แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 2: พระเจ้าและผู้นมัสการ

1 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) ตระหนักถึงภาพในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระเจ้าและบทบาทของพระองค์ในการนมัสการ

(2) เข้าใจข้อกำหนดของพระเจ้าสำหรับผู้นมัสการ

(3) พยายามที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระเจ้าสำหรับผู้นมัสการ

(4) เห็นคุณค่าพระคุณของพระเจ้าที่อนุญาตให้มนุษย์เข้าไปนมัสการอยู่ต่อหน้าพระองค์

การเตรียมตัวสำหรับบทเรียนนี้

ท่องจำ วิวรณ์ 5:9-14

บทนำ

มีกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งนั่งล้อมวงกันเพื่ออภิปรายถึงหัวข้อการศึกษาพระคัมภีร์ประจำสัปดาห์ คำถามสำหรับการอภิปรายคือ “พระเจ้ามีลักษณะอย่างไรและเรานมัสการพระองค์อย่างไร?”

ซาราห์พูดคนแรกว่า “เมื่อฉันคิดถึงพระเจ้า ฉันคิดถึงคุณปู่ที่มีหนวดเครายาวสีขาว พระองค์มองเราเหมือนลูกหลาน พอเราทำบาปพระองค์ก็เสียใจ แต่พระองค์รักและเข้าใจว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ฉันไม่คิดว่าพระเจ้าจะใส่ใจว่าเรานมัสการพระองค์อย่างไรตราบใดที่เราแสดงให้เห็นว่าเรารักพระองค์”

ฮันนาห์ตอบว่า “ฉันคิดถึงพระเจ้าเหมือนกับพ่อที่ต้องการให้เราทำอะไรให้พระองค์ พระองค์ไม่ค่อยใกล้ชิดกับลูกของพระองค์สักเท่าไร แต่พระองค์เฝ้าดูว่าเราจะเชื่อฟังไหม ในการนมัสการ เราจำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าเรายอมและเชื่อฟัง ฉันไม่ชอบเพลงที่ปฏิบัติกับพระเจ้าเหมือนเพื่อน เราต้องระลึกว่าพระองค์เป็นเจ้านายในสวรรค์และเราเป็นคนรับใช้ของพระองค์! ฉันไปคริสตจักรเพื่อหาคำตอบว่าพระเจ้าคาดหวังให้ฉันทำอะไร”

อาบีเกลไม่พอใจกับคำตอบเหล่านี้เลย “ฉันคิดถึงพระเจ้าว่าเป็นเพื่อน พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าชอบที่จะให้ของขวัญแก่ลูกของพระองค์ ฉันไปคริสตจักรเพื่อหาคำตอบว่าพระเจ้าต้องการให้อะไรแก่ฉันบ้าง ฉันอธิษฐานและบอกพระองค์ถึงสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันฟังคำเทศนาและดนตรีเพื่อรู้ถึงวิธีที่พระเจ้าจะอวยพรชีวิตของฉัน พระเจ้าอยากให้ของขวัญที่ดีแก่ฉัน ฉันไปคริสตจักรเพื่อรับของขวัญเหล่านี้”

ผู้หญิงแต่ละคนเหล่านี้มีความคิดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับพระเจ้า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงแต่ละคนเหล่านี้มีความคาดหวังต่อการประชุมนมัสการที่แตกต่างกันด้วย

ซาราห์คาดหวังพระเจ้าที่เป็นเหมือนคุณปู่ซึ่งไม่ใส่ใจมากนักเกี่ยวกับรายละเอียดการนมัสการของเรา การนมัสการในอุดมคติของเธอคือ แต่ละคนนมัสการด้วยวิธีที่เขาหรือเธอสะดวกมากที่สุด ซาราห์คงต้องประหลาดใจกับการนมัสการในพลับพลา เพราะที่นั่นเธอจะเรียนรู้ว่าพระเจ้าใส่ใจทุกรายละเอียดเกี่ยวกับการนมัสการ

ฮันนาห์มองว่าพระเจ้าห่างไกลและหวงห้าม เธอคงไม่สบายใจกับคำกล่าวแสดงความสนิทสนมในสดุดีและคำบ่นอย่างซื่อตรงของโยบต่อพระเจ้า การนมัสการในอุดมคติของเธอจะคงรักษาระยะห่างระหว่างผู้นมัสการกับพระเจ้าเอาไว้ การอธิษฐานจะเป็นแบบทางการและมีระเบียบแบบแผน ดนตรีต้องยิ่งใหญ่ แต่ไม่เจาะจง ฮันนาห์คงไม่ชอบการสามัคคีธรรมอันใกล้ชิดที่ถูกค้นพบในคริสตจักรบ้านช่วงศตวรรษแรก

ในความคิดของอาบีเกล พระเจ้าเป็นผู้รับใช้ที่คอยตอบสนองความจำเป็นของมนุษย์ เมื่ออาบีเกลออกจากการประชุมนมัสการ คำถามของเธอคือ “ฉันได้รับอะไรบ้าง?” ดนตรีต้องตรงกับรสนิยมของเธอ การอธิษฐานต้องเน้นความต้องการส่วนบุคคล คำเทศนาต้องเข้ากับชีวิตและพูดตรงกับความรู้สึกของเธอ อาบีเกลคงผิดหวังกับการนมัสการในพระวิหารซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำเครื่องบูชามาถวายแด่พระเจ้า ไม่ใช่ให้พระเจ้านำของขวัญมาให้มนุษย์

ผู้หญิงแต่ละคนเหล่านี้มองหาการนมัสการที่สะท้อนถึงความคิดของตัวเองเกี่ยวกับพระเจ้า ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับพระเจ้ามีอิทธิพลอย่างมากต่อการนมัสการของเรา

► อภิปรายถึงความคิดของคุณเกี่ยวกับพระเจ้า ความคิดของคุณเกี่ยวกับพระเจ้ามีอิทธิพลอยางไรต่อการนมัสการของคุณบ้าง?

ในบทเรียนนี้เราจะพิจารณาคำถามสองข้อด้วยกัน

(1) เรานมัสการผู้ใด?

