิทินของคริสเตียนได้แก่วาระต่อไปนี้

  • เทศกาลเตรียมรับเสด็จ (4 วันอาทิตย์นับถอยหลังสู่วันคริสตมาส): จุดเน้นทั้งการมาครั้งแรกและการมาครั้งที่สองของพระคริสต์

  • คริสตมาส: จุดเน้นที่การมาบังเกิดและการกำเนิดของพระคริสต์

  • เทศกาลมหาพรต (6 วันอาทิตย์นับถอยหลังสู่อีสเตอร์): จุดเน้นที่การทนทุกข์และการตายของพระเยซู ตลอดจนข้อเรียกร้องของการเป็นสาวกสำหรับผู้เชื่อทุกคน

  • อีสเตอร์: จุดเน้นที่การฟื้นขึ้นจากความตายและการขึ้นสู่สวรรค์ของพระคริสต์

  • เทศกาลเพ็นเทคอส: จุดเน้นที่พระวิญญาณบริสุทธิ์และคริสตจักร

ไม่ว่าคุณจะทำตามลำดับที่เป็นทางการหรือแผนงานพื้นฐานประจำสัปดาห์ ขอให้แน่ใจว่าคนในที่ประชุมของคุณได้ยินพระกิตติคุณทั้งหมดโดยเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ

วางแผนอย่างมีสันติสุข

การนมัสการไม่ได้เกี่ยวกับเรา การนมัสการคือเครื่องบูชาที่เราถวายแด่พระเจ้า การวางแผนการนมัสการเป็นส่วนหนึ่งของการถวาย เราวางแผนการนมัสการโดยไม่ต้องรู้สึกถูกกดดันด้วยความคิดที่ว่า “ดีพอหรือยัง?” เรานมัสการพระเจ้าแห่งพระคุณ การถวายของเราเป็นที่ยอมรับไม่ใช่เพราะมันดีพอ แต่เพราะพระเจ้ายอมรับของถวายที่ลูกของพระองค์ถวายด้วยความเต็มใจ

นี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะหลีกเลี่ยงความกดดันที่ว่า “เราต้องตามให้ทันคริสตจักร XYZ” ในโลกปัจจุบันที่เทคโนโลยีและมัลติมีเดียก้าวหน้า ผู้นำในหลายคริสตจักรรู้สึกกดดันอย่างต่อเนื่องที่จะต้องทันสมัยเหมือนกับคริสตจักรอื่น ๆ ศิษยาภิบาลทั้งหลายแข่งขันกันมีเทคโนโลยีล่าสุด ผู้กำกับเพลงแข่งขันกันร้องเพลงใหม่ล่าสุด ผู้นมัสการกลายเป็นนักช้อปปิ้งมองหาคริสตจักรที่มีข้อเสนอที่ดึงดูดใจใหม่ล่าสุด

อย่าพ่ายแพ้ต่อการล่อใจให้พยายามทำให้พระเจ้าประทับใจด้วยของถวายของคุณ อย่ายอมให้อุปกรณ์ที่ใช้ในการนมัสการอย่างเช่นดนตรีและเทคโนโลยีมาแทนที่การนมัสการที่แท้จริง นำสิ่งที่คุณรู้ว่าดีที่สุดที่พระเจ้าแห่งพระคุณจะชื่นชมกับกลิ่นหอมหวานของเครื่องบูชาของคุณ ให้สิ่งดีที่สุดแด่พระองค์ แล้วก็วางใจว่าพระองค์จะยอมรับของถวายของคุณ การนมัสการไม่ใช่การแข่งขันกับคริสตจักรอื่น ๆ แต่มันคือของขวัญมอบให้แด่พระเจ้า


[1]

“คนที่นำคนอื่นให้มาเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์ ต้องเคยเดินทางไกลเพื่อเข้ามาในประเทศขององค์กษัตริย์นั้นและต้องได้เพ่งดูพระพักตร์ของพระองค์อยู่เนือง ๆ”

- ชาร์ลส์ สเปอร์เจียน

[2]เนื้อหาส่วนมากเกี่ยวกับการวางแผนการนมัสการมาจาก “The Nuts and Bolts of Worship Planning” เข้าดูได้ที่ http://worship.calvin.edu/resources/resource-library/the-nuts-and-bolts-of-worship-planning เข้าถึงวันที่ 22 กรกฎาคม 2020
[3]Lois and Fred Bock, Creating Four-Part Harmony, (Carol Stream: Hope Publishing, 1989), 43
[4]

“ความเป็นธรรมชาติโดยปราศจากระเบียบอาจกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย และระเบียบที่ปราศจากความเป็นธรรมชาติก็อาจไร้ชีวิตชีวาได้”

- แฟรงกลิน เซกเลอร์ และ
แรนดอล แบรดลีย์

[5]โครงสร้างที่ผมรวมไว้ที่นี่นั้นสำหรับการประชุมนมัสการทั้งหมด ผู้นำนมัสการบางคนใช้โครงสร้างต่าง ๆ สำหรับส่วนของดนตรีเท่านั้น ผมไม่ได้รวมสิ่งเหล่านี้ไว้เพราะมันเป็นการแยกการนมัสการออกจากส่วนที่เหลือของการประชุม ในพระคัมภีร์ การนมัสการรวมถึงทุกส่วนของการประชุมนมัสการ ไม่ใช่การนมัสการด้วยดนตรีที่จัดแยกไว้จากการเทศนา
[6]ดูออนไลน์ได้ที่ http://lectionary.library.vanderbilt.edu/calendar.php July 22, 2020

การนำนมัสการในที่ประชุม

คำถามที่สำคัญมากที่สุด: ใครคือผู้ชม?

► บทบาทของที่ประชุมในการนมัสการคืออะไร? ผู้นำนมัสการมีบทบาทอะไร? พระเจ้ามีบทบาทอะไร?

