► อภิปรายร่วมกันถึงรูปแบบการนมัสการในคริสตจักรของคุณ ด้านใดของการนมัสการของคุณที่ตรงกับคำสั่งในพระคัมภีร์และด้านใดที่กำหนดโดยวัฒนธรรมของคุณ?
“ปัญหาที่ยากที่สุดสำหรับการนมัสการในประเทศของฉันคือความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรม คริสตจักรส่วนใหญ่นำเข้ารูปแบบการนมัสการจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแบบร่วมสมัยหรือแบบดั้งเดิม คนของเราปรับรูปแบบจากตะวันตกเพียงเพราะพวกเขาต้องการตามทัน แต่การนมัสการแบบ 'ดั้งเดิม ' หรือ 'ร่วมสมัย ' ไม่เชื่อมโยงกับผู้คนเพราะทั้งสองอย่างต่างเป็นของต่างชาติ เราจะนมัสการในแบบที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าและสื่อถึงโลกที่เราทำพันธกิจได้อย่างไร”
วัฒนธรรมหรือพระคัมภีร์?
เจ้าสาวและเจ้าบ่าวมาจากสองวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ในงานเลี้ยงวันแต่งงาน อาหารจากวัฒนธรรมของเจ้าสาวก็ถูกเสิร์ฟ เมื่อจานที่หนึ่งผ่านไป เจ้าบ่าวถามว่า “นั่นอะไร?” เจ้าสาวบอกเขาว่า “ในประเทศของฉัน นี่เป็นอาหารอันโอชะ” เขาตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว “ในประเทศของผม มันน่าขยะแขยง!” ความแตกต่างทางวัฒนธรรมอาจเป็นเรื่องท้าทาย
พวกเราทุกคนต่างได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของตัวเอง เหตุผลที่คริสเตียนบางคนใช้ส้อมแทนตะเกียบในการกินอาหาร ไม่ใช่เพราะส้อมนั้นถูกต้องตามพระคัมภีร์หรือมีประสิทธิภาพมากกว่า พวกเขาใช้ส้อมเพราะเติบโตในวัฒนธรรมที่ใช้ส้อม เพื่อนคริสเตียนของพวกเขาในส่วนอื่นๆ ของโลกพบว่าใช้ตะเกียบมีประโยชน์มากกว่าส้อม
การนมัสการของเราได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของเราเอง มีหลายด้านในการนมัสการของเราที่เข้ากันกับวัฒนธรรม บางคนที่เติบโตมากับคริสตจักรประเพณีของชาวอเมริกันก็จะชอบเสียงออแกนของคริสตจักร ซึ่งการใช้ออแกนของคริสตจักรก็ไม่ได้ถูกต้องตามหลักการพระคัมภีร์มากกว่าการใช้กีตาร์ มันเป็นเพียงแง่หนึ่งของวัฒนธรรม
ในประเทศเลโซโท คริสตจักรแห่งหนึ่งร้องเพลงเพื่อเรียกและตอบรับระหว่างผู้นำกับคนในที่ประชุม ในรูปแบบนี้ ผู้นำจะร้องเพลงหนึ่งท่อน และจากนั้นที่ประชุมก็ร้องเพลงท่อนถัดไป รูปแบบการร้องเพลงอันไพเราะนี้ไม่ปรากฏให้เห็นในคริสตจักรอเมริกัน ถ้าหากผู้กำกับดนตรีของคริสตจักรอเมริกันลองเอารูปแบบนี้ไปใช้ ที่ประชุมจะต้องสับสนแน่นอน การร้องเพลงพร้อมกัน กับการร้องเพลงเรียกและตอบรับ เป็นเรื่องของวัฒนธรรม ไม่ใช่หลักการพระคัมภีร์
มีคำถามสามข้อที่เราควรพิจารณารูปแบบการนมัสการ
1. เราสับสนระหว่างวัฒนธรรมกับพระคัมภีร์หรือไม่?
2. วัฒนธรรมของเราขัดแย้งกับพระคัมภีร์หรือไม่?
3. การนมัสการของเราสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดกับผู้คนในวัฒนธรรมที่พระเจ้าวางเราไว้ไหม?
เราสับสนระหว่างวัฒนธรรมกับพระคัมภีร์หรือไม่?
