แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 9: คำถามอื่น ๆ

2 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์ของบทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) ยอมรับความสำคัญในการสัตย์ซื่อต่อพระคัมภีร์ ขณะเดียวกันให้ความเคารพต่อความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการนมัสการ

(2) ประเมินการนมัสการโดยเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์และวัฒนธรรม

(3) เข้าใจถึงความท้าทายที่มีในการประเมินแนวดนตรี

(4) ประยุกต์ใช้หลักการจากโรม 14 กับการนมัสการ

(5) เห็นคุณค่าความสำคัญของการให้เด็กและวัยรุ่นมีส่วนร่วมในการนมัสการ

(6) ระมัดระวังในการเน้นอารมณ์มากเกินไปหรือละเลยอารมณ์ในการนมัสการ

การเตรียมตัวสำหรับบทเรียนนี้

ท่องจำ 1 โครินธ์ 14:15-17

บทนำ

วาร์เรน วายส์บี (Warren Wiersbe) เขียนถึงประสบการณ์ของเขาในคริสตจักรที่ขาดความเข้าใจเรื่องการนมัสการว่า...

“ขอให้กลับมาร่วมการประชุมนมัสการรอบเย็นนะครับ” ผู้นำนมัสการกล่าวด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มแบบพิธีกรรายการโทรทัศน์ “เราจะมีเวลาสนุกด้วยกัน”

ช่วงวันอาทิตย์ตอนบ่าย ผมสงสัยว่าประโยคนั้นหมายถึงอะไร “เราจะมีเวลาสนุกด้วยกัน” ถ้าเป็นงานเลี้ยงวันเกิดก็พอจะเข้าใจได้ แต่กับการมารวมตัวกันของผู้เชื่อที่เป็นคริสเตียนเพื่อนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ มันจะเกี่ยวข้องกันอย่างไร? โมเสสและชนอิสราเอลไม่ได้มีเวลาสนุกด้วยกันเมื่อพวกเขาชุมนุมกันที่ภูเขาซีนาย...

ยอห์นมีประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นบนเกาะปัทมอส แต่น่าสงสัยว่าเขากำลังมีช่วงเวลาที่สนุกสนานกันไหม[1]

ในบทเรียนเหล่านี้ เราได้เห็นว่าการนมัสการไม่ใช่แค่มีเวลาสนุกสนาน ไม่ใช่แค่พิธีกรรมใด ๆ และไม่ใช่แค่กิจกรรมเช้าวันอาทิตย์ การนมัสการคือการถวายเกียรติแด่พระเจ้า ในกระดาษมันดูง่าย แต่ในชีวิตจริงมันเป็นความท้าทาย ในบทเรียนนี้เราจะพิจารณาคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับการนมัสการ เมื่อคุณศึกษาคำถามเหล่านี้ ขอให้จดจำไว้ว่าคำถามสำคัญที่สุดไม่ใช่ “ฉันชอบอะไร?” คำถามสำคัญที่สุดสำหรับการนมัสการคือ “พระเจ้าชอบอะไร? อะไรที่เป็นการถวายเกียรติแด่พระองค์?”


[1]Warren Wiersbe, Real Worship (Grand Rapids: Baker Books, 2000), 169-170

การนมัสการและวัฒนธรรม

► อภิปรายร่วมกันถึงรูปแบบการนมัสการในคริสตจักรของคุณ ด้านใดของการนมัสการของคุณที่ตรงกับคำสั่งในพระคัมภีร์และด้านใดที่กำหนดโดยวัฒนธรรมของคุณ?

ปัญหาที่ยากที่สุดสำหรับการนมัสการในประเทศของฉันคือความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรม คริสตจักรส่วนใหญ่นำเข้ารูปแบบการนมัสการจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแบบร่วมสมัยหรือแบบดั้งเดิม คนของเราปรับรูปแบบจากตะวันตกเพียงเพราะพวกเขาต้องการตามทัน แต่การนมัสการแบบ 'ดั้งเดิม' หรือ 'ร่วมสมัย' ไม่เชื่อมโยงกับผู้คนเพราะทั้งสองอย่างต่างเป็นของต่างชาติ เราจะนมัสการในแบบที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าและสื่อถึงโลกที่เราทำพันธกิจได้อย่างไร”

วัฒนธรรมหรือพระคัมภีร์?

เจ้าสาวและเจ้าบ่าวมาจากสองวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ในงานเลี้ยงวันแต่งงาน อาหารจากวัฒนธรรมของเจ้าสาวก็ถูกเสิร์ฟ เมื่อจานที่หนึ่งผ่านไป เจ้าบ่าวถามว่า “นั่นอะไร?” เจ้าสาวบอกเขาว่า “ในประเทศของฉัน นี่เป็นอาหารอันโอชะ” เขาตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว “ในประเทศของผม มันน่าขยะแขยง!” ความแตกต่างทางวัฒนธรรมอาจเป็นเรื่องท้าทาย

พวกเราทุกคนต่างได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของตัวเอง เหตุผลที่คริสเตียนบางคนใช้ส้อมแทนตะเกียบในการกินอาหาร ไม่ใช่เพราะส้อมนั้นถูกต้องตามพระคัมภีร์หรือมีประสิทธิภาพมากกว่า พวกเขาใช้ส้อมเพราะเติบโตในวัฒนธรรมที่ใช้ส้อม เพื่อนคริสเตียนของพวกเขาในส่วนอื่นๆ ของโลกพบว่าใช้ตะเกียบมีประโยชน์มากกว่าส้อม

การนมัสการของเราได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของเราเอง มีหลายด้านในการนมัสการของเราที่เข้ากันกับวัฒนธรรม บางคนที่เติบโตมากับคริสตจักรประเพณีของชาวอเมริกันก็จะชอบเสียงออแกนของคริสตจักร ซึ่งการใช้ออแกนของคริสตจักรก็ไม่ได้ถูกต้องตามหลักการพระคัมภีร์มากกว่าการใช้กีตาร์ มันเป็นเพียงแง่หนึ่งของวัฒนธรรม

ในประเทศเลโซโท คริสตจักรแห่งหนึ่งร้องเพลงเพื่อเรียกและตอบรับระหว่างผู้นำกับคนในที่ประชุม ในรูปแบบนี้ ผู้นำจะร้องเพลงหนึ่งท่อน และจากนั้นที่ประชุมก็ร้องเพลงท่อนถัดไป รูปแบบการร้องเพลงอันไพเราะนี้ไม่ปรากฏให้เห็นในคริสตจักรอเมริกัน ถ้าหากผู้กำกับดนตรีของคริสตจักรอเมริกันลองเอารูปแบบนี้ไปใช้ ที่ประชุมจะต้องสับสนแน่นอน การร้องเพลงพร้อมกันกับการร้องเพลงเรียกและตอบรับเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ไม่ใช่หลักการพระคัมภีร์

มีคำถามสามข้อที่เราควรพิจารณารูปแบบการนมัสการ

1. เราสับสนระหว่างวัฒนธรรมกับพระคัมภีร์หรือไม่?

2. วัฒนธรรมของเราขัดแย้งกับพระคัมภีร์หรือไม่?

3. การนมัสการของเราสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดกับผู้คนในวัฒนธรรมที่พระเจ้าวางเราไว้ไหม?

เราสับสนระหว่างวัฒนธรรมกับพระคัมภีร์หรือไม่?