คนมากมายมองว่าการนมัสการเป็นเหมือนการเล่นคอนเสริต์ ที่ประชุมฟังในขณะที่ศิษยาภิบาลและนักดนตรีกำลังแสดงบนเวที สถานนมัสการคือลานคอนเสิร์ต

บาร์รี่ เลียส์ช (Barry Liesch) อธิบายเกี่ยวกับมุมมองว่าการนมัสการเป็นเหมือนเกมส์ฟุตบอล[1] ดังนี้

  • ผู้นำนมัสการเป็นผู้เล่นที่ทำการนมัสการ

  • คนในที่ประชุมคือผู้ชมที่นั่งอยู่บนอัฒจรรย์คอยดูเกมส์

  • พระเจ้าเป็นครูฝึกที่คอยบอกผู้นำนมัสการว่าให้ทำอะไร

ภาพการนมัสการในพระคัมภีร์แตกต่างออกไปมาก การนมัสการในพระคัมภีร์ให้ภาพว่าคนในที่ประชุมนมัสการขณะที่ผู้นำนมัสการทำหน้าที่เหมือนครูฝึกที่คอยนำการนมัสการ

  • ผู้นำนมัสการเป็นครูฝึกที่คอยนำคนในที่ประชุม

  • ผู้นมัสการเป็นผู้เล่นที่กำลังทำการนมัสการ

  • พระเจ้าคือผู้ชมที่รับการนมัสการจากเรา

ในการแสดงละครเวที คุณไม่เคยสังเกตเห็นผู้กำกับการแสดง ผู้กำกับรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการเล่นและคิวของนักแสดงแต่ละคนที่จะแสดงในแต่ละฉาก ถ้าเธอทำงานของเธอได้ดี ผู้ชมจะไม่มีทางสังเกตเห็นเธอได้ นั่นคือบทบาทของผู้นำนมัสการ งานของเราไม่ใช่นมัสการเพื่อให้คนดู แต่งานของเราคือนำคนในที่ประชุมให้นมัสการ คนในที่ประชุมร่วมกับศิษยาภิบาลและผู้นำดนตรีนมัสการต่อหน้าพระเจ้า เป้าหมายของเราในการนมัสการคือทำให้พระเจ้าพอใจ รูปแบบการนมัสการในพระคัมภีร์คือ พระเจ้าเป็นผู้ชมสำหรับการนมัสการของพวกเรา

อย่างไรก็ตาม พระเจ้าเป็นมากกว่าผู้ชมคนหนึ่ง พระเจ้าให้ฤทธิ์เดชแก่เราในการทำทุกสิ่งในการนมัสการ และผู้นำนมัสการเป็นมากกว่าครูฝึกหรือผู้กำกับการแสดง ผู้นำนมัสการเป็นทั้งผู้กำกับและผู้นมัสการ การนมัสการประกอบไปด้วยความสัมพันธ์ที่ควบซ้อนกันดังนี้

  • พระเจ้าเชื้อเชิญผู้นมัสการ รับการนมัสการ และนำผู้นำนมัสการขณะที่พวกเขากำลังรับใช้คนในที่ประชุม

  • ผู้นำนมัสการนำคนในที่ประชุมให้นมัสการ ฟังเสียงของพระเจ้า และมีส่วนร่วมในฐานะผู้นมัสการ

  • คนในที่ประชุมถวายการนมัสการแด่พระเจ้า ฟังพระวจนะของพระเจ้า และปราศรัยกันในการนมัสการ

วิธีหลีกเลี่ยงการนมัสการที่เป็นการแสดง[2]

1. ร้องเพลงที่ผู้คนรู้หรือฝึกร้องได้ง่าย ๆ ร้องเพลงด้วยคีย์เพลงที่คนในที่ประชุมร้องได้ ใช้เพลงใหม่อย่างพอเหมาะ

2. ร้องเพลงและเฉลิมฉลองฤทธิ์อำนาจ พระสิริ และความรอดของพระเจ้า รับใช้คนในที่ประชุมของคุณ เติมพวกเขาให้เต็มด้วยพระวจนะของพระเจ้า อย่าร้องเพลงที่มีเนื้อเพลงไม่ดีหรือขาดหลักศาสนศาสตร์

3. เปิดไฟให้สว่าง อย่าพูดคุยมาก อย่าปล่อยให้ลูป/แสง/ภาพสื่อต่าง ๆ มากลายเป็นทางออกสำหรับการสร้างสรรค์โดยทำให้ศูนย์กลางของข่าวประเสริฐต้องเสียไป

4. ปรับการนำนมัสการของคุณและเพลงที่คุณเลือกให้เข้ากับคนส่วนใหญ่ในที่ประชุม เป็นผู้นำในการอภิบาล

5. มุ่งไปที่พระเยซู อย่าดึงความสนใจมาหาตัวคุณเอง

คุณสมบัติของผู้นำนมัสการ

ไม่ว่าคุณจะมีตำแหน่งอะไร แต่ในฐานะผู้นำนมัสการคุณรับใช้ในบทบาทของผู้อภิบาล ถ้าหากคุณเป็นศิษยาภิบาลคุณย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดีแล้ว ถ้าคุณเป็นผู้นำฆราวาส คุณต้องเข้าใจว่าบทบาทของคุณทำให้คุณอยู่นำตำแหน่งของผู้นำฝ่ายวิญญาณ

ในการเลือกผู้นำนมัสการ เราต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ความสามารถทางดนตรีหรือคุณสมบัติด้านบุคลิกภาพเพียงอย่างเดียว เมื่อพวกอัครทูตเลือกมัคนายกให้เอาใจใส่ดูแลหญิงม่ายชาวกรีก พวกเขามองหาคนที่มีชื่อเสียงดี เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณและสติปัญญา (กิจการ 6:3) คุณสมบัติด้านจริยธรรม ฝ่ายวิญญาณ และศีลธรรมเป็นความสำคัญอันดับแรก

ในบางคริสตจักรเลือกผู้นำเพลง นักดนตรี และผู้นำบทบาทอื่น ๆ โดยดูความนิยมชมชอบเป็นพื้นฐาน ถ้ามัคนายกผู้ซึ่งปรนนิบัติรับใช้ที่โต๊ะอาหารได้ถูกเลือกโดยพิจารณาจากคุณสมบัติฝ่ายวิญญาณ ดังนั้นผู้นำนมัสการก็ต้องถูกเลือกโดยพิจารณาคุณสมบัติฝ่ายวิญญาณด้วยแน่นอน

ถ้าคุณนำนมัสการในคริสตจักรของคุณ (ในฐานะศิษยาภิบาล นักดนตรี หรือผู้นำอื่น ๆ ในการนมัสการ) คุณควรพยายามพัฒนาคุณสมบัติเพื่อจะเป็นผู้นำนมัสการที่มีประสิทธิภาพ

  • การสังเกตฝ่ายวิญญาณ “ฉันไวต่อการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไหม?”

  • การไวต่อความต้องการ “ฉันไวต่อความต้องการของคนในที่ประชุมไหม? ฉันเลือกเพลงและข้อพระคัมภีร์ที่พูดกับความต้องการเหล่านั้นไหม?”

  • ความร่วมมือ “ฉันรับใช้เป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพไหม? ฉันให้ความร่วมมือเมื่อศิษยาภิบาลขอให้ฉันเปลี่ยนแปลงปิดประชุมไหม? ฉันยอมเพื่อเห็นแก่ความต้องการของทีมทั้งหมดไหม?”

  • ความรู้ “ฉันกำลังเติบโตมากขึ้นด้วยความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าไหม?” ฉันให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในการนมัสการไหม?”