คำถามนี้มีความสำคัญเมื่อการประเมินแนวทางปฏิบัติในการนมัสการแตกต่างจากของเราเอง ในสถานการณ์นั้นเราต้องแน่ใจว่าเราไม่ได้สับสนระหว่างวัฒนธรรมกับพระคัมภีร์ เป็นเรื่องง่ายที่เราจะเอาวัฒนธรรมของเราใส่เข้าไปในพระคัมภีร์ แล้วยืนกรานว่าคนอื่นทุกคนก็อ่านพระคัมภีร์ด้วยวิธีการเดียวกับเรา เรามักจะคิดว่าวิธีของเราเป็นวิธีการตามพระคัมภีร์
บางคนอาจพูดว่า “ออแกนเป็นเครื่องดนตรีที่ถูกต้องสำหรับใช้ในคริสตจักร กีตาร์ไม่ควรนำมาใช้ในการนมัสการ” อย่างไรก็ตามหลายพื้นที่ในโลกนี้ ออแกนไม่ได้เป็นเครื่องดนตรีที่เหมาะสม ในขณะที่กีตาร์สามารถพกพาได้สะดวกและมีประโยชน์สำหรับการร้องเพลง ไม่มีใครโต้แย้งได้ว่าคริสตจักรตามบ้านในสมัยศตวรรษที่สองใช้ไปป์ออร์แกน! บางคนชอบไปป์ออร์แกน แต่พวกเขาต้องไม่สับสนระหว่างความชอบทางวัฒนธรรมกับหลักการพระคัมภีร์
พอล แบรดชอว์ (Paul Bradshaw) นักประวัติศาสตร์การนมัสการได้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในสมัยสองศตวรรษแรกของคริสตจักร มีรูปแบบการนมัสการที่หลากหลาย เมื่อคริสตจักรขยายออกไป ไม่น่าเป็นไปได้ที่การนมัสการจะยังคงเหมือนเดิมในทุกสถานที่[1]
อะไรคือผลกระทบในทางปฏิบัติของคำถามนี้? เมื่อมีการประเมินรูปแบบการนมัสการจากคนอื่นหรือการตอบสนองต่อแนวคิดใหม่จากคนภายในคริสตจักรของเราเอง เราต้องไม่สับสนระหว่างวัฒนธรรมกับพระคัมภีร์ เราต้องไม่ปฏิเสธแนวคิดใดเพียงเพราะไม่ตรงกับความชอบตามวัฒนธรรมของเรา ถ้าหากแนวทางปฏิบัติในการนมัสการใดที่ไม่ขัดแย้งกับหลักการพระคัมภีร์ เราก็ควรอนุญาตให้คนอื่นนมัสการด้วยวิธีการที่พวกเขาชอบ
นี่ไม่ได้เป็นการบอกว่าการนมัสการทุกรูปแบบจะเหมาะสมกับทุกคริสตจักร ผู้นำนมัสการที่ฉลาดจะนำด้วยรูปแบบที่เหมาะสมกับผู้คนที่เขากำลังรับใช้
ตรวจสอบ
มีแนวทางปฏิบัติในการนมัสการอะไรที่คุณปฏิเสธเพราะไม่ตรงกับความชอบทางวัฒนธรรมของคุณ ไม่ใช่เพราะไม่ตรงกับหลักการพระคัมภีร์? ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณเต็มใจยอมให้ผู้เชื่อคนอื่นมีอิสระที่จะนมัสการด้วยวิธีของพวกเขาเอง ตราบใดที่วิธีการนั้นไม่ฝ่าฝืนพระคัมภีร์หรือไม่?
วัฒนธรรมของเราขัดแย้งกับพระคัมภีร์หรือไม่?
คำถามนี้สำคัญเมื่อเราถูกล่อใจให้ปกป้องแนวทางปฏิบัติในการนมัสการเพียงเพราะมันเป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมของเรา ถ้าหากเราพบว่าสิ่งที่เป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมของเราขัดแย้งกับพระคัมภีร์ เราต้องเชื่อฟังพระคัมภีร์มากกว่าความคาดหวังต่าง ๆ ในวัฒนธรรมของเรา
กลุ่มปฏิรูปเผชิญกับปัญหานี้เมื่อพวกเขาสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่งให้กับการนมัสการ วัฒนธรรมยุคกลางกล่าวว่า “ฆราวาสทั่วไปไม่ควรอ่านพระคัมภีร์ พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้” วิคลิฟ ฮุส ลูเธอร์ และนักปฏิรูปคนอื่นๆ ตระหนักว่าพระคัมภีร์มีไว้สำหรับทุกคน วัฒนธรรมยุคกลางของพวกเขาขัดแย้งกับคำสอนของพระคัมภีร์ นักปฏิรูปเสี่ยงชีวิตเพื่อเผชิญหน้ากับวัฒนธรรมของตนด้วยความจริงในพระคัมภีร์
ถ้าวัฒนธรรมขัดแย้งกับพระคัมภีร์ เราต้องปฏิเสธวัฒนธรรมของเรา! พระวจนะของพระเจ้าเป็นสิทธิอำนาจสุดท้ายของเรา เราไม่สามารถประนีประนอมความสัตย์ซื่อต่อพระคัมภีร์เพื่อให้เข้ากับโลกรอบตัวเราได้ การแปลความจากพระธรรมโรม 12:2 คือ “อย่าปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมได้ดีจนคุณเข้ากับมันได้โดยไม่ต้องคิด”[2] เรายอมให้โลกกดอัดเราให้เข้าไปในแม่พิมพ์ของมันไม่ได้
ตรวจสอบ
มีด้านใดในการนมัสการของคุณที่ขัดแย้งกับหลักการพระคัมภีร์บ้างไหม?
การนมัสการของเราสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อคนในวัฒนธรรมที่พระเจ้าวางเราไว้ไหม?
คำถามนี้สำคัญสำหรับการเข้าถึงคนในโลกของเราด้วยข่าวประเสริฐ ถ้าหากเราต้องการแตะโลกรอบตัวเราด้วยข่าวประเสริฐ การนมัสการของเราต้องสื่อสารด้วยภาษาที่พวกเขาเข้าใจ
จอห์น เวสเลย์ เผชิญกับคำถามนี้เมื่อเขาเริ่มเทศนาในทุ่งนา เช่นเดียวกับเพื่อนชาวแองกลิกันของเขา เวสเลย์เริ่มเชื่อว่าคริสตจักรเป็นที่เดียวที่เหมาะสมสำหรับการเทศนา ภายใต้อิทธิพลของ จอร์จ ไวท์ฟิลด์ เวสเลย์เริ่มต้นเข้าใจว่าพระมหาบัญชาเรียกร้องให้เขาเทศนานอกคริสตจักร[3] เวสเลย์ถูกผลักดันให้คิดว่า “ผมจะประกาศข่าวประเสริฐให้แก่คนงานเหมืองถ่านหินที่จะไม่เข้าคริสตจักรเลยนอกจากมางานแต่งงานกับงานศพได้อย่างไร” คำตอบคือประกาศในทุ่งนา
วันที่ 2 เมษายน 1739 เวสเลย์ออกไปนอกเมืองและเทศนาให้กับคนประมาณ 3,000 คนที่มารวมตัวกันที่ทุ่งนา สิ่งนี้เริ่มต้นพันธกิจที่เปลี่ยนโลกของคนใช้ภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 18
เวสเลย์เคยต่อต้านการประกาศในทุ่งนาจนครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่า “ผม [จะ] คิดว่าการช่วยจิตวิญญาณเกือบจะเป็นความบาปหากไม่ได้ประกาศในคริสตจักร” เมื่อเขาตระหนักว่าอคติทางวัฒนธรรมของเขาเป็นอุปสรรคต่อข่าวประเสริฐ เวสเลย์เต็มใจเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติของเขา เพื่อนชาวแองกลิกันของเขาหลายคนก็ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงนี้ ภายในหนึ่งเดือนหลังจากเริ่มเทศนากลางแจ้ง บิชอพคนหนึ่งบอกกับเวสลีย์ว่าเขาไม่ได้รับการต้อนรับให้เทศน์ในคริสตจักรนิกายแองกลิคันอีกต่อไป การเต็มใจที่จะสื่อสารกับวัฒนธรรมของคุณอาจมีราคาแพง สิ่งนี้ทำให้เวสลีย์ต้องสูญเสียความเคารพนับถือจากเพื่อนในแองกลิกันหลายคน การทรงเรียกของพระเยซูเพื่อให้เป็นแสงสว่างและเกลือมีความสำคัญสูงกว่าความสะดวกสบายส่วนตัว
มิคาเอล คอสเปอร์ (Michael Cosper) แนะนำคำถามสามข้อเพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการนมัสการของเรากับวัฒนธรรมโดยรอบ[4]
(1) ใครอยู่ที่นี่?
คำถามนี้นำให้พิจารณาเกี่ยวกับคนในที่ประชุมของเรา “ใครที่เข้าร่วมการประชุมนมัสการ?” บางครั้งเราเป็นห่วงเกี่ยวกับการเข้าถึงคนในโลกจนเราล้มเหลวในการรับใช้คริสตจักร การนมัสการของเรากลับไม่น่าเชื่อถือเมื่อเราพยายามเป็นใครบางคนที่ไม่ใช่ตัวเรา เนื่องจากการนมัสการควรสื่อสารกับคนในที่ประชุม เราจึงต้องถามว่า “ใครอยู่ที่นี่ตอนนี้? ใครที่พระเจ้าวางไว้ในที่ประชุมของเรา?”
(2) ใครเคยอยู่ที่นี่?