เนื่องจากการนมัสการคือการถวายเกียรติอันสมควรแด่พระเจ้า ยิ่งเรารู้จักพระเจ้ามากเท่าไร เราก็จะยิ่งได้รับการเสริมสร้างเพื่อการนมัสการที่แท้จริงมากเท่านั้น ภาพที่บิดเบือนเกี่ยวกับพระเจ้านำไปสู่การนมัสการที่บิดเบือน

ภาพในพระคัมภีร์เกี่ยวกับรูปเคารพแสดงถึงหลักการนี้ บาอัลเป็นพระแห่งความอุดมสมบูรณ์ พระแห่งการเพิ่มพูนอย่างควบคุมไม่ได้ พวกผู้เผยพระวจนะของบาอัลนมัสการอย่างไร? นมัสการด้วยอารมณ์ที่เพิ่มมากขึ้นและควบคุมไม่ได้ “เขาทั้งหลายก็ร้องเสียงดัง และเชือดเฉือนตัวเองตามธรรมเนียมของเขาด้วยดาบและหลาว จนเลือดไหลพุ่งออกมาตามตัว” (1 พงศ์กษัตริย์ 18:28)

(2) พระเจ้าประสงค์อะไรจากผู้ที่นมัสการพระองค์?

เนื่องจากพระเจ้าบริสุทธิ์ เราเข้าสู่การสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ได้อย่างไร? พระเจ้าประสงค์อะไรจากผู้ที่นมัสการพระองค์?

พระเทียมเท็จอย่างเช่นบาอัลและโมเลคนั้นไม่บริสุทธิ์ ผู้ที่นมัสการพระเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบริสุทธิ์ ผู้ที่นมัสการพระบาอัลก็กลายเป็นเหมือนบาอัลคือ ไม่บริสุทธิ์ในทางศีลธรรม เรากลายเป็นเหมือนสิ่งใดก็ตามที่เรานมัสการ

พระเจ้าเที่ยงแท้ทรงบริสุทธิ์ เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงประสงค์ประชาชนที่บริสุทธิ์ ผู้ที่นมัสการพระเยโฮวาห์ก็กลายเป็นเหมือนพระเยโฮวาห์ พวกเขาต้องเป็นคนบริสุทธิ์เมื่อนมัสการพระเจ้าผู้บริสุทธิ์

เรานมัสการผู้ใด?

[1]ลองนึกภาพว่าคุณกำลังชมดวงอาทิตย์ตกที่สวยงาม[2] แล้วจู่ ๆ คุณก็หยุดดูดวงอาทิตย์ตกแล้วหันมาถ่ายรูปตัวเอง “ฉันกำลังดูดวงอาทิตย์ตกดิน” นี่เรียกว่า “เซลฟี่” คือการถ่ายภาพตัวเอง ความสนใจของคุณหันจากดวงอาทิตย์ตกไปหาตัวเอง คนที่เซลฟี่ตัวเองก็สนใจเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองเป็นมากกว่าสิ่งที่พวกเขากำลังมองดู

พระเจ้าสมควรได้รับการนมัสการที่ดีที่สุดจากเรา แต่เมื่อเราจดจ่อกับคุณภาพของการนมัสการแทนที่จะจดจ่อกับพระเจ้าผู้ที่เรานมัสการ เราก็สร้างการเซลฟี่ในทางศาสนา (“ฉันกำลังนมัสการพระเจ้า”) เราต้องไม่ยอมให้ความสนใจของเราต่อความเป็นเลิศในการประชุมนมัสการมาแทนที่การจดจ่อกับพระเจ้าผู้ที่เรานมัสการ!

ซี เอส ลูอิส (C.S. Lewis) เขียนเกี่ยวกับรูปเคารพที่เป็นการให้ความสำคัญต่อการประชุมนมัสการมากกว่าพระเจ้า เมื่อไม่นานมานี้ ดี เอ คาร์สัน (D.A. Carson) เตือนว่าเราถูกลองใจให้ “นมัสการ การนมัสการ แทนที่จะนมัสการพระเจ้า” ได้[3]

การนมัสการจะไม่ใช่การนมัสการแท้จริงจนกว่าผมยอมสูญเสียตัวเองไปกับการเทิดทูนบูชาพระเจ้า ในการนมัสการที่แท้จริง ผมให้ความสนใจกับพระเจ้ามากกว่าคุณภาพของการนมัสการที่เป็นความพยายามของตัวเอง การนมัสการที่แท้จริงจดจ่อที่พระเจ้า ไม่ใช่ที่คุณภาพของประสบการณ์ในการนมัสการของผม

อย่างที่เราเห็นในบทที่ 1 บัญญัติข้อแรกบอกให้เรานมัสการผู้ใด “เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า...ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา” (อพยพ 20:2-3) เนื่องจากการนมัสการหมายถึงการถวายเกียรติอย่างคู่ควรแด่พระเจ้า การศึกษาเรื่องการนมัสการควรเริ่มต้นด้วยการถามว่าพระเจ้าเป็นใคร? บทเพลงสรรเสริญสี่บทเพลงในพระธรรมวิวรณ์ให้คำตอบบางส่วนต่อคำถามนี้

เรานมัสการพระผู้สร้าง (วิวรณ์ 4)

► อ่านออกเสียง วิวรณ์บทที่ 4 ใช้เวลาจินตนาการถึงฉากในสวรรค์ พระคัมภีร์บทนี้บอกอะไรเราเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ที่เรานมัสการ?

วิวรณ์บทที่ 4 เป็นหน้าต่างเปิดเข้าสู่สวรรค์ที่ให้ภาพบางส่วนเกี่ยวกับพระผู้สร้างที่เรานมัสการ

พระผู้สร้างมีอำนาจครอบครองสูงสุด

พระเจ้านั่งบนบัลลังก์เหนือโลกนี้ คำว่า บัลลังก์ ถูกใช้ 14 ครั้งในบทนี้ พระองค์คือพระเจ้าจอมเจ้านายผู้ทรงมีฤทธิ์ พระองค์มีอำนาจครอบครองสูงสุด การนมัสการต้องตระหนักถึงการมีอำนาจครอบครองสูงสุดของพระเจ้า ในการนมัสการเราแสดงออกถึงการยอมจำนนต่อพระเจ้าผู้มีอำนาจครอบครองสูงสุด พระองค์เป็นพระบิดาที่รักเรา แต่พระองค์ก็มีอำนาจครอบครองสูงสุด

พระผู้สร้างผู้บริสุทธิ์

ตลอดทั้งพระคัมภีร์ พระเจ้าได้รับการมองดูว่าเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์

  • พระเจ้าบอกกับชนอิสราเอลว่า “เรายาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์” (เลวีนิติ 19:2)

  • พระเจ้าได้รับการสรรเสริญ “ถึงอย่างไร พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์

  • ผู้ประทับเหนือคำสรรเสริญของคนอิสราเอล” (สดุดี 22:3)

  • ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์มองเห็นทูตสวรรค์นมัสการล้อมรอบบัลลังก์ของพระเจ้าว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระยาห์เวห์จอมทัพ แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยพระสิริของพระองค์” (อิสยาห์ 6:3)