  • สติปัญญา “ฉันกำลังเติบโตมากขึ้นทางสติปัญญาเพื่อจะเข้าใจและตอบสนองต่อความขัดแย้งเรื่องการนมัสการไหม? ฉันฝึกวินัยตัวเองให้ไวในการฟังและช้าในการพูดไหม?” (ยากอบ 1:19)

  • ความอดทน “ฉันอดทนเมื่อคนในที่ประชุมตอบสนองช้าต่อแผนของฉันสำหรับการประชุมนมัสการไหม?”

  • ความถ่อมใจ “ฉันเต็มใจร้องเพลงที่พูดต่อความต้องการของสมาชิกในที่ประชุมที่ได้รับการฝึกอบรมมาน้อยไหม? ฉันเต็มใจเทศนาด้วยรูปแบบเรียบง่ายที่ตอบสนองต่อความต้องการของสมาชิกที่ไม่ได้รับการศึกษาในที่ประชุมของฉันไหม? ฉันนำด้วยความถ่อมใจหรือฉันมองตัวเองว่าเหนือกว่าคนในคริสตจักรเพราะตำแหน่งที่พระองค์วางฉันไว้นี้?” ในฐานะผู้นำนมัสการ การสร้างสรรค์ของคุณต้องยอมจำนนต่อความรับผิดชอบในการอภิบาลของคุณ ภาระอย่างแรกของคุณคือการรับใช้ผู้คน

  • ความสร้างสรรค์ “ฉันหาหนทางที่จะทำให้การนมัสการมีความหมายหรือไม่? ฉันหลีกเลี่ยงที่จะไม่ติดอยู่กับรูปแบบซ้ำ ๆ ที่ทำให้ทุกการประชุมนมัสการเหมือนกันหรือไม่?”

  • การฝึกวินัย “ฉันฝึกวินัยให้กับความสร้างสรรค์ของฉันเพื่อหลีกเลี่ยงการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากการนมัสการหรือไม่? ฉันหลีกเลี่ยงที่จะทำให้การประชุมนมัสการแต่ละครั้งใหม่จนผู้คนไม่สามารถจดจ่อกับพระเจ้าได้หรือไม่?”

  • ความเป็นเลิศ “ฉันนำของถวายที่ดีที่สุดมาในแต่ละสัปดาห์ไหม? ฉันเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะผู้นำนมัสการไหม?”[3]

ขั้นตอนเชิงปฏิบัติในการนำนมัสการ

ผู้นำไม่สามารถบังคับให้คนนมัสการ อย่างไรก็ตามผู้นำสามารถทำให้ง่ายขึ้นเพื่อคนในที่ประชุมจะใส่ใจกับการนมัสการ

การนำโดยเป็นแบบอย่าง

หนึ่งในสิทธิพิเศษของการนำนมัสการคือโอกาสนมัสการร่วมกับคนในที่ประชุม ผู้นำต้องนมัสการในขณะที่นำที่ประชุมให้นมัสการ

น่าเสียดายที่การนมัสการสามารถกลายเป็นความท้าทายสำหรับผู้นำนมัสการ เรายุ่งเกินไปกับการนำนมัสการจนไม่ได้นมัสการ! ถ้าหากคุณเป็นผู้กำกับดนตรี คุณอาจพบว่าตัวเองกำลังพยายามนมัสการในขณะที่กำลังคิดเรื่องต่าง ๆ เช่น...

  • “นักร้องเดี่ยวมาสาย ฉันหวังว่าเธอจะมาทันเวลาร้องเพลงพิเศษ!”

  • “คนไม่ค่อยร้องเพลงแรกกันเลย เพลงนั้นมันยากเกินไปที่คริสตจักรเราจะร้องได้หรือเปล่า?”

  • “รู้สึกว่าเรากำลังร้องเพลงช้าเกิน ฉันจะเร่งขึ้นท่อนต่อไปได้ไหม?”

ถ้าคุณเป็นศิษยาภิบาล คุณอาจพบว่าตัวเองกำลังพยายามนมัสการในขณะที่กำลังคิดเรื่องต่าง ๆ เช่น...

  • “เรามีคนน้อยกว่าอาทิตย์ที่แล้วสิบคน พวกเขาไปไหนนะ?”

  • “ผมควรจบคำเทศนาด้วยการเชื้อเชิญดีไหม?”

  • “เพลงนั้นไม่เข้ากับคำเทศนาของผมเลย! ผมจะโยงเพลงจากสวรรค์ไปสู่คำเทศนาเรื่องการพิพากษาได้ยังไง?”

เราต้องไม่ยอมให้กลไกในการนำการประชุมนมัสการมาแทนที่การนมัสการในชีวิตของเรา เมื่อเรานำนมัสการเราต้องนมัสการด้วย สิ่งนี้ดลใจให้มีการนมัสการจากที่ประชุม มีวิทยากรคนหนึ่งพูดว่า “ในฐานะผู้นำนมัสการ เราไม่ใชสุนัขต้อนแกะที่ต้องคอยกัดส้นเท้าของคนในที่ประชุมเพื่อบังคับพวกเขาให้ไปในทิศทางที่เราต้องการ เราเป็นผู้นมัสการที่เชิญให้ที่ประชุมไปกับเราในการสถิตอยู่ของพระเจ้า” คนในที่ประชุมไม่นมัสการเมื่อผู้นำบอกให้พวกเขานมัสการ แต่ผู้นำนมัสการนำพวกเขาได้โดยการเป็นแบบอย่าง

นำด้วยการหนุนใจ

ซูซานอยู่จนถึงตีสามเพื่อดูแลลูกที่ป่วย หลังจากได้นอนหลับสามชั่วโมง เธอก็ลุกขึ้นเตรียมอาหารเช้าและเตรียมตัวไปคริสตจักร เธอมาถึงคริสตจักรด้วยความเหนื่อยล้าเนื่องจากนอนไม่พอ หมดกำลังใจเพราะเธอต่อว่าลูกชายอย่างรุนแรงเมื่อเขาลืมเอาของเล่นไป และจิตใจอ่อนล้าเพราะเธอมีเวลาอยู่กับพระเจ้าเพียงน้อยนิดในสัปดาห์นี้

ศิษยาภิบาลโจเอลอยากเห็นการมีส่วนร่วมในการนมัสการ หลังจากเพลงแรกผ่านไป เขาก้าวไปที่ธรรมมาสน์ “พวกคุณเป็นอะไรไป? เราอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เรากำลังนมัสการองค์กษัตรา และดูเหมือนพวกเขาคุณบางคนอยากจะนอนอยู่บ้านมากกว่า! คุณควรละอายใจ ร่วมนมัสการกันครับ!”