คำถามนี้นำให้พิจารณาถึงมรดกของเรา ในฐานะผู้เชื่อเรามีมรดกสืบย้อนกลับไปถึงคริสตจักรยุคแรกและขยายออกไปทั่วโลก
สิ่งนี้หมายความว่าเราจะพยายามแนะนำบทเพลงสรรเสริญอันยิ่งใหญ่ในอดีตให้กับชนในรุ่นของเรา มันหมายความว่าเราจะเชื่อมต่อคนในปัจจุบันเข้ากับประวัติศาสตร์ของคริสตจักร คริสเตียนหนุ่มสาวจำเป็นต้องรู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของมรดกที่เริ่มต้นมาอย่างยาวนานก่อนพวกเราเกิดและจะยังคงต่อเนื่องไปนานจนหลังจากเราจากไปแล้ว เราเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรสากลที่สร้างผู้เชื่อจากชนทุกรุ่น
การนมัสการของเราเป็นมรดกย้อนกลับไปยังเพ็นเทคอส ย้อนไปยังการสำแดงของพระเจ้าแก่โมเสสที่ภูเขาซีนาย และย้อนกลับไปไกลสุดที่การสำแดงของพระเจ้าแก่อาดัมและเอวาในสวนเอเดน การนมัสการของเราควรเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ เมื่อเราร้องเพลง “พระเจ้าผู้ทรงเป็นป้อมปราการ” เรากำลังร่วมนมัสการกับคนในยุคปฏิรูป เมื่อเราอ่านหลักธรรมของอัครทูต เรากำลังเข้าร่วมการนมัสการในยุคศตวรรษที่สอง ในการนมัสการเราถามว่า “ใครเคยอยู่ที่นี่ก่อนเรา?”
(3) ใครควรอยู่ที่นี่?
คำถามนี้นำให้เราพิจารณาถึงชุมชนของเรา เมื่อเราถามว่า “ใครคือคนที่ควรมาเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร?” เราก็ถามคำถามต่อไปนี้ว่า...
ใครคือคนที่เราพยายามเข้าถึงด้วยข่าวประเสริฐ?
ถ้าหากชุมชนของเรามาที่คริสตจักร การประชุมนมัสการจะเป็นแบบใด?[5]
เราจะสัตย์ซื่อต่อข่าวประเสริฐในขณะที่กำลังนมัสการด้วยวิธีที่สื่อสารกับผู้คนที่เราพยายามเข้าถึงได้อย่างไร?
คำถามเหล่านี้ตอบในกระดาษง่าย แต่ยากที่จะตอบได้ในชีวิตจริง! ให้เราดูฉากสี่ตอนที่แต่ละคริสตจักรได้เผชิญกับความท้าทายในการสื่อสารกับชุมชน
คริสตจักร A: คริสตจักรแห่งหนึ่งที่ล้มเหลวในการถามว่า “ใครอยู่ที่นี่?”
คริสตจักร A ตั้งอยู่ในชุมชนของคนเกษียณอายุ อายุโดยเฉลี่ยของคนในชุมชนนี้คือ 70 ปี และอายุเฉลี่ยในคริสตจักรคือ 70 ปี สองปีที่แล้ว ศิษยาภิบาลของพวกเขาตั้งใจจะเข้าถึงครอบครัวของคนหนุ่มสาว ในช่วงเวลาสองเดือนนั้น เขาแทนที่ออร์แกน คณะนักร้อง และบทเพลงสรรเสริญด้วยกีตาร์ ทีมสรรเสริญ และเครื่องฉายข้ามศีรษะ
น่าเสียดายที่ศิษยาภิบาลลืมถามคำถามว่า “ใครอยู่ที่นี่?” ผลที่ได้คือ คริสตจักรที่มีประชากรสูงวัย 100 คนกลับลดเหลือ 35 คนเพราะต้องร้องเพลงที่พวกเขาไม่ชอบ ต้องดูหน้าจอที่ไม่ชอบ และบ่นเกี่ยวกับเสียงกีตาร์ที่ดัง
คริสตจักร A ควรออกไปเข้าถึงชุมชนไหม? ควรแน่นอน! แต่กลุ่มคนที่จะเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือผู้สูงวัยในชุมชนที่เกษียณอายุที่ยังไม่ได้เข้าคริสตจักร โดยการละเลยผู้คนที่อยู่ในคริสตจักรอยู่แล้ว พวกเขาล้มเหลวที่จะนมัสการด้วยวิธีการที่พูดกับทั้งคนในคริสตจักรของตัวเองและกับชุมชนรอบข้างด้วย คริสตจักรล้มเหลวที่จะถามคำถามว่า “ใครอยู่ที่นี่?”