คำถามนี้มีความสำคัญเมื่อการประเมินแนวทางปฏิบัติในการนมัสการแตกต่างจากของเราเอง ในสถานการณ์นั้นเราต้องแน่ใจว่าเราไม่ได้สับสนระหว่างวัฒนธรรมกับพระคัมภีร์ เป็นเรื่องง่ายที่เราจะเอาวัฒนธรรมของเราใส่เข้าไปในพระคัมภีร์ แล้วยืนกรานว่าคนอื่นทุกคนก็อ่านพระคัมภีร์ด้วยวิธีการเดียวกับเรา เรามักจะคิดว่าวิธีของเราเป็นวิธีการตามพระคัมภีร์

บางคนอาจพูดว่า “ออแกนเป็นเครื่องดนตรีที่ถูกต้องสำหรับใช้ในคริสตจักร กีตาร์ไม่ควรนำมาใช้ในการนมัสการ” อย่างไรก็ตามหลายพื้นที่ในโลกนี้ ออแกนไม่ได้เป็นเครื่องดนตรีที่เหมาะสม ในขณะที่กีตาร์สามารถพกพาได้สะดวกและมีประโยชน์สำหรับการร้องเพลง ไม่มีใครโต้แย้งได้ว่าคริสตจักรตามบ้านในสมัยศตวรรษที่สองใช้ไปป์ออร์แกน! บางคนชอบไปป์ออร์แกน แต่พวกเขาต้องไม่สับสนระหว่างความชอบทางวัฒนธรรมกับหลักการพระคัมภีร์

พอล แบรดชอว์ (Paul Bradshaw) นักประวัติศาสตร์การนมัสการได้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในสมัยสองศตวรรษแรกของคริสตจักร มีรูปแบบการนมัสการที่หลากหลาย เมื่อคริสตจักรขยายออกไป ไม่น่าเป็นไปได้ที่การนมัสการจะยังคงเหมือนเดิมในทุกสถานที่[1]

อะไรคือผลกระทบในทางปฏิบัติของคำถามนี้? เมื่อมีการประเมินรูปแบบการนมัสการจากคนอื่นหรือการตอบสนองต่อแนวคิดใหม่จากคนภายในคริสตจักรของเราเอง เราต้องไม่สับสนระหว่างวัฒนธรรมกับพระคัมภีร์ เราต้องไม่ปฏิเสธแนวคิดใดเพียงเพราะไม่ตรงกับความชอบตามวัฒนธรรมของเรา ถ้าหากแนวทางปฏิบัติในการนมัสการใดที่ไม่ขัดแย้งกับหลักการพระคัมภีร์ เราก็ควรอนุญาตให้คนอื่นนมัสการด้วยวิธีการที่พวกเขาชอบ

นี่ไม่ได้เป็นการบอกว่าการนมัสการทุกรูปแบบจะเหมาะสมกับทุกคริสตจักร ผู้นำนมัสการที่ฉลาดจะนำด้วยรูปแบบที่เหมาะสมกับผู้คนที่เขากำลังรับใช้

ตรวจสอบ

มีแนวทางปฏิบัติในการนมัสการอะไรที่คุณปฏิเสธเพราะไม่ตรงกับความชอบทางวัฒนธรรมของคุณ ไม่ใช่เพราะไม่ตรงกับหลักการพระคัมภีร์? ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณเต็มใจยอมให้ผู้เชื่อคนอื่นมีอิสระที่จะนมัสการด้วยวิธีของพวกเขาเอง ตราบใดที่วิธีการนั้นไม่ฝ่าฝืนพระคัมภีร์หรือไม่?

วัฒนธรรมของเราขัดแย้งกับพระคัมภีร์หรือไม่?

คำถามนี้สำคัญเมื่อเราถูกล่อใจให้ปกป้องแนวทางปฏิบัติในการนมัสการเพียงเพราะมันเป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมของเรา ถ้าหากเราพบว่าสิ่งที่เป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมของเราขัดแย้งกับพระคัมภีร์ เราต้องเชื่อฟังพระคัมภีร์มากกว่าความคาดหวังต่าง ๆ ในวัฒนธรรมของเรา

กลุ่มปฏิรูปเผชิญกับปัญหานี้เมื่อพวกเขาสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่งให้กับการนมัสการ วัฒนธรรมยุคกลางกล่าวว่า “ฆราวาสทั่วไปไม่ควรอ่านพระคัมภีร์ พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้” วิคลิฟ ฮุส ลูเธอร์ และนักปฏิรูปคนอื่นๆ ตระหนักว่าพระคัมภีร์มีไว้สำหรับทุกคน วัฒนธรรมยุคกลางของพวกเขาขัดแย้งกับคำสอนของพระคัมภีร์ นักปฏิรูปเสี่ยงชีวิตเพื่อเผชิญหน้ากับวัฒนธรรมของตนด้วยความจริงในพระคัมภีร์

ถ้าวัฒนธรรมขัดแย้งกับพระคัมภีร์ เราต้องปฏิเสธวัฒนธรรมของเรา! พระวจนะของพระเจ้าเป็นสิทธิอำนาจสุดท้ายของเรา เราไม่สามารถประนีประนอมความสัตย์ซื่อต่อพระคัมภีร์เพื่อให้เข้ากับโลกรอบตัวเราได้ การแปลความจากพระธรรมโรม 12:2 คือ “อย่าปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมได้ดีจนคุณเข้ากับมันได้โดยไม่ต้องคิด”[2] เรายอมให้โลกกดอัดเราให้เข้าไปในแม่พิมพ์ของมันไม่ได้

ตรวจสอบ

มีด้านใดในการนมัสการของคุณที่ขัดแย้งกับหลักการพระคัมภีร์บ้างไหม?

การนมัสการของเราสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อคนในวัฒนธรรมที่พระเจ้าวางเราไว้ไหม?

คำถามนี้สำคัญสำหรับการเข้าถึงคนในโลกของเราด้วยข่าวประเสริฐ ถ้าหากเราต้องการแตะโลกรอบตัวเราด้วยข่าวประเสริฐ การนมัสการของเราต้องสื่อสารด้วยภาษาที่พวกเขาเข้าใจ

จอห์น เวสเลย์ เผชิญกับคำถามนี้เมื่อเขาเริ่มเทศนาในทุ่งนา เช่นเดียวกับเพื่อนชาวแองกลิกันของเขา เวสเลย์เริ่มเชื่อว่าคริสตจักรเป็นที่เดียวที่เหมาะสมสำหรับการเทศนา ภายใต้อิทธิพลของ จอร์จ ไวท์ฟิลด์ เวสเลย์เริ่มต้นเข้าใจว่าพระมหาบัญชาเรียกร้องให้เขาเทศนานอกคริสตจักร[3] เวสเลย์ถูกผลักดันให้คิดว่า “ผมจะประกาศข่าวประเสริฐให้แก่คนงานเหมืองถ่านหินที่จะไม่เข้าคริสตจักรเลยนอกจากมางานแต่งงานกับงานศพได้อย่างไร” คำตอบคือประกาศในทุ่งนา

วันที่ 2 เมษายน 1739 เวสเลย์ออกไปนอกเมืองและเทศนาให้กับคนประมาณ 3,000 คนที่มารวมตัวกันที่ทุ่งนา สิ่งนี้เริ่มต้นพันธกิจที่เปลี่ยนโลกของคนใช้ภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 18

เวสเลย์เคยต่อต้านการประกาศในทุ่งนาจนครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่า “ผม [จะ] คิดว่าการช่วยจิตวิญญาณเกือบจะเป็นความบาปหากไม่ได้ประกาศในคริสตจักร” เมื่อเขาตระหนักว่าอคติทางวัฒนธรรมของเขาเป็นอุปสรรคต่อข่าวประเสริฐ เวสเลย์เต็มใจเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติของเขา เพื่อนชาวแองกลิกันของเขาหลายคนก็ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงนี้ ภายในหนึ่งเดือนหลังจากเริ่มเทศนากลางแจ้ง บิชอพคนหนึ่งบอกกับเวสลีย์ว่าเขาไม่ได้รับการต้อนรับให้เทศน์ในคริสตจักรนิกายแองกลิคันอีกต่อไป การเต็มใจที่จะสื่อสารกับวัฒนธรรมของคุณอาจมีราคาแพง สิ่งนี้ทำให้เวสลีย์ต้องสูญเสียความเคารพนับถือจากเพื่อนในแองกลิกันหลายคน การทรงเรียกของพระเยซูเพื่อให้เป็นแสงสว่างและเกลือมีความสำคัญสูงกว่าความสะดวกสบายส่วนตัว

มิคาเอล คอสเปอร์ (Michael Cosper) แนะนำคำถามสามข้อเพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการนมัสการของเรากับวัฒนธรรมโดยรอบ[4]

(1) ใครอยู่ที่นี่?