ศิษยาภิบาลโจเอลมีเจตนาดี เขาอยากให้คนในที่ประชุมเป็นผู้นมัสการที่เข้มแข็ง แต่ซูซานนาได้ยินอะไร? “ฉันล้มเหลวในการเป็นแม่ ฉันดุว่าลูกแรงไป ฉันล้มเหลวในการเป็นคริสเตียน ฉันไม่ได้เฝ้าเดี่ยวเมื่อวานนี้ ฉันยังล้มเหลวในการเข้าร่วมคริสตจักร พระเจ้าโกรธเพราะฉันไม่ได้ร้องเพลง” โดยการใช้ความรู้สึกผิดกระตุ้นผู้คน ศิษยาภิบาลโจเอลได้ทำให้การนมัสการยากขึ้นไปอีกสำหรับซูซานนา

ในฐานะผู้นำการนมัสการ เราควรส่งเสริมการนมัสการ เราควรเป็นแบบอย่างด้วยการนมัสการในชีวิตของเราเอง จากนั้นเราสามารถฝากผลลัพธ์ไว้กับพระเจ้าได้ เพราะพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้การนมัสการเป็นไปได้ เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้การนมัสการที่แท้จริงมีฤทธิ์เดช เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้าที่นำใจของผู้นมัสการเข้าใกล้พระองค์

เราควรสนับสนุนการนมัสการด้วยคำพูดแง่บวก แต่เราไม่ควรพยายามบังคับควบคุมผู้นมัสการด้วยความรู้สึกผิดหรือพยายามปลุกปลั่นอารมณ์ เป้าหมายของเราคือการนำผู้นมัสการให้พบพระเจ้า พระองค์ดลใจในการนมัสการ การนมัสการไม่ได้พึ่งอาศัยเทคนิคการสร้างแรงบันดาลใจหรือการชักจูงทางอารมณ์ เราในฐานะผู้นำนมัสการไม่จำเป็นต้องทำงานส่วนของพระเจ้า!

ในส่วนนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องราวของซูซานนา ให้เราจบลงด้วยเรื่องจริงของผู้นำนมัสการที่มีความถ่อมใจและหนุนใจ เดวิดพยายามทำให้เยาวชนแข็งขันในการนมัสการ เขาพบว่าเยาวชนเหล่านี้จดจ่อกับการส่งข้อความมากกว่าการนมัสการ ผู้นำบางคนเริ่มต้นการประชุมนมัสการด้วยบางสิ่งทำนองนี้ “เด็ก ๆ เราอยู่ที่นี่เพื่อนมัสการ วางโทรศัพท์แล้วตั้งใจนมัสการ พวกเธอกำลังดูหมิ่นพระเจ้า!”

เดวิดทำสิ่งที่ต่างออกไปมาก ขณะที่มือกีตาร์บรรเลงเพลงนมัสการเบา ๆ เดวิดพูดเบา ๆ ว่า “เมื่อเราเข้าเฝ้าพระเจ้า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านไม่ต้องการทำให้เพื่อนข้าง ๆ เสียสมาธิในการนมัสการ ให้ทุกคนวางโทรศัพท์ของเราและฟังเสียงของพระเจ้าในเช้าวันนี้” ทุกคนในห้องวางโทรศัพท์ทิ้ง ดาวิดสอนเยาวชนให้นมัสการด้วยความถ่อมใจ

การนำหรือบังคับควบคุม?

ฟังคำพยานของผู้นำนมัสการร่วมสมัย

“ตอนเป็นน้องใหม่ ผมไปที่คริสตจักรใกล้มหาวิทยาลัย มีทั้งแสงสีและดนตรีดังกระหึ่มน่าตื่นเต้น ผู้นำนมัสการจัดแต่งทรงผมทันสมัย สวมใส่ยีนส์ และเล่นกีตาร์ราคาแพง ตอนเริ่มประชุมนมัสการ ผมสังเกตเห็นไมโครโฟนที่ไม่ได้ใช้งานตั้งอยู่ตรงระดับเอวของเขา ผมสงสัย แล้วผมก็ยกมือและจมดิ่งไปกับเสียงเพลง

เสียงดนตรีดีมาก ทีมสรรเสริญโดดเด่น และดนตรีมีการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อนำไปจนถึงเพลงสุดท้าย เมื่อผู้นำร้องเพลงท่อนสุดท้าย (‘ลูก’คุกเข่าลง ถวายชีวิตทั้งหมด’ ) เขาคุกเข่าลง จุดนี้เองที่ผมรู้ว่าทำไมไมโครโฟนตัวที่ไม่ใช้นั้นมีไว้เพื่ออะไร มันวางตรงตำแหน่งที่เหมาะสมพอดีเมื่อผู้นำคุกเข่าลงร้องเพลงและเล่นกีตาร์ ผมไม่อยากตัดสินเจตนาของคริสตจักรนี้ แต่ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเหมือนถูกควบคุมให้ตอบสนองต่อช่วงเวลาที่กระตุ้นอารมณ์นี้ซึ่งชัดเจนว่าได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า”[4]

ตัวอย่างนี้มาจากการนมัสการร่วมสมัย แต่เราใช้ตัวอย่างของการนมัสการแบบประเพณีได้ด้วย ปัญหาของการบังคับควบคุมไม่ได้จำกัดอยู่ที่รูปแบบการนมัสการเท่านั้น ไม่ว่าแนวดนตรีหรือมีเจตนาที่จริงใจแค่ไหน แต่เราก็สามารถปฏิบัติต่อคนในที่ประชุมเหมือนเป็นหุ่นเชิดที่เราบังคับควบคุมให้ตอบสนองทางอารมณ์ได้

การมีอารมณ์ความรู้สึกในการนมัสการผิดไหม? ไม่ผิด เราเห็นตัวอยางในพระคัมภีร์มากมายที่การนมัสการมีผลกระทบต่ออารมณ์ การพยายามกระตุ้นให้คนตอบสนองทางอารมณ์ผิดไหม? ไม่ผิด การสื่อสารที่ดีสัมผัสทั้งความนึกคิดและอารมณ์ อย่างไรก็ตามถ้าหากเราไม่ระมัดระวัง เราก็จะพยายามผลิตผลกระทบทางอารมณ์ให้กับผู้เข้าร่วม ซึ่งไม่ได้เป็นการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์

เราจะบอกถึงความแตกต่างระหว่างการนำนมัสการกับการบังคับควบคุมได้อย่างไร? การบังคับควบคุมเกิดขึ้นเมื่อการตอบสนองของคนในที่ประชุมขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการนำของผู้นำแทนที่จะขึ้นอยู่กับฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นไปได้ที่เราจะแยกไม่ออกเลยระหว่างการนำกับการบังคับควบคุม แต่จะมีสัญญาณบางอย่างที่แนะนำให้เรารู้ว่าเรากำลังข้ามเส้นไปสู่การบังคับควบคุมแล้ว