คริสตจักร B: คริสตจักรแห่งหนึ่งที่ล้มเหลวในการถามว่า “ใครเคยอยู่ที่นี่?”
คริสตจักร B ตั้งอยู่ในเมืองที่โตเร็วซึ่งมีครอบครัวของคนหนุ่มคนสาวอาศัยที่นั่น คริสตจักรสื่อสารภาษาที่มีในชุมชนของพวกเขา การนมัสการของพวกเขาน่าตื่นเต้นและเร้าใจ
คริสตจักร B มีภาระใจเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ แต่น่าเสียดายที่คริสตจักรไม่ถามว่า “ใครเคย อยู่ที่นี่?” คริสตจักร B หลงลืมมรดกที่ได้รับมาในฐานะคริสตจักรหนึ่งที่เทศนาเกี่ยวกับใจที่บริสุทธิ์และชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะ ศิษยาภิบาลหลีกเลี่ยงที่จะเทศนาหลักคำสอนเพราะเขาคิดว่า “ผู้คนไม่อยากได้ยินหลักคำสอน พวกเขาอยากฟังคำเทศนาในเชิงปฏิบัติมากกว่า” ผู้กำกับดนตรีหลีกเลี่ยงใช้เพลงที่ลงลึกในพระคัมภีร์เพราะพวกเขาคิดว่า “ผู้คนไม่ชอบเพลงที่มีคำยาก ๆ พวกเขาชอบเพลงที่ร้องง่าย ๆ” ผลที่ได้คือ คริสตจักรสร้างชนรุ่นที่เป็น “ผู้ไม่เชื่อที่ได้รับบัพติศมา”[6]
คริสตจักร B มีจำนวนสมาชิกเพิ่มมากขึ้น แต่มีจำนวนน้อยที่เติบโตในทางของพระเจ้า คนมากมายมาเข้าคริสตจักรเพราะความบันเทิงซึ่งเรียกร้องให้อุทิศตัวเพียงเล็กน้อย เนื่องคริสตจักร B ไม่ตระหนักถึงมรดกที่ได้รับมา ไม่ช้านานคนที่กลับใจมาเชื่อก็ย้ายไปคริสตจักรอื่นที่หยิบยื่นความบันเทิงที่สนุกกว่า คริสตจักร B ล้มเหลวที่จะถามว่า “ใครเคยอยู่ที่นี่?”
คริสตจักร C: คริสตจักรแห่งหนึ่งที่ล้มเหลวในการถามว่า “ใครควรอยู่ที่นี่?”
คริสตจักร C เริ่มต้นเกือบ 100 ปีที่แล้วในชุมชนเล็ก ๆ ในชนบท การนมัสการ การเทศนา และดนตรีมีไว้เพื่อสื่อสารกับคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชุมชนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง เวลานี้คริสตจักร C แวดล้อมไปด้วยชุมชนแออัด แต่การนมัสการของคริสตจักรก็ยังคงออกแบบเพื่อดึงดูดคนชั้นกลางในชนบท
น่าเศร้า คนมากมายที่อาศัยอยู่ใกล้คริสตจักร C ผ่านคริสตจักรไปแต่ละสัปดาห์โดยไม่รู้เลยว่าคริสตจักรมีคำตอบสำหรับความหิวกระหายลึก ๆ ในใจของพวกเขา คริสตจักร C มีข่าวประเสริฐที่ชุมชนที่นั่นต้องการ แต่คริสตจักรไม่สื่อสารอย่างชัดเจนต่อชุมชน ถ้าหากคริสตจักร C สามารถนมัสการด้วยวิธีการที่สื่อสารได้ทั้งกับพระเจ้าและกับโลกที่ขัดสน คริสตจักรก็จะสามารถพลิกฟื้นชุมชนของตนได้ แทนที่จะเป็นแบบนั้น คริสตจักร C กลับกำลังตายลงไปเพราะล้มเหลวที่จะถามว่า “ใครควรอยู่ที่นี่?”