  • อัครทูตยอห์นมองเข้าไปในสวรรค์ที่ซึ่งผู้อาวุโสทั้งหลายร้องว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ทรงเป็นอยู่ และผู้ที่จะเสด็จมา” (วิวรณ์ 4:8)

เรานมัสการพระเจ้าผู้บริสุทธิ์

พระผู้สร้างดำรงอยู่นิรันดร์

พระองค์เคยเป็นอยู่ ผู้ทรงเป็นอยู่ และผู้ที่จะเสด็จมา (วิวรณ์ 4:8)

ดาวิดชี้ไปที่ความอัศจรรย์แห่งการสร้างว่าเป็นดั่งหน้าต่างเปิดสู่พระสิริของพระเจ้า “ท้องฟ้าประกาศพระสิริของพระเจ้า และพื้นฟ้าสำแดงผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์” (สดุดี 19:1) บทแรกของปฐมกาลเริ่มต้นกับพระเจ้าในฐานะผู้สร้าง พระธรรมเล่มสุดท้ายเตือนใจเราอีกครั้งว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง และพระองค์จะครอบครองเหนือสิ่งมีชีวิตที่พระองค์สร้างนั้นชั่วนิรันดร์

การเน้นนี้แสดงให้เห็นถึงจุดเพ่งที่ถูกต้องสำหรับการนมัสการ เราผู้ถูกสร้างนมัสการพระเจ้าผู้สร้าง การนมัสการนั้นเกี่ยวข้องกับพระองค์ไม่ใช่เรา เมื่อเรายอมสูญเสียตัวเองในการนมัสการพระผู้สร้าง ฟ้าสวรรค์ก็ประกาศพระสิริของพระองค์อีกครั้ง

เรานมัสการพระผู้ไถ่ (วิวรณ์ 5)

► อ่านออกเสียง วิวรณ์บทที่ 5 ฉากที่ยิ่งใหญ่นี้บอกอะไรเราเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ที่เรานมัสการ?

ในฐานะคริสเตียน เราต้องไม่สูญเสียความรู้สึกอัศจรรย์ใจเมื่อเราคิดถึงว่ากษัตริย์แห่งจักรวาลได้จัดเตรียมการไถ่ไว้ให้กับเรา ในวิวรณ์บทที่ 5 เราเห็นลูกแกะของพระเจ้า ผู้ไถ่โลกนี้ได้รับการนมัสการ พระเยซูถูกเรียกว่าเป็น “ลูกแกะ” 28 ครั้งในพระธรรมวิวรณ์ นี่คือหนึ่งในภาพสำคัญในวิวรณ์

เรานมัสการพระผู้ไถ่เพราะผู้ที่พระองค์เป็น

พระองค์เป็นสิงห์แห่งเผ่ายูดาห์ พระองค์เป็นรากเหง้าของดาวิด พระองค์เป็นลูกแกะที่ถูกฆ่า พระองค์เป็นลูกแกะที่มีเจ็ดเขาและดวงตาเจ็ดดวง (วิวรณ์ 5:6) สัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์แบบ ในการนมัสการเราถวายเกียรติแด่พระเยซูสำหรับผู้ที่พระองค์เป็น การนมัสการคือ “งานเลี้ยงฉลองสำหรับความสมบูรณ์แบบอันเต็มไปด้วยสง่าราศีของพระคริสต์” (John Piper – จอห์น ไพเพอร์)

เรานมัสการพระผู้ไถ่เพราะตำแหน่งที่พระองค์อยู่

ในวิวรณ์ 5:6 พระเยซูเป็นศูนย์กลางของการนมัสการในสวรรค์ พระองค์อยู่ระหว่างบัลลังก์กับสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทั้งสี่และท่ามกลางผู้อาวุโส ผู้เขียนฮีบรูให้คำสัญญาอันอัศจรรย์ว่าผู้แก้ต่างของเรานั้นนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของบัลลังก์พระเจ้า (ฮีบรู 12:2)

เรานมัสการพระผู้ไถ่เพราะสิ่งที่พระองค์ได้ทำ

ในความพยายามให้ความสำคัญกับคุณค่าของพระเจ้า มีผู้สอนบางคนแนะนำผิด ๆ ว่าเราควรนมัสการพระเจ้าเฉพาะผู้ที่พระองค์เป็นเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทำเพื่อเรา ยอห์นผู้เปิดเผยวิวรณ์ได้แสดงให้เห็นว่าการนมัสการในสวรรค์นั้นสรรเสริญลูกแกะของพระเจ้าสำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ทำ “พระเมษโปดกผู้ถูกปลงพระชนม์แล้วนั้นทรงสมควรได้รับ...” (วิวรณ์ 5:12)

แบบแผนนี้เห็นได้ในสดุดี ในสดุดีบทที่ 134 สั่งให้เราอวยพรพระเจ้า โดยที่ไม่ได้ให้เหตุผลเอาไว้ เราสรรเสริญพระองค์เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า ตามมาด้วยสดุดี 135-136 ซึ่งสรรเสริญพระเจ้าเพราะสิ่งที่พระองค์ได้กระทำในประวัติศาสตร์อิสราเอล คุณลักษณะของพระเจ้า ตลอดจนกิจอันมีฤทธิ์ของพระองค์นั้น สมควรได้รับการสรรเสริญ เราควรสรรเสริญพระเจ้าสำหรับผู้ที่พระองค์เป็นและสำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ทำ

เรานมัสการพระเจ้าผู้เป็นกษัตริย์ (วิวรณ์ 11:15-18)

ในวิวรณ์ 11 ให้อีกมุมมองหนึ่งเกี่ยวกับการนมัสการในสวรรค์ ในฉากนี้ผู้อาวุโสทั้งหลายนมัสการพระเจ้าผู้เป็นกษัตริย์ซึ่งขึ้นครองบัลลังก์อย่างถูกต้องชอบธรรม ถึงแม้ว่าอาณาจักรบนโลกนี้กบฏต่อพระองค์ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมจำนนต่อสิทธิ์อำนาจของพระองค์ “อาณาจักรของโลกนี้กลับกลายเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว และเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์” (วิวรณ์ 11:15)

ในเพลงสรรเสริญบทนี้ กษัตริย์ได้รับการสรรเสริญสำหรับการพิพากษาอย่างชอบธรรมต่อโลกนี้ เพลงสรรเสริญนี้เตือนใจเราว่าพระเจ้าปกครองด้วยฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าชนชาติทั้งหลายโกรธเคือง แต่พระเจ้าพิพากษาพวกเขาอย่างถูกต้องชอบธรรม