1. เราตกอยู่ในอันตรายของการนมัสการที่บังคับควบคุมเมื่อเราสับสนเรื่องอารมณ์กับการนมัสการ เราเริ่มรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของเราที่จะต้องสร้างการตอบสนองทางอารมณ์ ผู้นำนมัสการบางคนเคยพูดว่า “แสร้งทำจนกระทั่งมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ แสร้งทำจนกว่าผู้คนจะมีอารมณ์และความรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ” นี่เป็นการคิดเอาเองว่างานของเราคือใช้อารมณ์เพื่อสร้างบรรยากาศการนมัสการ ผู้นำนมัสการนำนมัสการ เราไม่ได้สร้างการนมัสการ

2. เราตกอยู่ในอันตรายของการนมัสการที่บังคับควบคุมเมื่อเราคิดเอาเองว่าจิตใจที่เปลี่ยนแปลงจะต้องมีระดับของอารมณ์สูง พระเจ้าสามารถทำงานในการประชุมนมัสการของคริสตจักรที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก แต่พระองค์ก็สามารถทำงานในช่วงเวลาเงียบสงบที่บ้านได้ด้วย เรากำลังตกอยู่ในอันตรายของการพยายามบังคับควบคุมที่ประชุมถ้าหากเราเชื่อว่าโดยผ่านความพยายามของเราเท่านั้นที่พระเจ้าสามารถนำการเปลี่ยนแปลงมายังจิตใจของคนที่เรารับใช้

3. เราตกอยู่ในอันตรายของการนมัสการที่บังคับควบคุมเมื่อเราให้การแสดงออกทางกายเทียบเท่ากับการนมัสการ บางครั้งผู้นำต้องการให้ผู้คนตอบสนอง เขาพูดว่า “ถ้าคุณรักพระเยซู ให้คุณยกมือขึ้น” เห็นได้ชัดว่าคนที่ไม่ได้รักพระเยซูจริง ๆ ในที่ประชุมก็ยกมือขึ้น! หรือบางคนในที่ประชุมที่รักพระเยซูอาจไม่ยกมือก็ได้ การนมัสการไม่ได้เทียบเท่ากับการแสดงออกทางกาย การปรบมือระหว่างร้องเพลงไม่ได้พิสูจน์ว่าเรากำลังนมัสการและการนั่งเงียบระหว่างการอธิษฐานก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าเรากำลงอธิษฐาน มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่มองเห็นหัวใจของผู้นมัสการ “เมื่อผู้นำนมัสการใช้การแสดงออกภายนอกเป็นตัวทดสอบถึงท่าทีภายในใจ พวกเขาก็กำลังย่ำบนพื้นที่อันตราย”[5]

4. เราตกอยู่ในอันตรายของการนมัสการที่บังคับควบคุมเมื่อเราพยายามเลียนแบบสิ่งที่พระเจ้าทำในที่อื่นหรือในเวลาอื่น เราไม่ควรคิดเอาเองว่าเพราะพระเจ้าอวยพรเพลงใดเพลงหนึ่งที่ใช้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พระองค์ต้องอวยพรเพลงเดียวกันนี้ในสัปดาห์นี้ เมื่อพระเจ้าทำงาน พระองค์ทำงานตามวิธีการของพระองค์ ผู้นำนมัสการต้องยอมให้พระเจ้ามาในเวลาที่พระองค์เลือกจะมา ไม่มีสูตรวิเศษใดที่จะสร้างการตอบสนองฝ่ายวิญญาณที่เหมือนกันในทุกสถานการณ์ได้

5. เราตกอยู่ในอันตรายของการนมัสการที่บังคับควบคุมเมื่อเราวัดคุณค่างานพันธกิจของเราจากความสามารถที่ทำให้ได้รับการตอบสนองจากผู้คน นักพูดหรือนักดนตรีในที่สาธารณะชอบที่จะได้รับการตอบสนองจากผู้ชม นั่นเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่เมื่อเราวัดประสิทธิภาพพันธกิจของเราจากการตอบสนองเหล่านี้ เราก็ตกอยู่ในอันตรายของการพึ่งพาทักษะของตัวเองแทนที่จะพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์

หัวข้อนี้เป็นเรื่องยาก หลายครั้งคำพูดอย่างเดียวกันในสองสถานการณ์ที่แตกต่างกันก็แสดงถึงแรงจูงใจที่ต่างกันอย่างมาก ในแง่หนึ่ง หากเราไม่ระมัดระวัง เราก็จะเริ่มบังคับควบคุมในการนมัสการ ในทางกลับกันหากเรากลัวอารมณ์ความรู้สึกมากเกิน เราก็จะนำไม่ได้เลย!

เพราะเหตุนี้ เราจึงควรตัดสินการเป็นผู้นำในการนมัสการของคนอื่นอย่างช้า ๆ แต่ประเมินการเป็นผู้นำของเราเองอย่างรวดเร็ว เราต้องขอให้พระเจ้าเปิดเผยแรงจูงใจของเราในการเป็นผู้นำ เราต้องระมัดระวังในการนำการนมัสการโดยไม่บังคับควบคุมให้ผู้นมัสการตอบสนองตามที่เราต้องการ

คำถามในเชิงปฏิบัติ

เราเริ่มต้นการประชุมนมัสการอย่างไร?

ตัวอย่างที่ไม่ดี

เวลา 10:00 น. เป็นเวลาเริ่มการประชุมนมัสการ ศิษยาภิบาลพยายามตามหาผู้นำเพลง มีผู้หญิงสามคนคุยกันเรื่องสูตรอาหาร ผู้ชายสี่คนกำลังคุยเรื่องฝนแล้งในการปลูกพืชผล คุณจะเคลื่อนจากกิจกรรมเหล่านี้เข้าสู่การนมัสการได้อย่างไร?

หนึ่งในความรับผิดชอบสำคัญของผู้นำนมัสการคือการเปิดการประชุมนมัสการ เราเชิญให้คนของพระเจ้าเข้ามาอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้อย่างไร?

  • บางคริสตจักรเริ่มต้นด้วยช่วงเวลาเงียบสงบ ผู้นำเริ่มต้นแบบเรียบง่ายว่า “ให้เราสงบใจอธิษฐานเวลานี้ที่เราเข้ามาอยู่ต่อหน้าพระเจ้า”

  • บางคริสตจักรเริ่มต้นด้วยดนตรี “เรียกให้นมัสการ” เพลงนี้สามารถให้นักร้องเดี่ยวหรือเป็นวงร้องได้ หรือให้ทั้งที่ประชุมร้องด้วยกัน ในบางคริสตจักร ศิษยาภิบาลจะขึ้นไปบนเวทีและเริ่มร้องเพลงเช่น “เราจะเข้ามาสรรเสริญด้วยใจโมทนาพระคุณ...”