คริสตจักร D: คริสตจักรที่สื่อสารกับชุมชน
คริสตจักร D ร่วมในหลายด้านของคริสตจักรสามแห่งที่อยู่ก่อนหน้านี้ ชุมชนได้รับการเปลี่ยนแปลงไปมากนับจากมีการก่อตั้งคริสตจักรนี้เมื่อ 40 ปีที่แล้ว คริสตจักร D ไม่เหมือนกับคริสตจักรอื่น ๆ ในการสำรวจนี้ คริสตจักร D ได้เรียนรู้ที่จะสื่อสารอย่างดีกับชุมชนของตน
เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายอภิบาลตระหนักว่าคนหนุ่มสาวที่กลับใจมาเชื่อจำนวนมากไม่เข้าใจหลักคำสอนที่เทศนาในวันอาทิตย์ พวกเขาสร้างกลุ่มสร้างสาวกขึ้นเพื่อนำให้ผู้เชื่อใหม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เมื่อผู้นำดนตรีตระหนักว่าดนตรีไม่ได้สื่อสารกับชุมชนของพวกเขา เขาเริ่มใช้เพลงที่ตรงตามหลักคำสอนและเป็นดนตรีที่ดึงดูดใจ
เมื่อคริสตจักรเติบโตขึ้น พวกเขาก่อตั้งคริสตจักรลูกตามเมืองรอบ ๆ และอนุญาตให้คริสตจักรเหล่านี้ปรับตามความจำเป็นของชุมชนของพวกเขา คริสตจักรเหล่านี้ได้รับการอภิบาลโดยคนหนุ่มที่เป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร D คริสตจักรลูกแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน แต่ทุกแห่งสัตย์ซื่อต่อข่าวประเสริฐ คริสตจักรเจริญก้าวหน้าเพราะเรียนรู้ที่จะถามว่า “ใครอยู่ที่นี่ ใครเคยอยู่ที่นี่ และใครควรอยู่ที่นี่?” คริสตจักรได้เรียนรู้ที่จะสื่อสารความจริงจากพระคัมภีร์ต่อชุมชนที่พระเจ้าให้คริสตจักรอยู่ที่นั่น
ตรวจสอบ
การนมัสการของคุณสื่อสารกับคนที่เข้าร่วมคริสตจักรไหม? การนมัสการของคุณสะท้อนถึงมรดกของคริสตจักรของคริสเตียนไหม? การนมัสการของคุณพูดกับคนที่พระเจ้าต้องการเข้าถึงผ่านทางคริสตจักรของคุณไหม?
ทำอย่างไรเกี่ยวกับดนตรี?
นักดนตรีของคริสตจักรในหลายพื้นที่ของโลกต้องเผชิญกับความท้าทายในการหาเพลงที่ตรงตามหลักการพระคัมภีร์และเข้ากันได้กับวัฒนธรรม เราหาดนตรีที่สื่อสารตรงใจของชุมชนที่เรากำลังจะเข้าถึง ดนตรีต่างชาติอาจไม่เข้ากับวัฒนธรรม และเพลงท้องถิ่นในบางวัฒนธรรมก็ไม่ตรงกับพระคัมภีร์ เราจะเลือกดนตรีที่มีทั้งความสัตย์ซื่อต่อพระคัมภีร์และเข้ากันได้กับวัฒนธรรมที่เราอภิบาลอยู่ด้วยได้อย่างไร? มีคำตอบจากศิษยาภิบาลที่เผชิญกับปัญหานี้
เมื่อต้องเลือกเพลงสำหรับคริสตจักรที่ไม่ต้องเลือกระหว่างสัตย์ซื่อกับพระคัมภีร์และเข้ากันได้กับวัฒนธรรม สำหรับเพลงที่ “ตรงตามพระคัมภีร์” ผมหาเพลงที่เป็นความจริงและชัดเจน สำหรับเพลงที่ “เข้ากันได้กับวัฒนธรรม” ผมหาเพลงที่ร้องได้และเกี่ยวข้องกับคนในที่ประชุม
ความสัตยซื่อต่อพระคัมภีร์เป็นความสำคัญอย่างแรก แต่เราไม่ต้องเลือกระหว่างสองอย่างนั้น ถ้าหากส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการร้องเพลงคือการสื่อสารกับชุมชน เราไม่ควรตั้งเป้าเพื่อเลือกภาษาดนตรีที่เข้ากับวัฒนธรรม [สภาพแวดล้อม] ของคริสตจักรของเราหรือ? เรา [โง่เขลา] หากเราคิดว่าการเข้ากันได้กับวัฒนธรรมไม่เกี่ยวข้อง และเราก็จะไม่เลือกเพลงที่ไม่เกี่ยวข้องซึ่งไม่ตรงกับความจริงและไม่ชัดเจน
มูเรย์ แคมป์เบลล์ (Murray Campbell) ศิษยาภิบาลในเมลเบอร์น ออสเตรเลีย