คำถามนี้นำให้พิจารณาเกี่ยวกับคนในที่ประชุมของเรา “ใครที่เข้าร่วมการประชุมนมัสการ?” บางครั้งเราเป็นห่วงเกี่ยวกับการเข้าถึงคนในโลกจนเราล้มเหลวในการรับใช้คริสตจักร การนมัสการของเรากลับไม่น่าเชื่อถือเมื่อเราพยายามเป็นใครบางคนที่ไม่ใช่ตัวเรา เนื่องจากการนมัสการควรสื่อสารกับคนในที่ประชุม เราจึงต้องถามว่า “ใครอยู่ที่นี่ตอนนี้? ใครที่พระเจ้าวางไว้ในที่ประชุมของเรา?”

(2) ใครเคยอยู่ที่นี่?

คำถามนี้นำให้พิจารณาถึงมรดกของเรา ในฐานะผู้เชื่อเรามีมรดกสืบย้อนกลับไปถึงคริสตจักรยุคแรกและขยายออกไปทั่วโลก

สิ่งนี้หมายความว่าเราจะพยายามแนะนำบทเพลงสรรเสริญอันยิ่งใหญ่ในอดีตให้กับชนในรุ่นของเรา มันหมายความว่าเราจะเชื่อมต่อคนในปัจจุบันเข้ากับประวัติศาสตร์ของคริสตจักร คริสเตียนหนุ่มสาวจำเป็นต้องรู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของมรดกที่เริ่มต้นมาอย่างยาวนานก่อนพวกเราเกิดและจะยังคงต่อเนื่องไปนานจนหลังจากเราจากไปแล้ว เราเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรสากลที่สร้างผู้เชื่อจากชนทุกรุ่น

การนมัสการของเราเป็นมรดกย้อนกลับไปยังเพ็นเทคอส ย้อนไปยังการสำแดงของพระเจ้าแก่โมเสสที่ภูเขาซีนาย และย้อนกลับไปไกลสุดที่การสำแดงของพระเจ้าแก่อาดัมและเอวาในสวนเอเดน การนมัสการของเราควรเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ เมื่อเราร้องเพลง “พระเจ้าผู้ทรงเป็นป้อมปราการ” เรากำลังร่วมนมัสการกับคนในยุคปฏิรูป เมื่อเราอ่านหลักธรรมของอัครทูต เรากำลังเข้าร่วมการนมัสการในยุคศตวรรษที่สอง ในการนมัสการเราถามว่า “ใครเคยอยู่ที่นี่ก่อนเรา?”

(3) ใครควรอยู่ที่นี่?

คำถามนี้นำให้เราพิจารณาถึงชุมชนของเรา เมื่อเราถามว่า “ใครคือคนที่ควรมาเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร?” เราก็ถามคำถามต่อไปนี้ว่า...

  • ใครคือคนที่เราพยายามเข้าถึงด้วยข่าวประเสริฐ?

  • ถ้าหากชุมชนของเรามาที่คริสตจักร การประชุมนมัสการจะเป็นแบบใด?[5]

  • เราจะสัตย์ซื่อต่อข่าวประเสริฐในขณะที่กำลังนมัสการด้วยวิธีที่สื่อสารกับผู้คนที่เราพยายามเข้าถึงได้อย่างไร?

คำถามเหล่านี้ตอบในกระดาษง่าย แต่ยากที่จะตอบได้ในชีวิตจริง! ให้เราดูฉากสี่ตอนที่แต่ละคริสตจักรได้เผชิญกับความท้าทายในการสื่อสารกับชุมชน

คริสตจักร A: คริสตจักรแห่งหนึ่งที่ล้มเหลวในการถามว่า “ใครอยู่ที่นี่?”

คริสตจักร A ตั้งอยู่ในชุมชนของคนเกษียณอายุ อายุโดยเฉลี่ยของคนในชุมชนนี้คือ 70 ปี และอายุเฉลี่ยในคริสตจักรคือ 70 ปี สองปีที่แล้ว ศิษยาภิบาลของพวกเขาตั้งใจจะเข้าถึงครอบครัวของคนหนุ่มสาว ในช่วงเวลาสองเดือนนั้น เขาแทนที่ออร์แกน คณะนักร้อง และบทเพลงสรรเสริญด้วยกีตาร์ ทีมสรรเสริญ และเครื่องฉายข้ามศีรษะ

น่าเสียดายที่ศิษยาภิบาลลืมถามคำถามว่า “ใครอยู่ที่นี่?” ผลที่ได้คือ คริสตจักรที่มีประชากรสูงวัย 100 คนกลับลดเหลือ 35 คนเพราะต้องร้องเพลงที่พวกเขาไม่ชอบ ต้องดูหน้าจอที่ไม่ชอบ และบ่นเกี่ยวกับเสียงกีตาร์ที่ดัง

คริสตจักร A ควรออกไปเข้าถึงชุมชนไหม? ควรแน่นอน! แต่กลุ่มคนที่จะเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือผู้สูงวัยในชุมชนที่เกษียณอายุที่ยังไม่ได้เข้าคริสตจักร โดยการละเลยผู้คนที่อยู่ในคริสตจักรอยู่แล้ว พวกเขาล้มเหลวที่จะนมัสการด้วยวิธีการที่พูดกับทั้งคนในคริสตจักรของตัวเองและกับชุมชนรอบข้างด้วย คริสตจักรล้มเหลวที่จะถามคำถามว่า “ใครอยู่ที่นี่?”

คริสตจักร B: คริสตจักรแห่งหนึ่งที่ล้มเหลวในการถามว่า “ใครเคยอยู่ที่นี่?”

คริสตจักร B ตั้งอยู่ในเมืองที่โตเร็วซึ่งมีครอบครัวของคนหนุ่มคนสาวอาศัยที่นั่น คริสตจักรสื่อสารภาษาที่มีในชุมชนของพวกเขา การนมัสการของพวกเขาน่าตื่นเต้นและเร้าใจ

คริสตจักร B มีภาระใจเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ แต่น่าเสียดายที่คริสตจักรไม่ถามว่า “ใครเคยอยู่ที่นี่?” คริสตจักร B หลงลืมมรดกที่ได้รับมาในฐานะคริสตจักรหนึ่งที่เทศนาเกี่ยวกับใจที่บริสุทธิ์และชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะ ศิษยาภิบาลหลีกเลี่ยงที่จะเทศนาหลักคำสอนเพราะเขาคิดว่า “ผู้คนไม่อยากได้ยินหลักคำสอน พวกเขาอยากฟังคำเทศนาในเชิงปฏิบัติมากกว่า” ผู้กำกับดนตรีหลีกเลี่ยงใช้เพลงที่ลงลึกในพระคัมภีร์เพราะพวกเขาคิดว่า “ผู้คนไม่ชอบเพลงที่มีคำยาก ๆ พวกเขาชอบเพลงที่ร้องง่าย ๆ” ผลที่ได้คือ คริสตจักรสร้างชนรุ่นที่เป็น “ผู้ไม่เชื่อที่ได้รับบัพติศมา”[6]

คริสตจักร B มีจำนวนสมาชิกเพิ่มมากขึ้น แต่มีจำนวนน้อยที่เติบโตในทางของพระเจ้า คนมากมายมาเข้าคริสตจักรเพราะความบันเทิงซึ่งเรียกร้องให้อุทิศตัวเพียงเล็กน้อย เนื่องคริสตจักร B ไม่ตระหนักถึงมรดกที่ได้รับมา ไม่ช้านานคนที่กลับใจมาเชื่อก็ย้ายไปคริสตจักรอื่นที่หยิบยื่นความบันเทิงที่สนุกกว่า คริสตจักร B ล้มเหลวที่จะถามว่า “ใครเคยอยู่ที่นี่?”