  • บางคริสตจักรเริ่มต้นด้วยข้อพระคัมภีร์ ซึ่งมักจะมาจากพระธรรมสดุดี   

    • มาเถิด ให้เราร้องเพลงด้วยความยินดีถวายแด่พระยาห์เวห์ ให้เราโห่ร้องด้วยความชื่นบานถวายศิลาแห่งความรอด     

    • ของเรา ให้เราเข้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยการขอบพระคุณ ให้เราโห่ร้องด้วยความชื่นบานถวายแด่พระองค์ด้วยบทเพลงสรรเสริญ! (สดุดี 95:1-2)

  • สดุดีที่ใช้ในการเชิญผู้นมัสการเข้าสู่การสถิตอยู่ของพระเจ้า เช่น สดุดี 15, สดุดี 66:1-4, สดุดี 96:1-4, สดุดี 100, สดุดี 105:1-3, สดุดี 107:1-3, สดุดี 149:1-2, และสดุดี 150

การประชาสัมพันธ์งานเป็นการนมัสการไหม?

ศิษยาภิบาลชาวสเปนถามว่า “การประชาสัมพันธ์งานรวมอยู่ในการนมัสการไหม? เราพยายามเน้นการนมัสการและการสถิตอยู่ของพระเจ้าในคริสตจักรของเรา เรามีการประชุมนมัสการที่ยอดเยี่ยมและจบลงด้วยการประชาสัมพันธ์งานยืดยาวน่าเบื่อ นี่ส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของการประชุมนมัสการ เราจะทำให้การประชาสัมพันธ์งานเป็น่วนหนึ่งของการนมัสการได้อย่างไร?”

ไม่สำคัญว่าเราจะเอาการประชาสัมพันธ์งานวางไว้ตรงไหนของรายการ มันสามารถรบกวนการประชุมนมัสการได้ ไม่ค่อยมีที่การประชาสัมพันธ์งานจะเป็นการนมัสการ แต่มันเป็นสิ่งรบกวนการนมัสการมากกว่า คุณจะทำอย่างไร? ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบ แต่มีคำแนะนำบางประการที่อาจช่วยได้

  • เมื่อเป็นไปได้ ให้พิมพ์หัวข้อประชาสัมพันธ์แจกแทนการอ่านออกเสียง เมื่อคุณต้องประชาสัมพันธ์ในที่ประชุมก็ทำให้สั้นเข้าไว้

  • ใช้เครื่องฉายโปรเจคเตอร์ฉายหัวข้อประชาสัมพันธ์ก่อนเริ่มประชุมนมัสการ

  • บางคริสตจักรจัดแบบนี้ ประชาสัมพันธ์ อธิษฐาน แล้วจึงค่อยเริ่มต้นการประชุมนมัสการ มีคริสตจักรแห่งหนึ่งที่เริ่มต้นการประชุมนมัสการเวลา 10:00 น. คริสตจักรนี้ประชาสัมพันธ์งานตอน 9:50 น. ศิษยาภิบาลกล่าวว่า “สิ่งนี้บรรลุวัตถุประสงค์สองอย่าง อย่างแรกคือหนุนใจผู้คนให้มาเร็วขึ้นเพราะพวกเขาจะไม่ได้ยินข่าวประชาสัมพันธ์ถ้ามาไม่ทัน 9:50 น. อย่างที่สองคือทำให้เราจดจ่ออย่างเต็มที่กับการนมัสการตั้งแต่คำพูดแรกที่กล่าวในการประชุมนมัสการได้”

  • อย่าให้การประชาสัมพันธ์งานกลายเป็นการรบกวนจิตวิญญาณของการนมัสการ แต่ให้มองดูการประชาสัมพันธ์งานเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายพันธกิจของคริสตจักร ประชาสัมพันธ์งานแล้วดำเนินรายการต่อไป เมื่อเราตระหนักว่ากิจกรรมของคริสตจักร (กลุ่มอธิษฐาน การรับใช้ชุมชน งานประกาศ และโครงการต่าง ๆ ของคริสตจักร) เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ การประชาสัมพันธ์งานถึงกิจกรรมเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการในคริสตจักร เหมือนกับพ่อที่ปิดท้ายการเฝ้าเดี่ยวร่วมกันในครอบครัวด้วยการเตือนทุกคนให้คิดถึงแผนประจำสัปดาห์ของครอบครัว ศิษยาภิบาลก็อาจปิดการประชุมนมัสการด้วยการเตือนให้ครอบครัวคริสตจักรคิดถึงกิจกรรมในสัปดาห์นั้น การประชาสัมพันธ์งานของคริสตจักรทำให้เราระลึกได้ว่าเราคือครอบครัวเดียวกัน การสามัคคีธรรมของครอบครัวเป็นด้านที่สำคัญของการนมัสการ


[1]Barry Liesch, The New Worship, 2nd edition (Grand Rapids: Baker Books, 2001), 123
[2]ดัดแปลงมาจาก Jamie Brown, “Are We Headed For A Crash? Reflections on the Current State of Evangelical Worship.” ดูได้ที่ https://worthilymagnify.com/2014/05/19/crash/ July 22, 2020
[3]คุณภาพของความเป็นเลิศไม่ได้หมายความว่ามีเพียงผู้นำที่ได้รับการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญเท่านั้นที่นำนมัสการได้ ฮาโรลด์ เบสท์ ให้คำนิยามความเป็นเลิศว่าเป็น “กระบวนการเพื่อกลายเป็นคนที่ดีกว่าที่ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็น” เนื่องจากการนมัสการคือเครื่องบูชาที่เราถวายแด่พระเจ้า เราจึงพยายามอยู่เสมอเพื่อจะเป็นคนที่ดีกว่าที่เราเคยเป็น Harold Best, Music through the Eyes of Faith (San Francisco: Harper Books, 1993), 108
[4]Joel Wentz, “Confessions of a Former Worship Leader.” Available at https://relevantmagazine.com/life5/1301-confessions-of-a-former-worship-leader/ July 22, 2020.
[5]Warren Wiersbe, Real Worship (Grand Rapids: Baker Books, 2000), 215

การนมัสการที่อันตราย: “เราทำสิ่งนี้เพราะ...”

เจ้าสาวที่พึ่งแต่งงานคนหนึ่งกำลังทำแฮมสำหรับอาหารเย็นวันอาทิตย์ ก่อนจะเอาแฮมใส่ในเตาอบ เธอบรรจงตัดขอบด้านหนึ่งของแฮมและเอาวางไว้ในกระทะขนาดเล็ก สามีถามว่า “คุณทำแบบนั้นทำไมหรือ?”