ในการฝึกอบรมศิษยาภิบาลชาวแอฟริกัน เรากำชับให้พวกเขาหาเพลงที่มีพระคัมภีร์ครบถ้วน มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ขับเคลื่อนด้วยข่าวประเสริฐ เป็นคำสอนที่ดี และร้องเพลงได้ง่ายมากที่สุดเท่าที่พวกเขาสามารถหาได้ ทั้งเก่าและใหม่ และปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ! ในทุกวัฒนธรรม คนของพระเจ้าต้องการเพลงที่จะสอนพวกเขาให้มีชีวิตอยู่และตายเพื่อพระคริสต์
ทิม แคนเทรลล์ (Tim Cantrell) ครูในโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้
บทเพลงที่เกี่ยวข้องกับบริบททางศาสนศาสตร์ในภาษาฮินดูมีน้อย เพลงส่วนใหญ่ที่มีศาสนศาสตร์ที่ดีได้รับการแปลจากบทเพลงสรรเสริญทางตะวันตกหรือเพลงร่วมสมัยที่เก่ากว่า ถึงแม้ว่าถ้อยคำสัตย์ซื่อ แต่ดนตรีไม่ใช่พื้นเมือง และคนในท้องถิ่นพบว่ายากที่จะร้องได้ เพลงแบบนั้นเป็นเพียงการยืนยันต่อความสงสัยของผู้คนว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาตะวันตก
ในทางกลับกัน เพลงฮินดูที่มีบริบทางดนตรีมักจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับศาสนศาสตร์ ซ้ำซาก และไร้ซึ่งพระคัมภีร์ บางครั้งเพลงจะเอาทำนองมาจากเพลงที่ใช้ในวิหารต่าง ๆ เราหลีกเลี่ยงเพลงแบบนี้ทั้งสองแบบ
สิ่งแรกที่ผมพิจารณาเมื่อเลือกเพลงคือความถูกต้องตามหลักคำสอน ถ้าเพลงใดที่ไม่ถูกต้องตามศาสนศาสตร์ เราก็จะไม่ร้องเพลงนั้น ไม่ว่าจะเข้ากับสภาพแวดล้อมเพียงใดก็ตาม ถ้าหากถ้อยคำดีแต่ทำนองไม่ใช่แบบอินเดีย เราจะไม่ร้อง เราเลือกเพลงที่ใช้ทำนองของอินเดียและมีถ้อยคำที่สัตย์ซื่อ จริงอยู่ที่มีเพลงไม่มากในหมวดหมู่นี้ แต่เราก็ค่อย ๆ แต่งเพลงของเราขึ้นมา .
ฮาร์ชิท ซิงห์ (Harshit Singh) ศิษยาภิบาลในคเนา ประเทศอินเดีย
เช่นเดียวกับที่มีภาษาใจทางวาจาซึ่งคน ๆ หนึ่งพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุดและรู้สึกได้ลึกซึ้งที่สุด ก็มีภาษาใจทางดนตรีซึ่งพูดกับคนได้ลึกซึ้งที่สุด
จินตนาการถึงมิชชันนารีที่ล้มเหลวที่จะเรียนรู้ภาษาของผู้คนที่เขารับใช้ เขาอาจพูด (ด้วยภาษาของตัวเอง) ว่า “ฉันอยู่ที่นี่เพื่อนำข่าวประเสริฐมาให้คุณ คุณไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังพูด แต่ขอให้ฟังฉันไปเรื่อย ๆ ในที่สุดคุณจะเข้าใจว่าฉันกำลังพูดอะไร แล้วคุณก็จะรู้ข่าวดี” ไม่ใช่แน่นอน! ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราไม่ได้ใช้ภาษาดนตรีของวัฒนธรรม เราก็กำลังทำให้ข่าวดีเข้าใจได้ยากขึ้น[7]
น่าเศร้า อย่างที่ศิษยาภิบาลซิงห์เขียนไว้ว่าในบางวัฒนธรรม มีเพลงที่ตรงกับพระคัมภีร์น้อยที่ใช้ภาษาดนตรีที่ไม่ใช่ภาษาของตะวันตก สิ่งนี้มักจะให้ความคิดเห็นสองประการแก่คริสตจักรคือ เพลงที่ตรงตามหลักการพระคัมภีร์ที่มีโทนเสียงซึ่งฟังดูแล้วเป็นแบบต่างประเทศ กับเพลงที่อ่อนแอเรื่องหลักการพระคัมภีร์แต่ดนตรีเป็นไปตามบริบท ถ้าหากเราต้องการใช้ดนตรีเพื่อสร้างคริสตจักรทั่วโลก เราควรหาดนตรีที่ตรงตามพระคัมภีร์และสื่อสารด้วยภาษาใจทางดนตรีต่อผู้คน ผมเชื่อว่าพระเจ้าต้องการเรียกนักแต่งเพลงของพระเจ้าในทุกวัฒนธรรม