การนมัสการคือการนมัสการด้วยความจริง การนมัสการที่แท้จริงไม่ได้ลดขนาดการพิพากษาอันน่าเกรงขามของพระเจ้า การนมัสการในวิวรณ์ก็สอดคล้องกันกับการนมัสการในสดุดี ในสดุดี 96 คือเพลงบทใหม่ถวายแด่พระเจ้า ในบทเพลงนี้ พระเจ้าได้รับการสรรเสริญท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย พระองค์น่าเกรงขามเหนือพระทั้งปวง พระองค์ได้รับการสรรเสริญเพราะพระองค์จะตัดสินผู้คนอย่างชอบธรรม การนมัสการแท้จริงรู้ว่าเราต้องยำเกรงพระเจ้า เรานมัสการพระองค์ในฐานะกษัตริย์

เรานมัสการเจ้าบ่าวผู้พิชิต (วิวรณ์ 19:1-9)

ในชั้นเรียนสำรวจพระคัมภีร์ ผู้สอนถามว่า “มีกี่คนที่ชื่นชอบพระธรรมวิวรณ์บ้าง?” มีนักศึกษาไม่กี่คนที่ยกมือ เมื่อผู้สอนถามว่า “ทำไมคุณถึงไม่ชอบพระธรรมวิวรณ์?” นักศึกษาคนหนึ่งตอบว่า “มันน่ากลัว!”

เหตุผลที่นักศึกษาเหล่านี้พบว่าพระธรรมวิวรณ์น่ากลัวคือการที่พวกเขาไม่รู้ถึงส่วนดีที่สุดของพระธรรมนี้ พวกเขาจดจ่อกับการพิพากษาเหนือคนเหล่านั้นที่กบฏต่อพระเจ้า นั่นเป็นเนื้อหาที่สำคัญในวิวรณ์อย่างแน่นอน แต่สำหรับคริสเตียน เนื้อหาพื้นฐานของวิวรณ์คือชัยชนะสูงสุดของพระเจ้าของเรา!

วิวรณ์บทที่ 19 อธิบายภาพของเนื้อหานี้ บทนี้รวมคำอธิบายเรื่องบึงไฟที่ลุกไหม้ด้วยกำมะถัน (วิวรณ์ 19:20) กับพวกนกที่กินเนื้อของบรรดากษัตริย์ เนื้อนายทหาร เนื้อคนที่มีกำลังมาก...(วิวรณ์ 19:18) นี่คือชะตากรรมของคนที่กบฏต่อพระเจ้าผู้เป็นกษัตริย์ สำหรับคนที่นมัสการกษัตริย์นี้ด้วยความเคารพยำเกรง ในวิวรณ์ 19 คือบทเพลงแห่งความยินดี หญิงแพศยาตัวเอ้ผู้ทำให้แผ่นดินโลกเสื่อมทรามด้วยการล่วงประเวณีของนาง (วิวรณ์ 19:2) ก็ถูกทำลาย เจ้าบ่าวพิชิตศัตรูของพระองค์และต้อนรับเจ้าสาวบริสุทธิ์สู่งานเลี้ยงสมรสของลูกแกะของพระเจ้า (วิวรณ์ 19:9)

ในการตอบสนองต่อชัยชนะยิ่งใหญ่ ยอห์นได้ยินเสียง “เหมือนอย่างเสียงมหาชน เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย และเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องกึกก้องว่า ‘ฮาเลลูยา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่ คือพระเจ้าของเราผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ขอให้เรายินดีและเปรมปรีดิ์ และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะงานอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกมาถึงแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว’” (วิวรณ์ 19:6-7)

ในการนมัสการ เราสรรเสริญเจ้าบ่าวผู้พิชิต การนมัสการของเราตั้งตารออนาคตที่พระเยซูกำลังเตรียมไว้สำหรับเจ้าสาวของพระองค์ เหตุผลอย่างหนึ่งที่การนมัสการสำคัญคือการนมัสการให้ฤทธิ์เดชแก่เราในการดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างมีชัยชนะในโลกที่เป็นศัตรูกันนี้ ในการนมัสการเราระลึกว่า “เราเป็นพลเมืองแห่งสวรรค์ และเรารอคอยผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงร่างกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายของพระองค์ที่เต็มด้วยพระรัศมี ตามพลังอำนาจที่ทำให้พระองค์สามารถให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของพระองค์” (ฟิลิปปี 3:20-21)

เพลงสรรเสริญสี่บทเหล่านี้จากพระธรรมวิวรณ์ให้ภาพของพระเจ้าที่เรานมัสการ ในการนมัสการเราไม่ได้จดจ่อกับตัวเองแต่จดจ่อกับพระเจ้า ในการนมัสการเราก้มกราบต่อพระผู้สร้าง ในการนมัสการเราสรรเสริญพระผู้ไถ่ ในการนมัสการเราฉลองพระคริสต์ผู้เป็นกษัตริย์ ในการนมัสการเราตั้งตารอนิรันดร์กาลในการสถิตอยู่ของเจ้าบ่าวผู้พิชิต

นี่คือพระเจ้าผู้ที่เรานมัสการ สิ่งนี้นำไปสู่คำถามว่า “ใครบ้างที่นมัสการได้? พระเจ้ามีข้อกำหนดอะไรสำหรับคนที่เข้ามาในการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์?”


[1]

“พระเจ้า พระองค์เป็น…

องค์สูงสุด ผู้ล้ำเลิศที่สุด;

เต็มด้วยความเมตตาและยุติธรรม;

ซ่อนเร้นมากที่สุดและสถิตอยู่ด้วย;

งดงามที่สุดและแข็งแกร่ง;

ทำการเสมอ พักสงบเสมอ;

รวบรวม แต่ไม่ขัดสนสิ่งใด;

ผดุงไว้และปกป้อง;

สร้างและบำรุงรักษา;

แสวงหา แต่ครอบครองทุกสิ่ง”

- ดัดแปลงจากออกัสติน

[2]ส่วนใหญ่ดัดแปงมาจาก Warren Wiersbe, Real Worship, (Grand Rapids: Baker Books, 2000), บทที่ 5
[3]ดัดแปลงจาก D.A. Carson, Worship by the Book, (Grand Rapids: Zondervan, 2002), 31

พระเจ้ามีข้อกำหนดอะไรสำหรับผู้นมัสการ?