คริสตจักร C: คริสตจักรแห่งหนึ่งที่ล้มเหลวในการถามว่า “ใครควรอยู่ที่นี่?”

คริสตจักร C เริ่มต้นเกือบ 100 ปีที่แล้วในชุมชนเล็ก ๆ ในชนบท การนมัสการ การเทศนา และดนตรีมีไว้เพื่อสื่อสารกับคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชุมชนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง เวลานี้คริสตจักร C แวดล้อมไปด้วยชุมชนแออัด แต่การนมัสการของคริสตจักรก็ยังคงออกแบบเพื่อดึงดูดคนชั้นกลางในชนบท

น่าเศร้า คนมากมายที่อาศัยอยู่ใกล้คริสตจักร C ผ่านคริสตจักรไปแต่ละสัปดาห์โดยไม่รู้เลยว่าคริสตจักรมีคำตอบสำหรับความหิวกระหายลึก ๆ ในใจของพวกเขา คริสตจักร C มีข่าวประเสริฐที่ชุมชนที่นั่นต้องการ แต่คริสตจักรไม่สื่อสารอย่างชัดเจนต่อชุมชน ถ้าหากคริสตจักร C สามารถนมัสการด้วยวิธีการที่สื่อสารได้ทั้งกับพระเจ้าและกับโลกที่ขัดสน คริสตจักรก็จะสามารถพลิกฟื้นชุมชนของตนได้ แทนที่จะเป็นแบบนั้น คริสตจักร C กลับกำลังตายลงไปเพราะล้มเหลวที่จะถามว่า “ใครควรอยู่ที่นี่?”

คริสตจักร D: คริสตจักรที่สื่อสารกับชุมชน

คริสตจักร D ร่วมในหลายด้านของคริสตจักรสามแห่งที่อยู่ก่อนหน้านี้ ชุมชนได้รับการเปลี่ยนแปลงไปมากนับจากมีการก่อตั้งคริสตจักรนี้เมื่อ 40 ปีที่แล้ว คริสตจักร D ไม่เหมือนกับคริสตจักรอื่น ๆ ในการสำรวจนี้ คริสตจักร D ได้เรียนรู้ที่จะสื่อสารอย่างดีกับชุมชนของตน

เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายอภิบาลตระหนักว่าคนหนุ่มสาวที่กลับใจมาเชื่อจำนวนมากไม่เข้าใจหลักคำสอนที่เทศนาในวันอาทิตย์ พวกเขาสร้างกลุ่มสร้างสาวกขึ้นเพื่อนำให้ผู้เชื่อใหม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เมื่อผู้นำดนตรีตระหนักว่าดนตรีไม่ได้สื่อสารกับชุมชนของพวกเขา เขาเริ่มใช้เพลงที่ตรงตามหลักคำสอนและเป็นดนตรีที่ดึงดูดใจ

เมื่อคริสตจักรเติบโตขึ้น พวกเขาก่อตั้งคริสตจักรลูกตามเมืองรอบ ๆ และอนุญาตให้คริสตจักรเหล่านี้ปรับตามความจำเป็นของชุมชนของพวกเขา คริสตจักรเหล่านี้ได้รับการอภิบาลโดยคนหนุ่มที่เป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร D คริสตจักรลูกแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน แต่ทุกแห่งสัตย์ซื่อต่อข่าวประเสริฐ คริสตจักรเจริญก้าวหน้าเพราะเรียนรู้ที่จะถามว่า “ใครอยู่ที่นี่ ใครเคยอยู่ที่นี่ และใครควรอยู่ที่นี่?” คริสตจักรได้เรียนรู้ที่จะสื่อสารความจริงจากพระคัมภีร์ต่อชุมชนที่พระเจ้าให้คริสตจักรอยู่ที่นั่น

ตรวจสอบ

การนมัสการของคุณสื่อสารกับคนที่เข้าร่วมคริสตจักรไหม? การนมัสการของคุณสะท้อนถึงมรดกของคริสตจักรของคริสเตียนไหม? การนมัสการของคุณพูดกับคนที่พระเจ้าต้องการเข้าถึงผ่านทางคริสตจักรของคุณไหม?

ทำอย่างไรเกี่ยวกับดนตรี?

นักดนตรีของคริสตจักรในหลายพื้นที่ของโลกต้องเผชิญกับความท้าทายในการหาเพลงที่ตรงตามหลักการพระคัมภีร์และเข้ากันได้กับวัฒนธรรม เราหาดนตรีที่สื่อสารตรงใจของชุมชนที่เรากำลังจะเข้าถึง ดนตรีต่างชาติอาจไม่เข้ากับวัฒนธรรม และเพลงท้องถิ่นในบางวัฒนธรรมก็ไม่ตรงกับพระคัมภีร์ เราจะเลือกดนตรีที่มีทั้งความสัตย์ซื่อต่อพระคัมภีร์และเข้ากันได้กับวัฒนธรรมที่เราอภิบาลอยู่ด้วยได้อย่างไร? มีคำตอบจากศิษยาภิบาลที่เผชิญกับปัญหานี้

เมื่อต้องเลือกเพลงสำหรับคริสตจักรที่ไม่ต้องเลือกระหว่างสัตย์ซื่อกับพระคัมภีร์และเข้ากันได้กับวัฒนธรรม สำหรับเพลงที่ “ตรงตามพระคัมภีร์” ผมหาเพลงที่เป็นความจริงและชัดเจน สำหรับเพลงที่ “เข้ากันได้กับวัฒนธรรม” ผมหาเพลงที่ร้องได้และเกี่ยวข้องกับคนในที่ประชุม

วามสัตยซื่อต่อพระคัมภีร์เป็นความสำคัญอย่างแรก แต่เราไม่ต้องเลือกระหว่างสองอย่างนั้น ถ้าหากส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการร้องเพลงคือการสื่อสารกับชุมชน เราไม่ควรตั้งเป้าเพื่อเลือกภาษาดนตรีที่เข้ากับวัฒนธรรม [สภาพแวดล้อม] ของคริสตจักรของเราหรือ? เรา [โง่เขลา] หากเราคิดว่าการเข้ากันได้กับวัฒนธรรมไม่เกี่ยวข้อง และเราก็จะไม่เลือกเพลงที่ไม่เกี่ยวข้องซึ่งไม่ตรงกับความจริงและไม่ชัดเจน

มูเรย์ แคมป์เบลล์ (Murray Campbell) ศิษยาภิบาลในเมลเบอร์น ออสเตรเลีย

ในการฝึกอบรมศิษยาภิบาลชาวแอฟริกัน เรากำชับให้พวกเขาหาเพลงที่มีพระคัมภีร์ครบถ้วน มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ขับเคลื่อนด้วยข่าวประเสริฐ เป็นคำสอนที่ดี และร้องเพลงได้ง่ายมากที่สุดเท่าที่พวกเขาสามารถหาได้ ทั้งเก่าและใหม่ และปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ! ในทุกวัฒนธรรม คนของพระเจ้าต้องการเพลงที่จะสอนพวกเขาให้มีชีวิตอยู่และตายเพื่อพระคริสต์

ทิม แคนเทรลล์ (Tim Cantrell) ครูในโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้

บทเพลงที่เกี่ยวข้องกับบริบททางศาสนศาสตร์ในภาษาฮินดูมีน้อย เพลงส่วนใหญ่ที่มีศาสนศาสตร์ที่ดีได้รับการแปลจากบทเพลงสรรเสริญทางตะวันตกหรือเพลงร่วมสมัยที่เก่ากว่า ถึงแม้ว่าถ้อยคำสัตย์ซื่อ แต่ดนตรีไม่ใช่พื้นเมือง และคนในท้องถิ่นพบว่ายากที่จะร้องได้ เพลงแบบนั้นเป็นเพียงการยืนยันต่อความสงสัยของผู้คนว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาตะวันตก

นทางกลับกัน เพลงฮินดูที่มีบริบทางดนตรีมักจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับศาสนศาสตร์ ซ้ำซาก และไร้ซึ่งพระคัมภีร์ บางครั้งเพลงจะเอาทำนองมาจากเพลงที่ใช้ในวิหารต่าง ๆ เราหลีกเลี่ยงเพลงแบบนี้ทั้งสองแบบ

สิ่งแรกที่ผมพิจารณาเมื่อเลือกเพลงคือความถูกต้องตามหลักคำสอน ถ้าเพลงใดที่ไม่ถูกต้องตามศาสนศาสตร์ เราก็จะไม่ร้องเพลงนั้น ไม่ว่าจะเข้ากับสภาพแวดล้อมเพียงใดก็ตาม ถ้าหากถ้อยคำดีแต่ทำนองไม่ใช่แบบอินเดีย เราจะไม่ร้อง เราเลือกเพลงที่ใช้ทำนองของอินเดียและมีถ้อยคำที่สัตย์ซื่อ จริงอยู่ที่มีเพลงไม่มากในหมวดหมู่นี้ แต่เราก็ค่อย ๆ แต่งเพลงของเราขึ้นมา.