ถ้าคุณรับใช้ในวัฒนธรรมที่มีเพลงนมัสการแบบคุณภาพเพียงเล็กน้อย คุณสามารถส่งเสริมเพลงใหม่ให้เกิดขึ้น สิ่งนี้อาจจำเป็นต้องมีการร่วมมือกันระหว่างสองบุคคลคือ คนที่เขียนหรือแปลเนื้อเพลงกับคนที่แต่งทำนองดนตรี มีน้อยคนที่แต่งเพลงสรรเสริญที่ยิ่งใหญ่ซึ่งแต่งทำนองเพลงด้วยตัวเอง หานักดนตรีที่เป็นคริสเตียนอุทิศตัวและให้พวกเขาแต่งทำนองเพลงที่พูดถึงความจริงจากพระคัมภีร์ การทำแบบนี้จะทำให้คุณร้องเพลงที่มีเนื้อหาตรงกับพระคัมภีร์ด้วยภาษาดนตรีที่สื่อสารกับโลกรอบตัวคุณ
เราต้องพิจารณาสองคำถามข้างต้นเสมอ “วัฒนธรรมของเราขัดแย้งกับพระคัมภีร์ไหม?” ถ้าหากวัฒนธรรมทางดนตรีขัดแย้งกับพระคัมภีร์ เราต้องไม่ใช้ดนตรีนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่ได้มีประเด็นเกี่ยวกับหลักการของพระคัมภีร์แล้ว เราก็ควรพยายามนำนมัสการด้วยภาษาดนตรีของผู้นมัสการ
ในขณะที่กำลังนมัสการในคริสตจักรของพ่อของเขา ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับพันธกิจก็ตระหนักว่ามีน้อยคนที่จะเข้าใจเพลงที่พวกเขากำลังร้องกัน แทนที่จะนมัสการ พวกเขาแสดงให้เข้าใจเกี่ยวกับความจริงน้อยมาก เมื่อชายหนุ่มคนนั้นบ่นเรื่องนี้ พ่อของเขาตอบว่า “ลองดูว่าเธอจะทำให้ดีกว่านี้ได้ไหม” ชายหนุ่มชื่อ ไอแซค วัทส์ (Isaac Watts) จึงยอมรับคำท้าทายของพ่อของเขา
ในทุกวันนี้คนที่ใช้ภาษาอังกฤษร้องบทเพลงสรรเสริญของ ไอแซค วัทส์ เพราะศิษยาภิบาลหนุ่มตั้งใจเขียนเพลงสรรเสริญที่สื่อสารถ้อยคำจากพระคัมภีร์ด้วยภาษาที่ผู้คนเข้าใจ[8] ในยุคของเรา เราจำเป็นต้องมีนักแต่งเพลงสรรเสริญที่พูดความจริงจากพระคัมภีร์ด้วยภาษาที่แตะใจคนซึ่งไม่ได้อยู่ในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ
[1] Paul Bradshaw, “The Search for the Origins of Christian Worship” in Robert Webber,
Twenty Centuries of Christian Worship (Nashville: Star Song Publishing, 1994), 4
[2] E. H. Peterson,
The Message (Colorado Springs: NavPress, 2002)
[3] สิ่งนี้ชี้ไปถึงคำถามที่ 2 – “วัฒนธรรมของเราขัดแย้งกับพระคัมภีร์หรือไม่?”
[4] Michael Cosper,
Rhythms of Grace: How the Church’s Worship Tells the Story of the Gospel (Wheaton: Crossway Books, 2013), 176-179
[5] John Wesley เผชิญกับปัญหานี้ สมาชิกในแองกลิกันตระหนักว่าการประชุมนมัสการที่มีผู้ร่วมประชุมคือพวกคนงานเหมืองแร่ โสเภณีกลับใจมาเชื่อ และพวกเจ้าของร้านค้าที่ไม่รู้หนังสือย่อมจะแตกต่างจากการนมัสการอย่างเป็นทางการของแองกลิกันชั้นสูง ปุโรหิตจำนวนมากตัดสินใจว่าพวกเขาจะไม่ยอมให้การนมัสการของพวกเขาถูกก่อกวนโดยพวกชนชั้นต่ำ สิ่งนี้นำไปสู่การก่อตั้งสังคมของเมธอดิสท์
[6] คำศัพท์ที่ Mark Dever ใช้สำหรับคนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนแต่ไม่มีรากฐานด้านพระคัมภีร์
[7] ตัวอย่างนี้ดัดแปลงจาก Ronald Allen and Gordon Borror,
Worship: Rediscovering the Missing Jewel (Colorado Springs: Multnomah Publishers, 1982), 168
[8] “พระทรงบังเกิด” “เมื่อข้าเพ่งดูกางเขนประหลาด” และ “พระเจ้า ผู้ช่วยเราในกาลเก่า” คือสามใน 750 เพลงสรรเสริญของ Isaac Watts
Previous
Next