ในบทสนทนากับหญิงชาวสะมาเรีย[1] พระเยซูกล่าวถ้อยคำที่น่าทึ่ง หลังจากบอกเธอว่าผู้นมัสการที่แท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง พระเยซูพูดว่าพระบิดาแสวงหาคนเช่นนั้นที่นมัสการพระองค์ (ยอห์น 4:23) พระเจ้าแสวงหาผู้นมัสการในลักษณะที่เจาะจง คือคนที่นมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง พระเจ้าแสวงหาผู้นมัสการ

คุณลักษณะใดที่พระเจ้าแสวงหาจากคนที่นมัสการพระองค์? ใครก็ตามเข้าร่วมประชุมนมัสการได้ ร้องเพลงสรรเสริญได้ อธิษฐานได้ อย่างไรก็ตามพระเจ้าให้แนวทางเจาะจงสำหรับคุณลักษณะของผู้นมัสการที่แท้จริง ในที่หนึ่งที่เห็นได้คือใน สดุดี 15

► อ่านสดุดี 15 บอกอะไรเราเกี่ยวกับชีวิตของผู้นมัสการ?

สดุดี 15 คือสดุดีเกี่ยวกับพิธีนมัสการ อธิบายบทสนทนาระหว่างปุโรหิตคนหนึ่งกับผู้นมัสการคนหนึ่งตรงทางเข้าพระวิหาร ผู้นมัสการปรารถนาเข้าไปในวิหารบริสุทธิ์ของพระเจ้า ในการตอบสนองต่อคำถามของผู้นมัสการว่า “ใครที่จะเข้าไปได้?” ปุโรหิตให้ข้อกำหนดสำหรับการเข้าไปในพระวิหาร แบบแผนเดียวกันนี้ใช้ในสดุดี 24:3-6 และมีคาห์ 6:6-8 ในสดุดี 15 แบ่งออกเป็นสามส่วนคือ...

1. คำถาม: ผู้ใดที่นมัสการ?

2. คำตอบ: คำอธิบายถึงผู้นมัสการ

3. จบข้อคิดเห็น: พระสัญญาต่อผู้นมัสการ

คำถาม: ผู้ใดที่นมัสการ? (สดุดี 15:1)

ที่ทางเข้าพระวิหาร ผู้นมัสการถามว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์? ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์?” คำถามเหล่านี้แนะนำคุณสมบัติของผู้นมัสการสามประการ

ผู้นมัสการที่แท้จริงรู้จักเกรงกลัวพระเจ้า

สดุดีบทนี้แสดงให้เห็นว่าการเข้าสู่การสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำกันแบบง่าย ๆ ผู้นมัสการที่แท้จริงเข้าใจว่าพระเจ้าบริสุทธิ์และเราถูกแยกขาดจากพระองค์

ตลอดทั้งพระคัมภีร์ มีความรู้สึกเกรงกลัวร่วมอยู่กับการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า ที่ภูเขาซีนาย ประชาชนได้รับคำเตือนให้อยู่ห่างจากภูเขาที่พระเจ้าตรัสกับโมเสส (อพยพ 19:7-25) ที่ภูเขาที่มีการจำแลงพระกาย พวกสาวกหวาดกลัวอย่างมาก (มัทธิว 17:6)

สำหรับผู้เชื่อ ความเกรงกลัวพระเจ้าไม่ใช่ความสยองขวัญที่ขับไล่ให้คนออกไปจากที่ประทับของพระองค์ แต่มันคือความเคารพที่ทำให้ผู้นมัสการเข้าใกล้พระเจ้าด้วยความถ่อมใจ ผู้นมัสการต้องไม่เดินเข้าไปในที่ประทับของพระเจ้าโดยไม่เตรียมตัว

ผู้นมัสการที่แท้จริงนมัสการด้วยความถ่อมใจ

ผู้นมัสการถามว่า “ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์?” ผู้อาศัยคือคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ในประเทศอื่น พวกเขาเป็นแขกที่ไม่มีสิทธิในฐานะพลเมือง..

สดุดีบทที่ 15 เรียกร้องให้ผู้นมัสการตระหนักว่าเราเป็นแขกในที่ประทับของพระเจ้า เนื่องจากพระเจ้าบริสุทธิ์และบ้านของพระองค์ก็บริสุทธิ์ เราไม่สมควรอยู่ที่นั่น ไม่ว่าเรามีตำแหน่งอะไรในชีวิต เราต้องเข้าไปในที่ประทับของพระเจ้าด้วยท่าทีถ่อมใจ เราเป็นแขกของพระองค์

ผู้นมัสการที่แท้จริงเฉลิมฉลองพระคุณของพระเจ้า

เนื่องจากเราตระหนักถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราเฉลิมฉลองพระคุณของพระเจ้าเมื่อพระองค์ต้อนรับเราให้เข้าบ้านของพระองค์ ผู้นมัสการที่ถามว่า “ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์?” ถามคำถามนี้ด้วยความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับคำเชิญให้เข้าไปในบ้านของพระเจ้า พระเจ้าได้สร้างความสัมพันธ์กับอิสราเอล การนมัสการของชาวยิวเป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยพระคุณนี้

สดุดี 103 เป็นคำเชิญสู่การนมัสการ “จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์” สดุดี 103 บรรจุเนื้อหาที่เป็นคำเตือนอันไพเราะเพื่อให้เราระลึกถึงพระคุณที่อนุญาตให้เราเข้ามาในที่ประทับของพระเจ้าได้[2]

“บิดาสงสารบุตรของตนฉันใด พระยาห์เวห์ทรงสงสารคนที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น เพราะพระองค์เองทรงรู้จักโครงร่างของเรา พระองค์ทรงระลึกว่าเราเป็นแต่ผงคลี” (สดุดี 103:13-14) พระเจ้าผู้สร้างเราจากผงคลีดินโดยพระคุณพระองค์ได้เรียกเราสู่การนมัสการ! เมื่อเราเข้าไปในการนมัสการ เราระลึกถึงพระคุณของพระเจ้า คือพระคุณที่อนุญาตให้เราเข้าไปในการสถิตอยู่ของพระผู้สร้างจักรวาล

การนมัสการที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับความเกรงกลัวพระเจ้า ความถ่อมใจ และพระคุณ แต่ละด้านของการนมัสการเห็นได้ในการนมัสการในพระวิหาร ผู้นมัสการชาวยิวปฏิบัติต่อพระวิหารด้วยความเคารพเพราะพระวิหารคือบ้านของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์[3] พวกเขาเตรียมการนมัสการอย่างระมัดระวังเพื่อแสดงความถ่อมตนอย่างเหมาะสมต่อหน้าพระเจ้า พวกเขายังเฉลิมฉลองในการนมัสการ การนมัสการของชาวยิวเต็มไปด้วยการร้องเพลง เครื่องดนตรี กลิ่นอันหอมหวน และบรรยากาศที่เฉลิมฉลองพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์