ฮาร์ชิท ซิงห์ (Harshit Singh) ศิษยาภิบาลในคเนา ประเทศอินเดีย

เช่นเดียวกับที่มีภาษาใจทางวาจาซึ่งคน ๆ หนึ่งพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุดและรู้สึกได้ลึกซึ้งที่สุด ก็มีภาษาใจทางดนตรีซึ่งพูดกับคนได้ลึกซึ้งที่สุด

จินตนาการถึงมิชชันนารีที่ล้มเหลวที่จะเรียนรู้ภาษาของผู้คนที่เขารับใช้ เขาอาจพูด (ด้วยภาษาของตัวเอง) ว่า “ฉันอยู่ที่นี่เพื่อนำข่าวประเสริฐมาให้คุณ คุณไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังพูด แต่ขอให้ฟังฉันไปเรื่อย ๆ ในที่สุดคุณจะเข้าใจว่าฉันกำลังพูดอะไร แล้วคุณก็จะรู้ข่าวดี” ไม่ใช่แน่นอน! ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราไม่ได้ใช้ภาษาดนตรีของวัฒนธรรม เราก็กำลังทำให้ข่าวดีเข้าใจได้ยากขึ้น[7]

น่าเศร้า อย่างที่ศิษยาภิบาลซิงห์เขียนไว้ว่าในบางวัฒนธรรม มีเพลงที่ตรงกับพระคัมภีร์น้อยที่ใช้ภาษาดนตรีที่ไม่ใช่ภาษาของตะวันตก สิ่งนี้มักจะให้ความคิดเห็นสองประการแก่คริสตจักรคือ เพลงที่ตรงตามหลักการพระคัมภีร์ที่มีโทนเสียงซึ่งฟังดูแล้วเป็นแบบต่างประเทศ กับเพลงที่อ่อนแอเรื่องหลักการพระคัมภีร์แต่ดนตรีเป็นไปตามบริบท ถ้าหากเราต้องการใช้ดนตรีเพื่อสร้างคริสตจักรทั่วโลก เราควรหาดนตรีที่ตรงตามพระคัมภีร์และสื่อสารด้วยภาษาใจทางดนตรีต่อผู้คน ผมเชื่อว่าพระเจ้าต้องการเรียกนักแต่งเพลงของพระเจ้าในทุกวัฒนธรรม

ถ้าคุณรับใช้ในวัฒนธรรมที่มีเพลงนมัสการแบบคุณภาพเพียงเล็กน้อย คุณสามารถส่งเสริมเพลงใหม่ให้เกิดขึ้น สิ่งนี้อาจจำเป็นต้องมีการร่วมมือกันระหว่างสองบุคคลคือ คนที่เขียนหรือแปลเนื้อเพลงกับคนที่แต่งทำนองดนตรี มีน้อยคนที่แต่งเพลงสรรเสริญที่ยิ่งใหญ่ซึ่งแต่งทำนองเพลงด้วยตัวเอง หานักดนตรีที่เป็นคริสเตียนอุทิศตัวและให้พวกเขาแต่งทำนองเพลงที่พูดถึงความจริงจากพระคัมภีร์ การทำแบบนี้จะทำให้คุณร้องเพลงที่มีเนื้อหาตรงกับพระคัมภีร์ด้วยภาษาดนตรีที่สื่อสารกับโลกรอบตัวคุณ

เราต้องพิจารณาสองคำถามข้างต้นเสมอ “วัฒนธรรมของเราขัดแย้งกับพระคัมภีร์ไหม?” ถ้าหากวัฒนธรรมทางดนตรีขัดแย้งกับพระคัมภีร์ เราต้องไม่ใช้ดนตรีนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่ได้มีประเด็นเกี่ยวกับหลักการของพระคัมภีร์แล้ว เราก็ควรพยายามนำนมัสการด้วยภาษาดนตรีของผู้นมัสการ

ในขณะที่กำลังนมัสการในคริสตจักรของพ่อของเขา ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับพันธกิจก็ตระหนักว่ามีน้อยคนที่จะเข้าใจเพลงที่พวกเขากำลังร้องกัน แทนที่จะนมัสการ พวกเขาแสดงให้เข้าใจเกี่ยวกับความจริงน้อยมาก เมื่อชายหนุ่มคนนั้นบ่นเรื่องนี้ พ่อของเขาตอบว่า “ลองดูว่าเธอจะทำให้ดีกว่านี้ได้ไหม” ชายหนุ่มชื่อ ไอแซค วัทส์ (Isaac Watts) จึงยอมรับคำท้าทายของพ่อของเขา

ในทุกวันนี้คนที่ใช้ภาษาอังกฤษร้องบทเพลงสรรเสริญของ ไอแซค วัทส์ เพราะศิษยาภิบาลหนุ่มตั้งใจเขียนเพลงสรรเสริญที่สื่อสารถ้อยคำจากพระคัมภีร์ด้วยภาษาที่ผู้คนเข้าใจ[8] ในยุคของเรา เราจำเป็นต้องมีนักแต่งเพลงสรรเสริญที่พูดความจริงจากพระคัมภีร์ด้วยภาษาที่แตะใจคนซึ่งไม่ได้อยู่ในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ


[1]Paul Bradshaw, “The Search for the Origins of Christian Worship” in Robert Webber, Twenty Centuries of Christian Worship (Nashville: Star Song Publishing, 1994), 4
[2]E. H. Peterson, The Message (Colorado Springs: NavPress, 2002)
[3]สิ่งนี้ชี้ไปถึงคำถามที่ 2 – “วัฒนธรรมของเราขัดแย้งกับพระคัมภีร์หรือไม่?”
[4]Michael Cosper, Rhythms of Grace: How the Church’s Worship Tells the Story of the Gospel (Wheaton: Crossway Books, 2013), 176-179
[5]John Wesley เผชิญกับปัญหานี้ สมาชิกในแองกลิกันตระหนักว่าการประชุมนมัสการที่มีผู้ร่วมประชุมคือพวกคนงานเหมืองแร่ โสเภณีกลับใจมาเชื่อ และพวกเจ้าของร้านค้าที่ไม่รู้หนังสือย่อมจะแตกต่างจากการนมัสการอย่างเป็นทางการของแองกลิกันชั้นสูง ปุโรหิตจำนวนมากตัดสินใจว่าพวกเขาจะไม่ยอมให้การนมัสการของพวกเขาถูกก่อกวนโดยพวกชนชั้นต่ำ สิ่งนี้นำไปสู่การก่อตั้งสังคมของเมธอดิสท์
[6]คำศัพท์ที่ Mark Dever ใช้สำหรับคนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนแต่ไม่มีรากฐานด้านพระคัมภีร์
[7]ตัวอย่างนี้ดัดแปลงจาก Ronald Allen and Gordon Borror, Worship: Rediscovering the Missing Jewel (Colorado Springs: Multnomah Publishers, 1982), 168
[8]“พระทรงบังเกิด” “เมื่อข้าเพ่งดูกางเขนประหลาด” และ “พระเจ้า ผู้ช่วยเราในกาลเก่า” คือสามใน 750 เพลงสรรเสริญของ Isaac Watts