“นั่นเป็นวิธีทำแฮมให้เป็นอาหาร แม่ของฉันตัดขอบด้านหนึ่งของแฮมก่อนทำอาหารเสมอ ฉันคิดว่ามันช่วยทำให้รสชาติดี” เจ้าสาวเริ่มต้นสงสัย “ทำไมการตัดขอบแฮมทำให้อาหารรสชาติดีได้?” เธอจึงโทรไปถามแม่ของเธอว่า “ทำไมแม่ถึงตัดขอบด้านหนึ่งของแฮม?”

แม่ตอบว่า “ก็ยายของลูก แม่ของแม่ เขาตัดขอบแฮมก่อนทำอาหารทุกครั้ง มันต้องช่วยให้รสชาติดี ลองไปถามยายดูสิ”

เจ้าสาวคนนี้ก็เลยโทรหาคุณยายที่เป็นคนสมัยโบราณ คุณยายไม่ได้ทำอาหารแล้ว แต่เธอตอบคำถามนี้ได้ “ใช่ ฉันจำได้ว่าทำไมฉันต้องตัดขอบแฮม ตอนที่คุณตาของหลานกับยายแต่งงานกัน เราไม่มีกระทะหลายใบทำอาหาร เรามีกระทะย่างใบเล็ก ๆ อยู่ใบเดียว แผ่นแฮมมันวางในกระทะไม่ได้ ยายเลยต้องตัดขอบออกให้มันวางได้!”

เป็นเวลา 50 ปีที่ลูกสาวของผู้หญิงคนนั้นและมาถึงรุ่นหลานยังคงทำตาม “ประเพณี” ที่ไม่มีความหมายอะไรเลย พวกเขาไม่เคยถามว่า “ทำไม?”

ในฐานะผู้นำนมัสการ บางครั้งเราก็ทำบางสิ่งโดยไม่พิจารณาเหตุผลว่า “ทำไม?”

เหตุผลที่คริสตจักรทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

1. คริสตจักรในอดีตทำสิ่งนี้ มีคุณค่าอยู่ในประเพณี ถ้าคริสตจักรในอดีตทำสิ่งใด เราก็ไม่ควรยกเลิกโดยไม่ถามว่า “ทำไมพวกเขาถึงทำสิ่งนี้?” เราอาจพบเหตุผลที่ดีเพื่อรักษาประเพณีนั้นไว้ แต่หาก “คริสตจักรในอดีตทำสิ่งนี้” เป็นเพียงเหตุผลอย่างเดียว มันก็ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ

2. คริสตจักรใหญ่ทำสิ่งนี้ มีคุณค่าในการเรียนรู้จากผู้อื่น ถ้าหากมีการปฏิบัติในคริสตจักรอื่น ๆ เราควรถามว่า “การปฏิบัตินี้เป็นประโยชน์สำหรับเราหรือเปล่า? ทำไมพวกเขาจึงทำสิ่งนี้?” เราอาจพบว่ามีเหตุผลที่ดีที่จะเลียนแบบการปฏิบัติในการนมัสการ แต่ถ้าเพราะ “คริสตจักรใหญ่ทำสิ่งนี้” เป็นเพียงเหตุผลอย่างเดียว มันอาจไม่เป็นประโยชน์เลยสำหรับสถานการณ์ของเรา

3. ผู้คนชอบสิ่งนี้ มีคุณค่าในการนมัสการที่หนุนใจให้ผู้คนมีส่วนร่วม ไม่มีตอนใดในพระคัมภีร์ที่พูดว่า “การนมัสการของคุณควรทำให้มันน่าเบื่อ!” เราอาจพบว่าเพลงโปรดของคนของเราเป็นความจริงและเหมาะสมในการนมัสการ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีเยี่ยม แต่ถ้าผู้คนชอบเพลงที่สอนหลักคำสอนผิด เราต้องไม่ร้องเพลงนั้น

4. สิ่งนี้ทำให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง นี่คือเหตุผลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสิ่งที่เราทำ ในการวางแผนนมัสการและนำนมัสการ เราควรถามว่า “เพลงนี้ช่วยให้เรานมัสการพระเจ้าได้ดีขึ้นไหม? ระเบียบการนมัสการนี้นำเราให้เข้าสู่การสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าไหม? การเชื้อเชิญนี้ดีที่สุดในการเชิญให้มีการตอบสนองต่อคำเทศนาไหม หรือเราควรจบด้วยเพลงสรรเสริญ? เรานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริงไหมในสัปดาห์นี้?”

บทสรุป: เมื่อเราล้มเหลวในการนมัสการ

ที่ประชุมร้องเพลงสรรเสริญเปิดประชุมอย่างไม่เต็มใจ คณะนักร้องได้ฝึกซ้อมมาแล้ว แต่พวกเขาร้องเพลงได้แย่มากในเช้าวันนั้น นักร้องเดี่ยวลืมว่าต้องพูดอะไร นักเปียโนเล่นผิดโน้ต คำเทศนาของศิษยาภิบาลดูไม่เข้ากับชีวิตของผู้คนนัก การประชุมนมัสการเป็นอย่างกับหายนะ มันเคยเกิดขึ้นกับคุณไหม? คุณทำอย่างไรเมื่อคุณล้มเหลวในการนำนมัสการ?

(1) จดจำไว้ว่าทุกการนมัสการเป็นการฝึกซ้อม

การนมัสการของเราคือการฝึกซ้อมสำหรับการนมัสการในสวรรค์ เราเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ และการนมัสการของเราก็ไม่สมบูรณ์แบบ “เราได้รับการเรียกให้ถวายสิ่งดีที่สุดของเราในการนมัสการ ไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด”[1]

(2) อาทิตย์หน้ายังมี

อย่าลาออกในวันจันทร์ รอจนกว่าจะถึงวันอังคารเพื่อวิเคราะห์การประชุมนมัสการ เรียนรู้จากความล้มเหลงและเดินหน้าต่อไป ในการประชุมนมัสการที่พึ่งกล่าวไปนั้น บทเพลงสรรเสริญเปิดประชุมไม่ใช่เพลงคุ้นเคยสำหรับที่ประชุม ผู้กำกับเพลงคิดว่าคนเหล่านี้รู้จักเพลงนี้ แต่พวกเขาไม่รู้จัก เขาเขียนบันทึกในหนังสือเพลงของเขาว่า “สอนเพลงนี้ให้กับวงประสานเสียงก่อนให้ที่ประชุมร้องอีกครั้ง” เรียนรู้จากความผิดพลาด แสวงหาการช่วยเหลือจากพระเจ้า และยอมให้พระเจ้าทำงานผ่านคุณในอาทิตย์หน้า