วันนี้เราควรเข้าไปในบ้านของพระเจ้าด้วยความรู้สึกเกรงกลัวพระเจ้า เราควรตระหนักถึงความไม่คู่ควรของเราต่อหน้าพระเจ้า แต่การนมัสการของเราควรเฉลิมฉลองพระคุณของพระเจ้าที่ต้อนรับเราเข้าไปในการสถิตอยู่ของพระองค์ พิธีมหาสนิทแบบเดิมกล่าวว่า “เรามาไม่ใช่เพราะเราคู่ควร แต่เพราะเราได้รับคำเชิญ” นี่คือการนมัสการที่เป็นการเฉลิมฉลองพระคุณของพระเจ้า

คำตอบ: คำอธิบายเกี่ยวกับผู้นมัสการ (สดุดี 15:2-5)

เพื่อเป็นการตอบคำถามที่ว่า “ผู้ใดจะเข้าไปในบ้านของพระเจ้า?” ปุโรหิตให้คำอธิบายเกี่ยวกับผู้นมัสการ ผู้นมัสการเดินอย่างปราศจากที่ติต่อหน้าพระเจ้า เขาระมัดระวังในการปฏิบัติต่อผู้อื่น เขาปฏิเสธคนเหล่านั้นที่ปฏิเสธพระเจ้า แต่เขาให้เกียรติคนที่ยำเกรงพระเจ้า เขาพยายามปรับคุณลักษณะชีวิตของเขาให้ตรงกับคุณลักษณะของพระเจ้า คนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะเป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ

คำตอบนี้เตือนเราให้ระลึกว่าการนมัสการส่งผลกระทบต่อชีวิตทุกด้าน การเข้าไปในการสถิตอยู่ของพระเจ้าจำเป็นต้องมีการเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์ ดาวิดนึกภาพไม่ออกว่าคนที่บอกว่า “ข้าพเจ้าเป็นลูกของพระเจ้า แต่ไม่ใช้ชีวิตโดยยอมจำนนต่อกฎบัญญัติของพระเจ้า” นั้นจะเป็นไปได้อย่างไร พระคัมภีร์ไม่ยอมให้คนใดกล่าวว่า “พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า แต่พระองค์ไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า” การเข้าไปในการสถิตอยู่ของพระเจ้าเรียกร้องให้เรายอมจำนนต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้า

ผู้นมัสการที่แท้จริงดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า

สดุดี 15:2 ให้คำอธิบายทั่วไปเกี่ยวกับผู้นมัสการ คนที่เข้าไปในการสถิตอยู่ของพระเจ้าต้องดำเนินชีวิตอย่างปราศจากที่ติ คือชีวิตที่ซื่อสัตย์โปร่งใสในทุกด้าน พวกเขาต้องสม่ำเสมอในการทำสิ่งถูกต้อง พวกเขาต้องพูดความจริงใน (หรือจาก) ใจ ถ้อยคำเหล่านี้อธิบายถึงชีวิตของผู้นมัสการแบบต่อเนื่อง ทุกชีวิตได้รับผลกระทบจากการนมัสการ

ผู้นมัสการที่แท้จริงดำเนินชีวิตโดยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน

เหมือนกับดาวิดที่นึกภาพไม่ออกว่าคน ๆ หนึ่งจะพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นลูกของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อฟังกฎบัญญัติของพระเจ้า” ได้อย่างไร เช่นกันดาวิดก็นึกภาพไม่ออกด้วยว่าคน ๆ หนึ่งที่บอกว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านอย่างยุติธรรม” จะเป็นไปได้อย่างไร

คนที่เข้าไปในการสถิตอยู่ของพระเจ้าคือคนที่ดำเนินชีวิตโดยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน เขา...

  • ไม่ใช้ลิ้นของตนในการนินทาว่าร้าย

  • ไม่ทำชั่วต่อเพื่อนบ้าน

  • ไม่เยาะเย้ยเพื่อนบ้านของตน เขาไม่ว่าลับหลัง

  • ต่อต้านคนที่ปฏิเสธพระเจ้า

  • ให้เกียรติคนที่ยำเกรงพระเจ้า

  • รักษาคำพูด

  • ไม่เอาเปรียบคนยากจนด้วยการกู้ยืมอย่างไม่เป็นธรรม

  • ไม่ยอมรับสินบนต่อสู้ผู้ไร้ความผิด

คนที่อาศัยอยู่ในพลับพลาของพระเจ้าคือคนชอบธรรมทั้งภายในและภายนอก ผู้นมัสการที่แท้จริงคือคนที่มีความซื่อตรงโปร่งใส ผุ้นมัสการแท้จริงไม่ยอมให้พิธีนมัสการมาแทนที่การเชื่อฟังในชีวิตประจำวัน

ปิดท้ายการสังเกต: พระสัญญาต่อผู้นมัสการ (สดุดี 15:5ค)

สดุดี 15 จบลงด้วยคำสัญญาต่อผู้นมัสการว่า “ผู้ทำสิ่งเหล่านี้จะไม่หวั่นไหวเป็นนิตย์” (สดุดี 15:5) คนที่ใช้ชีวิตด้วยการเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าได้รับคำสัญญาสำหรับการปกป้องของพระเจ้า สดุดี 15 เป็นสดุดีคู่ขนานกับสดุดี 1 ที่มาพร้อมกับคำอธิบายถึงทางของพระเจ้าและคำสัญญาแห่งพระพรสำหรับคนที่ทำตามพระเจ้า

สดุดี 15 แสดงให้เห็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้สำหรับคนที่นมัสการพระองค์ สดุดี 15 ควรถูกอ่านเป็นทั้งคำสั่ง (“นี่คือสิ่งที่พระเจ้าประสงค์”) และคำสัญญา (“นี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะทำให้กับคนเหล่านั้นที่ขอพระองค์”) ในแง่ของอิสยาห์บทที่ 6 เราเข้าใจว่าพระเจ้าคือผู้ที่ให้ฤทธิ์เดชแก่ผู้นมัสการเพื่อจะเชื่อฟัง พระเจ้าคือผู้ชำระริมฝีปากให้สะอาด พระเจ้าคือผู้ทำให้ข้อเรียกร้องในสดุดี 15 เป็นไปได้ การนมัสการแท้จริงอาศัยพระคุณของพระเจ้า ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นจากความพยายามอันเปราะบางของเรา แต่โดยทางพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของคนที่แสวงหาที่จะนมัสการพระองค์ อย่าหลงลืมพระคุณของพระเจ้าในการนมัสการ พระบิดาแสวงหาผู้นมัสการที่แท้จริง และ พระบิดาทำให้การนมัสการเป็นไปได้

ตรวจสอบ

ถามตัวเองว่า “ฉันมีใจและมือของผู้นมัสการที่แท้จริงหรือไม่?” อ่านสดุดี 15 เป็นการทดสอบ หลังจากอ่านแต่ละถ้อยคำแล้ว ถามว่า “สิ่งนี้อธิบายถึงฉันหรือไม่? ฉันพร้อมสำหรับการนมัสการแล้วหรือยัง?”