ข้อคิดบางประการเกี่ยวกับแนวดนตรี

เนื่องจากดนตรีเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิต พวกเราหลายคนมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าเกี่ยวกับดนตรี การหารือกันเรื่องแนวดนตรีในการนมัสการจึงมีแนวโน้มทำให้เกิดความขัดแย้ง

คนที่เชื่อมั่นในแนวใดแนวหนึ่งของดนตรีจะพูดอย่างชั่วร้ายว่า “มีเพียงแนวดนตรีเดียวนี้ที่ใช้ในการนมัสการได้” อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์ไม่ได้ให้แนวทางที่เจาะจงสำหรับแนวดนตรี

คนที่เชื่อมั่นว่าแนวดนตรีเป็นกลางทางศีลธรรมก็จะพูดว่า “หาดนตรีที่คนชอบและร้อง แนวอะไรไม่สำคัญ ก็แค่ร้องอย่างที่คุณชอบ” อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ให้ความชัดเจนว่าเราต้องหลีกเลี่ยงสิ่งใดที่นำไปสู่พฤติกรรมที่กระตุ้นอารมณ์ เนื่องจากความสำคัญทางวัฒนธรรมและอารมณ์ ดนตรีบางชนิดก็ไม่เหมาะสมที่จะมาใช้ในการนมัสการ

ในการเขียนเกี่ยวกับทางเลือกของดนตรี สก็อต แอนีโอล (Scott Aniol) แบ่งคำอภิปรายของเขาเป็นสองส่วน[1]

1. เนื้อเพลง: ประเด็นที่ถูกและผิด โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบดนตรี ถ้าเนื้อหาในเพลงไม่ได้พูดความจริงอย่างชัดเจนก็ไม่เหมาะสำหรับการนมัสการ นี่เป็นเรื่องของถูกและผิด มีหลายเพลงที่ใช้แนวเพลงดั้งเดิมซึ่งมีเนื้อหาที่ไม่ได้สอนความจริงในพระคัมภีร์ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เหมาะสำหรับการนมัสการ มีหลายเพลงที่ใช้แนวเพลงร่วมสมัยซึ่งมีเนื้อหาที่ไม่ได้สอนความจริงในพระคัมภีร์ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เหมาะสำหรับการนมัสการ

2. แนวดนตรี: ประเด็นที่ไม่ชัดเจน เนื่องจากพระคัมภีร์ ไม่ได้พูดชัดเจน เกี่ยวกับประเด็นเรื่องแนวดนตรี เราจึงควรทำตามหลักการ ที่มีไหน โรม 14 เราควรหลีกเลี่ยง การใช้ดนตรีที่ยังคงมีความสงสัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมของดนตรีนั้น อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรตัดสินคนอื่นที่จิตสำนึกนำพวกเขาไปในทิศทางที่ต่างออกไปเกี่ยวกับแนวดนตรี

ตรวจสอบ

มีวัฒนธรรมด้านใดในการนมัสการของคุณที่จำกัดความสามารถในการเข้าถึงโลกรอบตัวของคุณด้วยข่าวประเสริฐ? คุณเต็มใจยอมสละความชอบส่วนตัวเพื่อเห็นแก่การเข้าถึงโลกรอบตัวของคุณด้วยข่าวประเสริฐไหม?

เกี่ยวกับการปรบมือนั้นเป็นอย่างไร?

การปรบมือในการนมัสการนั้นเป็นอย่างไร? มันถูกหรือผิด? การปรบมือเกิดขึ้นได้ในสองบริบท ซึ่งมีความหมายที่แตกต่างกัน

การปรบมือที่เป็นส่วนหนึ่งในการนมัสการ

ในหลายคริสตจักรมีการปรบมือในขณะที่ร้องเพลง การปรบมือจึงเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการในที่ประชุม สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับทางด้านกายภาพที่เป็นการแสดงออกในการนมัสการในพระคัมภีร์ “ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงตบมือ

จงโห่ร้องถวายแด่พระเจ้าด้วยเสียงยินดี!” (สดุดี 47:1) ผู้นมัสการชาวยิวมีความกระตือรือร้น การนมัสการของชาวยิวประกอบด้วยเครื่องดนตรีหลายชนิด การยกมือ และการปรบมือ

ถ้าหากการปรบมือเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการของคุณ ผู้นำนมัสการต้องแน่ใจว่าเพลงที่ใช้ร้องนั้นเหมาะสม การปรบมือในช่วงร้องเพลงเพื่อการอธิฐานก็ไม่เหมาะสม การปรบมือในช่วงร้องเพลงสรรเสริญก็มีความเหมาะสม คำถามสำหรับผู้นำไม่ใช่การถามว่า “การปรบมือถูกหรือผิด?” คำถามที่ดีกว่าคือ “การปรบมือนั้นเหมาะสมสำหรับเพลงนี้ หรือตรงจุดนี้ในการนมัสการหรือไม่?”

การปรบมือเพื่อตอบสนองต่อการนมัสการ

ประเด็นที่ยากกว่าคือการปรบมือเพื่อตอบสนองต่อเพลงพิเศษ ในพระคัมภีร์ก็ไม่ได้มีการระบุไว้ชัดว่าผู้นมัสการชาวยิวหรือคริสเตียนมีการปรบมือเพื่อตอบสนองในการนมัสการ

ในบางวัฒนธรรมทุกวันนี้ ปรบมืออย่างรวดเร็วเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการขอบคุณ ในวัฒนธรรมเหล่านี้จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะแสดงออกในการสรรเสริญพระเจ้าด้วยการปรบมือ ในบางวัฒนธรรมเชื่อมโยงการปรบมือเข้ากันกับการแสดงที่ดีเป็นหลัก ในวัฒนธรรมเหล่านี้การปรบมือเพื่อตอบสนองต่อวงนักร้องประสานเสียงหรือนักดนตรีอาจสร้างบรรยากาศของคอนเสิร์ตแทนที่จะเป็นการนมัสการ

เนื่องจากพระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้แบบตรงไปตรงมา เราจึงควรหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงประเด็นนี้เป็นการสรุปอย่างแน่ชัด หากการปรบมือ เป็นการตอบสนองด้วยความยินดีตามธรรมชาติ ซึ่งแสดงออก ถึงการสรรเสริญพระเจ้า นั่นก็อาจเป็นกิจแห่งการนมัสการ ถ้าการปรบมือสื่อสารว่า “บุคคลนี้แสดงได้ดีทำให้เราชื่นชอบ” นั่นก็หันเหออกจากการนมัสการ

ทั้งที่ประชุมและนักดนตรีควรพิจารณาถึงแรงจูงใจในการปรบมือ คนในที่ประชุมควรถามตัวเองว่า “ ฉันกำลังปรบมือเพื่ออะไร? ฉันปรบมือเพื่อสรรเสริญพระเจ้า หรือฉันปรบมือเพื่อยกย่องนักแสดง?”

นักดนตรีควรถามว่า “คนในที่ประชุมกำลังปรบมือเพื่ออะไร? บทเพลงของฉันดลใจให้เกิดการตอบสนองด้วยความยินดีเป็นการสรรเสริญพระเจ้า หรือบทเพลงของฉัน ดึงดูดให้ผู้คนยกย่องทักษะของฉัน? ฉันนำที่ประชุมให้นมัสการหรือไม่?” ในฐานะผู้นำนมัสการเราควรระมัดระวัง ที่จะให้พันธกิจของเรานำคนให้ไปถึงพระเจ้า ไม่ใช่มาที่ความสามารถของเราเอง

ตรวจสอบ

ถ้าคริสตจักรของคุณปรบมือในช่วงการนมัสการ นั่นเป็นการแสดงออกถึงการสรรเสริญพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเป็นการแสดงออกเพื่อยกย่องนักแสดง?