(3) จดจำไว้ว่าการนมัสการเกี่ยวกับพระคุณ

ผู้นำนมัสการจำนวนมากเป็นพวกที่เน้นความสมบูรณ์แบบ เราจะไม่มีวันพอใจหรอก การนมัสการไม่ใช่การทำให้สมบูรณ์แบบ การนมัสการเกี่ยวกับพระคุณ พระเจ้าทำงานผ่านได้แม้แต่ความล้มเหลวของเราเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพระองค์ นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น! เมื่อเราตระหนักว่าคือพระเจ้าเองที่ให้ฤทธิ์เดชแก่การนมัสการ เราก็จะถูกนำมาสู่ที่แห่งความถ่อมใจและยอมจำนน

(4) ถ้าหากเราได้ให้สิ่งดีที่สุดของเราแล้ว เราก็ไม่ล้มเหลว

วันอาทิตย์นั้น ผู้นำนมัสการเดินออกไปจากคริสตจักรด้วยความท้อใจ เมื่อเขาออกจากอาคารนั้น ทิโมธีกำลังรอเขาอยู่ ทิโมธีขี้อายและไม่ค่อยพูด แต่เช้านั้นเขาพูดว่า “คุณเล่นเพลง ‘พระเยซูรักฉัน’ ตอนถวายทรัพย์” (ใช่ ผู้นำนมัสการรู้ว่าเขาเล่นเพลงนั้น และเขารู้สึกแย่มาก) แต่ทิโมธีพูดต่อว่า “ผมจำเป็นต้องฟังเพลงนั้น สัปดาห์นี้หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็ง ผมจำเป็นต้องได้รับการเตือนให้ระลึกว่าพระเยซูรักผม”

ถ้าเราให้สิ่งดีที่สุดของเราแล้ว เราก็ไม่ล้มเหลว พระเจ้าทำงานผ่านความอ่อนแอของเราเพื่อพูดพระวจนะของพระองค์กับคนที่เรารับใช้

► กลุ่มอภิปราย ให้ดูใน “ทบทวนบทที่ 8” มีประเด็นใดที่คุณไม่เห็นด้วยบ้าง? ประเด็นใดที่คุณรู้สึกว่าสำคัญที่สุดที่จะต้องรีบนำมาใช้?


[1]คำกล่าวและคำแนะนำในส่วนนี้มาจาก Franklin Segler and Randall Bradley, Christian Worship (Nashville: B&H Publishing, 2006), 274-275

ทบทวนบทที่ 8

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) เราจะเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมนมัสการได้อย่างไร?

  • การเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมนมัสการเริ่มต้นด้วยการเตรียมพร้อมของผู้นำนมัสการผ่านการใช้เวลากับพระเจ้า

  • การวางแผนช่วยเตรียมโครงสร้างของการประชุมนมัสการ

  • หัวข้อสำหรับการประชุมนมัสการช่วยสื่อสารข้อความสำคัญข้อความเดียว

  • ความสมดุลทำให้แน่ใจว่าการนมัสการของเราพูดถึงพระกิตติคุณทั้งหมดต่อทั้งคริสตจักร

  • การนมัสการที่สมดุลแสดงให้เห็นทั้งพระเจ้าผู้มีสง่าราศียิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สถิตอยู่กับเรา

  • การนมัสการที่สมดุลทั้งในที่ประชุมและส่วนตัว

  • การนมัสการที่สมดุลใช้ทั้งสิ่งที่คุ้นเคยแล้วกับสิ่งใหม่ที่ยังไม่รู้จัก

  • การวางแผนการนมัสการควรร่วมกันกับทีมผู้นำทั้งคริสตจักร

  • การวางแผนการนมัสการควรเป็นแผนระยะยาว

  • เราวางแผนโดยไม่ต้องกดดันได้เพราะการนมัสการไม่ได้เกี่ยวกับเรา แต่เกี่ยวกับพระเจ้า

(2) การนำนมัสการในที่ประชุมมีความสำคัญอย่างไร?

  • ผู้ชมที่สำคัญที่สุดในการนมัสการคือพระเจ้า

  • คนในที่ประชุม ผู้นำนมัสการ และพระเจ้าล้วนมีความสัมพันธ์กันในการประชุมนมัสการ ผู้นำไม่ควรแสดงการนมัสการให้คนดู

  • ผู้นำนมัสการต้องนมัสการ เขานำโดยทำเป็นแบบอย่าง

  • ผู้นำนมัสการควรหนุนใจ ไม่ใช่ตำหนิ

  • ผู้นำนมัสการต้องนำ ไม่ใช่บังคับควบคุม

  • การประชาสัมพันธ์งานควรจัดให้เป็นการรบกวนน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้

  • หลังจากวางแผนการนมัสการ เราควรยอมให้พระเจ้าเข้ามาในการประชุมนมัสการด้วยวิธีที่พระองค์เลือก

งานมอบหมายบทที่ 8

(1) ในบทที่ 6 และ 7 ขอให้คุณเลือกเพลงและข้อพระคัมภีร์ที่หัวข้อแตกต่างกันห้าหัวข้อ วางแผนการประชุมนมัสการบนพื้นฐานของแต่ละหัวข้อในห้าหัวข้อนี้ วางแผนโดยลงรายละเอียดให้มากที่สุดสำหรับการประชุมนมัสการที่ไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงเพลงที่ใช้ในที่ประชุม หัวข้อคำเทศนาและเนื้อหา ตลอดจนเรื่องอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับการประชุมนมัสการของคุณ ใช้โครงร่างหนึ่งโครงร่างหรือมากกว่าที่มีในภาคผนวก ก สำหรับโครงงานนี้

(2) ในช่วงเริ่มต้นของบทเรียนถัดไป คุณจะต้องทำแบบทดสอบของบทนี้ ขอให้เตรียมตัวด้วยการศึกษาคำถามของแบบทดสอบอย่างละเอียด

แบบทดสอบบทที่ 8

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) เขียนสองช่วงเวลาหลักในโครงสร้างการนมัสการที่มีคำเทศนาเป็นศูนย์กลาง

(2) เขียนสี่ช่วงเวลาหลักในโครงสร้างบนพื้นฐานกิจกรรมที่คนของพระเจ้าทำในการนมัสการ

(3) เขียนสามช่วงเวลาหลักในโครงสร้างการนมัสการบนพื้นฐานของสดุดี 95

(4) สามสิ่งที่เราจดจำได้เกี่ยวกับการนมัสการที่สมดุลมีอะไรบ้าง?

(5) จากต้นแบบการนมัสการในพระคัมภีร์ ใครคือผู้ชมสำหรับการนมัสการของเรา?

(6) เขียนคุณสมบัติสามประการของผู้นำนมัสการที่มีประสิทธิภาพ

(7) สัญญาณสามอย่างที่บอกว่าเรากำลังบังคับควบคุมในการนมัสการคืออะไร?

(8) เขียน 2 พงศาวดาร 5:13-14 จากการท่องจำ

Next Lesson