อ่านสดุดี 15 อีกรอบโดยอ่านเป็นคำอธิษฐานส่วนตัว “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ฤทธิ์เดชแก่ข้าพระองค์เพื่อจะดำเนินชีวิตอย่างปราศจากที่ติและทำในสิ่งที่ถูกต้องได้...ขอให้พระคุณแก่ข้าพระองค์เพื่อจะหลีกหนีจากการนินทาและใส่ร้าย...” จบโดยการฟังคำสัญญาของพระเจ้าว่า “ผู้ทำสิ่งเหล่านี้จะไม่หวั่นไหวเป็นนิตย์”


[1]ส่วนมากดัดแปลงมาจาก “The Worshipper’s Approach to God” โดย Ronald E. Manahan, พบได้ในบทที่ 2 ของ Authentic Worship, แก้ไขโดย Herbert Bateman (Grand Rapids: Kregel Books, 2002)
[2]การสังเกตนี้มาจาก Richard Averbeck, “Worshipping God in Spirit.”
[3]ในสมัยของพระเยซู ความเคารพนี้สูญหายไปและการเข้ามาในพระวิหารกลายเป็นการมาตลาด พระเยซูขับไล่พวกรับแลกเงินที่ดูหมิ่นพระวิหาร ทำให้พระวิหารกลายเป็น “ถ้ำโจร” (มัทธิว 21:12-13)

การนมัสการที่อันตราย: หน้าซื่อใจคด

พระเยซูพูดกับผู้คนที่คิดว่าตัวเองเชี่ยวชาญด้านการนมัสการ พวกธรรมาจารย์และฟาริสีระมัดระวังในการถือปฏิบัติตามทุกรายละเอียดของการนมัสการ ทั้งตามคำสั่งของพระคัมภีร์และตามประเพณีของชาวยิว พวกเขาไวมากในการกล่าวโทษใครก็ตามที่ไม่ทำตามทุกรายละเอียดในพิธีกรรม อย่างไรก็ตามพระเยซูกล่าวโทษการนมัสการของพวกเขาเพราะพวกเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด

พวกฟาริสีบ่นว่าพวกสาวกของพระเยวูที่ไม่ทำตามพิธีชำระล้างมือ พระเยซูตอบว่า “พวกหน้าซื่อใจคด อิสยาห์พยากรณ์ถึงท่านทั้งหลายถูกแล้วว่า ‘ชนชาตินี้ให้เกียรติเราแต่ปากใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอนว่าเป็นพระดำรัสสอน’” (มัทธิว 15:7-9) เหมือนกับพวกผู้นมัสการเทียมเท็จในสมัยของอิสยาห์ พวกฟาริสีถูกพระเยซูเรียกว่าเป็นคนหน้าซื่อใจคดเพราะความล้มเหลวสองประการคือ...

1. การนมัสการของพวกเขาเป็นเพียงภายนอก ไม่ได้มาจากใจ (มัทธิว 15:8)

2. การนมัสการของพวกเขาขึ้นอยู่กับประเพณีของมนุษย์ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับบัญญัติของพระเจ้า (มัทธิว 15:9)

เราต้องระมัดระวังเพื่อจะหลีกเลียงอันตรายของการนมัสการด้วยความหน้าซื่อใจคด การนมัสการของเราต้องมาจากใจ และการนมัสการของเราต้องได้รับการนำจากพระเจ้า ไม่ใช่ให้ประเพณีมานำหน้าเทียบเท่ากับพระวจนะของพระเจ้า

สรุป: คำพยานของผู้นมัสการ

ถ้าเราอ่านสดุดี 15 โดยไม่ระลึกถึงบทบาทของพระคุณในชีวิตคริสเตียน เราอาจได้รับแนวคิดผิด ๆ ว่าเราต้องดิ้นรนเองเพื่อจะมีการนมัสการที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม สดุดี 15 แสดงให้เห็นสิ่งที่พระเจ้าทำแทนเรา ไม่ใช่เราดิ้นรนเองเพื่อจะได้รับการต้อนรับเข้าสู่บ้านของพระองค์

ใครที่ได้รับคำเชิญสู่การนมัสการ? ฟังคำพยานอันน่าทึ่งของผู้นมัสการ พวกเขาแสดงให้เห็นว่าการนมัสการไม่ได้เกี่ยวกับข้องกับการเป็นคนที่คู่ควร การนมัสการเกี่ยวข้องกับการเข้ามาด้วยความถ่อมใจในการสถิตอยู่ของพระเจ้าและได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่โดยพระคุณ

ฟาริสีคนหนึ่งพูดว่า...

“ผมมั่นใจว่าคุณสามารถเข้าใจเหตุผลว่าทำไมผมจึงขุ่นเคืองกับคำสอนของพระเยซู ผมเป็นคนดี ผมไม่ได้ละเมิดพระบัญญัติ ผมอดอาหารและจ่ายสิบลด ถ้าใครจะสมควรได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ก็ต้องเป็นผมนี่ล่ะ! ผมมาที่บ้านของพระเจ้าเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมเป็นคนดี แล้วพระเจ้าจะปฏิเสธการนมัสการของผมได้อย่างไรหรือ?”

คนเก็บภาษีพูดว่า...

“ผมพูดอย่างซื่อตรงว่า ผมก็ประหลาดใจพอ ๆ กับฟาริสี! ผมไม่แน่ใจเลยว่าผมจะเข้าในพระวิหารได้ ผมจะอยู่ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้จากพวกคนดี ผมไม่หวังเลยว่าจะมีใครมาสังเกตเห็นผม ผมเสาะหาพระเมตตาของพระเจ้าแม้ว่าผมไม่สมควรได้รับพระเมตตา แต่ผมตกตะลึงมากที่ผมกลับบ้านโดยถูกทำให้เป็นคนชอบธรรมได้ ชีวิตของผมถูกทำให้เปลี่ยนแปลงในการนมัสการ”

เศรษฐีพูดว่า...

“ผมบริจาคเงินมากมายเข้าพระวิหาร ผมคิดว่าพระเยซูน่าจะประทับใจกับการถวายของผมนะ นั่นคือการนมัสการของผม พอผมหย่อนเงินลงในกล่อง ทุกคนจะรู้เลยว่า “มิสเตอร์มันนี่” อยู่ที่นี่ ผมหวังว่าพระเจ้าจะสังเกตเห็นว่าผมบริจาคมากแค่ไหน!”