โรม 14 และรูปแบบการนมัสการ

► อ่าน โรม 14:1-23

โรม 14 ให้แนวทางที่สำคัญสำหรับประเด็นที่ยังมีคำถามสงสัย ซึ่งพระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน เปาโลพูดถึงคนที่ไม่เห็นด้วย เกี่ยวกับการกินเนื้อ หรือคนที่ถือรักษาวันต่างๆ เขาให้หลักการดังต่อไปนี้

(1) อย่าตัดสินคนอื่นเกี่ยวกับประเด็นที่ยังมีคำถามสงสัยอยู่ (โรม 14:1-13)

ในด้านต่างๆที่พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงอย่างชัดเจน เราต้องให้อิสระ แก้จิตสำนึกของคนที่ไม่เห็นด้วยกันกับเรา เราต้องไม่เด็ดขาดเกินจากพระคัมภีร์!

(2) อย่าเป็นต้นเหตุให้คนที่อ่อนแอต้องสะดุด (โรม 14:13-15)

เปาโลตระหนักว่าผู้เชื่อที่ยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่อาจได้รับอันตรายจากการใช้เสรีภาพของผู้เชื่อที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่า ในกรณีนี้ กฎแห่งรัก เรียกร้องให้เราจำกัดเสรีภาพของตัวเองเพื่อเห็นแก่คนที่อ่อนแอ อย่าให้เสรีภาพของท่านมาทำลายคนที่พระคริสต์ได้ตายเพื่อเขาเลย

คำกล่าวของเปาโลเป็นต้นแบบอันทรงพลังสำหรับพฤติกรรมทุกด้านของคริสเตียน “เพราะฉะนั้นถ้าอาหารเป็นเหตุที่ทำให้พี่น้องของข้าพเจ้าสะดุด ข้าพเจ้าจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป เพื่อว่าจะไม่ทำให้พี่น้องต้องสะดุด” (1 โครินธ์ 8:13)

(3) ให้ทำด้วยความเชื่อไม่ใช่ด้วยความสงสัย (โรม 14:23)

นี่เป็นหลักการที่สำคัญมากสำหรับคริสเตียนหนุ่มสาว “ อะไรก็ตามที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นความบาป” เราต้องไม่ฝ่าฝืนจิตสำนึกของเราเพื่อเห็นแก่ความพอใจของใครบางคน “ ใครก็ตามที่กินด้วยความสงสัยก็ถูกกล่าวโทษ เพราะการกินนั้นไม่ได้มาจากความเชื่อ”

เมื่อประยุกต์กับรูปแบบการนมัสการหลักการเหล่านี้เตือนเราว่า...

1. อย่าตัดสินคนที่ใช้รูปแบบที่คุณรู้สึกอึดอัด ถ้าหากพระคัมภีร์ไม่ได้พูดไว้อย่างชัดเจนคุณต้องช้าในการตัดสิน

2. อย่าใช้ดนตรีที่อาจทำให้ผู้เชื่อไม่หลงผิด ถ้าหากผู้เชื่อมาจาก พื้นฐานวิถีชีวิตที่แนวดนตรีใดแนวหนึ่งเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ผิดศีลธรรม แนวดนตรีนั้นจะไม่มีวันเป็นประโยชน์สำหรับผู้เชื่อนั้นเลย การมีความรักต่อพี่น้องคริสเตียน ควรเป็นแรงจูงใจพื้นฐานที่ทำให้คุณหลีกเลี่ยงสิ่งใดก็ตามที่ขัดขวางการเติบโตฝ่ายวิญญาณของเขา

3. อย่าใช้เสรีภาพในขณะที่จิตสำนึกของคุณมีความสงสัย คุณต้องไม่ล้ำเส้น ความรักต่อพระเจ้าควรเป็นแรงจูงใจให้คุณหลีกเลี่ยงสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เกิดความสงสัยในจิตสำนึกของคุณเอง


[1]Scott Aniol, Worship in Song (Winona Lake, IN: BMH Books, 2009), 135-140

การให้เด็กและวัยรุ่นร่วมในการนมัสการ

“เราจะให้เด็กและวัยรุ่นมีส่วนร่วมในการนมัสการได้อย่างไร? เราควรให้เขาแยกรอบนมัสการจนกว่าพวกเขาจะโตพอและเข้าใจการประชุมนมัสการแบบผู้ใหญ่ไหม? เราจะหนุนใจให้เด็กและวัยรุ่นมีการนมัสการอย่างแท้จริงได้อย่างไร?”

ในหลายคริสตจักรแยกเด็กและวัยรุ่นออกจากการนมัสการของผู้ใหญ่ มีเหตุผลสองประการสำหรับเรื่องนี้คือ เด็กเล็กจะเบนความสนใจของผู้ใหญ่ให้ออกไปจากการนมัสการ กับอีกเหตุผลคือ เด็กและวัยรุ่นจะไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในการประชุมนมัสการนั้น

ในพระคัมภีร์ไม่ได้ห้ามไว้เกี่ยวกับการแยกรอบนมัสการสำหรับเด็กและวัยรุ่น อย่างไรก็ตามมีอย่างน้อยสามสิ่งที่ควรพิจารณา

1. ในพระคัมภีร์การนมัสการเป็นแบบรวมหลายวัย พระคัมภีร์ไม่ได้แนะนำให้มีการปฏิบัติกับเด็กและวัยรุ่นแตกต่างออกไปในการนมัสการ ในการนมัสการที่พระวิหาร ทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกัน เพื่อทำพิธีถวายเครื่องบูชา และไม่มีที่ใดในพันธสัญญาใหม่ที่แนะนำว่าคริสตจักรยุคแรกได้แยกเด็กและวัยรุ่นออกไปในช่วงการนมัสการ

2. การนมัสการแบบรวมหลายวัย คือการเป็นกายเดียวกันในพระกายของพระคริสต์ เช่นเดียวกันกับการเสนอให้แยกการประชุมนมัสการแบบร่วมสมัยกับการนมัสการแบบประเพณีนิยมเป็นการทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันของพระกาย การเสนอให้แย่การประชุมนมัสการสำหรับเด็กและวัยรุ่น อาจทำให้พวกเขาตระหนักน้อยลงถึงการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในคริสตจักร ในทางกลับกันเมื่อเด็กและวัยรุ่น ร่วมในการนมัสการกับครอบครัวคริสตจักร ทุกคนก็เข้าใจว่าพวกเขาเป็นส่วนที่มีคุณค่าในพระกายของพระคริสต์ (1 ทิโมธี 4:12)

3. โดยผ่านการนมัสการแบบรวมหลายวัย ทำให้ความเชื่อได้ส่งต่อไปยังชนรุ่นถัดไป เราเรียนรู้ที่จะนมัสการโดยการนมัสการ ถ้าหากการประชุมนมัสการสำหรับเด็กไม่ได้รับการวางแผนอย่างรอบคอบแล้ว การประชุมนมัสการนั้น ก็สามารถกลายเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เด็กสนุกสนานเพื่อพวกเขาจะไม่รบกวนผู้ใหญ่ในช่วงนมัสการ แต่ถ้าเราทำแบบนี้ เมื่อไหร่ล่ะที่เด็กๆจะได้เรียนรู้การนมัสการ?