หญิงม่ายที่ยากจนพูดว่า...

“ฉันรู้สึกอายกับการต้องเอาเงินถวายหยอดลงในกล่อง ฉันมีแค่สองเหรียญเล็ก ๆ เท่านั้น คนอื่นบริจาคเงินก้อนโต แต่ฉันแทบไม่มีอะไรเลย แต่การนมัสการคือการให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณ มันไม่ได้มาก แต่ฉันให้ทั้งหมดที่ฉันมี ฉันหวังว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นเหรียญเล็ก ๆ ของฉัน แต่ก็มีคนสังเกตเห็น พระเยซูเห็นสิ่งที่ฉันให้! และพระองค์บอกว่าฉันให้มากกว่าคนอื่น ๆ ฉันไม่แน่ใจว่าที่พระเยซูพูดหมายถึงอะไร แต่ฉันดีใจที่ฉันได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของฉัน!”

การอภิปรายกลุ่ม

► เพื่อฝึกประยุกต์ใช้บทเรียนนี้ ขอให้อภิปรายร่วมกันดังนี้

อห์นเป็นคริสเตียนมาหลายปี เขารู้ว่าการเข้าคริสตจักร การอ่านพระคัมภีร์ และการอธิษฐานเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันยากที่เขาจะสัมผัสถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าในกิจกรรมเหล่านี้ ดูเหมือนสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเพียงรูปแบบภายนอกที่ว่างเปล่า คุณจะช่วยให้จอห์นเห็นพระเจ้าในการนมัสการได้อย่างไร?

ทบทวนบทที่ 2

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับพระเจ้าสำคัญต่อการนมัสการเพราะภาพที่บิดเบือนเกี่ยวกับพระเจ้านำไปสู่การนมัสการที่บิดเบือน

(2) การนมัสการต้องจดจ่อที่พระเจ้า ไม่ใช่ที่คุณภาพของประสบการณ์ในการนมัสการของเรา

(3) พระธรรมวิวรณ์ให้ภาพการนมัสการในสวรรค์แก่เรา

  • การนมัสการในสวรรค์คือการนมัสการพระผู้สร้างผู้มีอำนาจครอบครองสูงสุด บริสุทธิ์ และเป็นนิรันดร์

  • การนมัสการในสวรรค์คือการนมัสการพระผู้ไถ่

  • การนมัสการในสวรรค์คือการนมัสการพระเจ้าผู้เป็นกษัตริย์

  • การนมัสการในสวรรค์คือการนมัสการเจ้าบ่าวผู้พิชิต

(4) สดุดี 15 เป็นสดุดีแห่งการนมัสการที่สรุปข้อกำหนดของพระเจ้าสำหรับผู้นมัสการ ผู้นมัสการที่แท้จริงคือ...

  • รู้จักเกรงกลัวพระเจ้า

  • นมัสการด้วยความถ่อมใจ

  • เฉลิมฉลองพระคุณของพระเจ้า

  • ดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า

  • ดำเนินชีวิตโดยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน

  • รับพระสัญญาของพระเจ้าเพื่อการปกป้องและอวยพร

งานมอบหมายบทที่ 2

(1) สดุดี 120-134 เป็นชุดบทเพลงสำหรับการเดินทางไปแสวงบุญที่เยรูซาเล็ม สดุดีเหล่านี้สอนเกี่ยวกับการนมัสการในสถานการณ์ที่ยากลำบาก อ่านสดุดีเหล่านี้เมื่อคุณหาคำตอบสำหรับคำถามในตารางด้านล่างนี้

สดุดี คำถามที่ต้องตอบ
120 คนเมเชคและคนเคดาร์อยู่ที่ไหน? ทำไมการนมัสการในเยรูซาเล็มจึงสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญที่อยู่ในเมเชคและเคดาร์?
122 สดุดีบทนี้สอนอะไรเกี่ยวกับท่าทีของเราในการนมัสการ?
123 ในข้อ 2 สอนอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผู้นมัสการกับพระเจ้า?
124 คุณเรียนรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการสรรเสริญในสถานการณ์ที่ยากลำบากจากสดุดีบทนี้?
126 การนมัสการเกี่ยวข้องกับการทำพันธกิจท่ามกลางชนชาติทั้งหลายอย่างไร? สังเกตในข้อ 2
130 สดุดีบทนี้สอนอะไรเกี่ยวกับบทบาทของการสารภาพในการนมัสการ?
131 ผู้เขียนสดุดีเตรียมตัวสำหรับการนมัสการอย่างไร? อะไรคือขั้นตอนในทางปฏิบัติที่ทำให้คุณทำตามแบบอย่างนี้ได้?
133 สดุดี 133, ยอห์น 17:20-23, และเอเฟซัส 4:1-16 ล้วนพูดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันและทั้งหมดเกี่ยวข้องกับชีวิตของคริสตจักรในทางใดทางหนึ่ง ความเป็นหนึ่งเดียวกันเกี่ยวข้องกับการนมัสการและชีวิตของคริสตจักรอย่างไร?
134 สดุดี 134 เป็นตอนจบที่เหมาะสมของสดุดีชุดนี้เกี่ยวกับการนมัสการอย่างไร?

(2) ช่วงเริ่มต้นบทเรียนต่อไป คุณจะต้องทำการทดสอบเกี่ยวกับบทเรียนนี้ ขอให้เตรียมตัวด้วยการศึกษาคำถามเพื่อการทดสอบอย่างละเอียด

แบบทดสอบบทที่ 2

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) เขียนถึงสิ่งที่เราเรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าพระผู้สร้างในบทเพลงสรรเสริญจากวิวรณ์บทที่ 4 มาสามประการ

(2) เขียนเหตุผลสำหรับการนมัสการพระผู้ไถ่ในวิวรณ์บทที่ 5 มาสามข้อ

(3) อะไรคือคำสอนพื้นฐานจากพระธรรมวิวรณ์สำหรับคริสเตียน?

(4) สดุดี 15 เป็นสดุดีเกี่ยวกับพิธีกรรมซึ่งแบ่งออกเป็นสามตอน ขอให้เขียนทั้งสามตอนนั้น

(5) อะไรคือท่าทีของผู้นมัสการที่เข้าใจว่าเขาเป็นแขกในที่ประทับของพระเจ้า?

(6) คุณลักษณะสำคัญสองประการของผู้นมัสการที่แท้จริงจากสดุดี 15:2-5 คืออะไร?

(7) ทำไมพระเยซูจึงเรียกพวกฟาริสีว่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด?

(8) เขียนพระธรรมวิวรณ์ 5:9-14 จากการท่องจำ

Next Lesson