วัยรุ่นและเด็กเป็นส่วนหนึ่งของที่ประชุมนมัสการเดียวกัน

วัยรุ่นและเด็กสามารถเข้าร่วมในการประชุมนมัสการที่สื่อสารกับคนทุกวัย ซึ่งอาจมีคำเทศนาสั้น ๆ สำหรับเด็กในหัวข้อเดียวกันกับคำเทศนาหลัก

เมื่อเราคิดเอาเองว่าเด็กไม่สามารถลงลึกในความจริงได้ เราก็จะล้มเหลวในการให้ความเชื่อถือต่อพวกเขาเพื่อสังเกตฝ่ายวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์คือผู้ที่ให้ความกระจ่างชัดแก่ผู้ฟังไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ (1 โครินธ์ 2:10) แม้แต่ในการประชุมนมัสการของผู้ใหญ่ พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถพูดความจริงกับใจของวัยรุ่นได้ การให้เด็กอยู่ร่วมการนมัสการกับผู้ใหญ่นั้นเราต้องสอนพวกเขาเรื่องการนมัสการ เราสามารถอธิบายเกี่ยวกับที่ประชุมนมัสการให้กับเด็ก ๆ เราสามารถอธิบายความหมายคำที่ยากในพระคัมภีร์และในบทเพลงสรรเสริญให้กับพวกเขา แม้บางครั้งผู้ใหญ่เองก็จำเป็นต้องได้รับคำอธิบายความหมายด้วย! โดยการให้พื้นที่กับเด็ก ๆ ในการนมัสการ เราก็ทำให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้นมัสการไปพร้อมกับคนที่เหลือในพระกาย

แยกการนมัสการสำหรับวัยรุ่นและเด็ก[1]

คริสตจักรจำนวนมากเสนอให้แยกการประชุมนมัสการสำหรับวัยรุ่นและเด็ก ๆ การประชุมนมัสการเหล่านี้ควรเป็นการนมัสการ ไม่ใช่การบันเทิง ถ้าหากเด็ก ๆ และวัยรุ่นไม่ได้เรียนรู้การนมัสการ พวกเขาจะไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เหมือนเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีพัฒนาร่างกายโดยกินแต่ลูกอม เด็ก ๆ ก็ไม่ได้รับการพัฒนาฝ่ายวิญญาณหากให้กินแต่อาหารที่ไม่มีประโยชน์ฝ่ายวิญญาณ

ถ้าหากคริสตจักรแยกรอบนมัสการของวัยรุ่น/เด็กออกไป เราต้องแน่ใจว่าการประชุมนั้นเป็นการประชุมนมัสการอย่างแท้จริง การนมัสการของวัยรุ่นและเด็กควรมีการอ่านพระคัมภีร์ สำหรับเด็กนั้น ภาพที่สวยงามช่วยส่งเสริมความจริงจากพระคัมภีร์ได้

การประชุมนมัสการควรมีคำเทศนาหรือบทเรียนพระคัมภีร์ที่ประยุกต์ใช้พระวจนะของพระเจ้าให้เข้ากับความจำเป็นในชีวิตของวัยรุ่นและเด็ก พระคัมภีร์ควรเป็นสิ่งที่น่ารักในมือของผู้สอน เด็กและวัยรุ่นเรียนรู้ที่จะเคารพและใช้พระวจนะของพระเจ้าโดยการดูตัวอย่างจากผู้ใหญ่ที่พวกเขาเคารพ

การประชุมนมัสการควรมีบทเพลงที่สื่อสารความจริงจากพระคัมภีร์ มีช่วงเวลาอธิษฐานทั้งอธิษฐานสรรเสริญและทูลขอ มีการถวายทรัพย์ที่ให้เด็ก ๆ ได้นำของขวัญมาให้พระเจ้า องค์ประกอบทั้งหมดของการนมัสการควรรวมอยู่ในการประชุมนมัสการสำหรับเด็กและวัยรุ่น

การสอนเด็ก ๆ ให้อธิษฐาน: “มือแห่งการอธิษฐาน”

นิ้วโป้ง เตือนเราให้อธิษฐานสำหรับคนที่ใกล้ตัวเรา (ครอบครัว)

นิ้วชี้ เตือนเราให้อธิษฐานเผื่อคนที่ชี้นำคนให้มาหาพระเยซู (ศิษยาภิบาล อาจารย์ และมิชชันนารี)

นิ้วกลาง เป็นนิ้วที่ยาวที่สุด เตือนเราให้อธิษฐานเผื่อผู้นำประเทศ โรงเรียน คริสตจักร และครอบครัว

นิ้วนาง เป็นนิ้วที่อ่อนแอที่สุด สาธิตได้โดยการพยายามยกนิ้วนางขึ้นเพียงนิ้วเดียว สิ่งนี้เตือนใจเราให้อธิษฐานเผื่อคนที่อ่อนแอและต้องการพระเยซู

นิ้วก้อย เป็นนิ้วที่เล็กที่สุด สิ่งนี้เตือนใจคุณให้อธิษฐานเผื่อตัวเอง

ยกมือทั้งมือขึ้นเตือนเราให้สรรเสริญพระเจ้า

มือแห่งการอธิษฐานนี้สามารถกลายเป็นแบบแผนการอธิษฐานที่ประเมินระดับการอธิษฐานของผู้นมัสการที่เป็นวัยรุ่นได้

สรุปโดยย่อ

ถ้าหากต้องการเห็นเด็ก ๆ ของเราเติบโตเป็นผู้เชื่อที่มีความเป็นผู้ใหญ่ เราต้องจัดเตรียมการหล่อเลี้ยงฝ่ายวิญญาณให้พวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการประชุมนมัสการเดียวกันหรือแยกกัน เราต้องนำเด็ก ๆ ของเราให้นมัสการ

ตรวจสอบ

ไม่ว่าจะเป็นการประชุมนมัสการแบบแยกเด็กและวัยรุ่น หรือการประชุมนมัสการเดียวกันสำหรับทั้งคริสตจักร คุณกำลังสอนเด็ก ๆ และวัยรุ่นให้นมัสการไหม?


[1]ส่วนนี้ใช้อุปกรณ์จาก Mrs. Christina Black, Professor of Education ที่ Hobe Sound Bible College

การแสดงออกทางอารมณ์ในการนมัสการ

“ผู้คนในประเทศของผมเน้นการแสดงออกทางอารมณ์อย่างมาก และการนมัสการของเราก็มักจะสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตในการแสดงออกทางอารมณ์นี้ ดนตรีนมัสการของเราก็จะมีจังหวะเร็ว เสียงดัง เร้าใจ ซึ่งทำให้เรามีส่วนร่วมและแสดงออกทางอารมณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ผมเกรงว่า ดนตรีนั้น จะเป็นเพียงแค่การแสดงออกทางอารมณ์ ผมไม่รู้ว่าดนตรีของเหมาะกับการนมัสการอย่างแท้จริงไหม”

การนมัสการที่แท้จริงคือการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง การนมัสการที่แท้จริง รวมถึงการแสดงออกทางอารมณ์ แต่ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดงออกทางอารมณ์ มีข้อผิดพลาดสองประการที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางอารมณ์ในการนมัสการ ซึ่งนำไปสู่การหลงผิดได้

(1) ข้อผิดพลาดในการปฏิเสธการแสดงออกทางอารมณ์ในการนมัสการ

[1]ผู้นำนมัสการบางคนปฏิเสธที่จะแสดงออกทางอารมณ์ในการนมัสการ พวกเขามองว่าการนมัสการเป็นการเผชิญหน้ากับพระเจ้าโดยใช้สติปัญญา พวกเขาไม่ยอมรับว่าการเข้าเฝ้าพระเจ้านั้นเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก การนมัสการที่แท้จริงพูดกับอารมณ์ความรู้สึก การประชุมนมัสการของเราควรเปิดโอกาสให้ผู้นมัสการได้แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกของพวกเขาเพื่อตอบสนองต่อการเปิดเผยพระองค์เองของพระเจ้า

(2) ข้อผิดพลาดในการเน้นการแสดงออกทางอารมณ์ในการนมัสการมากเกินไป

อันตรายที่ตรงกันข้ามกันคือข้อผิดพลาดในการพูดด้วยอารมณ์และความรู้สึกเท่านั้นในการนมัสการ การนมัสการที่สื่อสารกับอารมณ์ความรู้สึกในขณะเดียวกันก็เพิกเฉยความคิดจิตใจย่อมเป็นการฝ่าฝืนคำสอนใน 1 โครินธ์ 14:15 ที่ว่า “ข้าพเจ้าจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณและด้วยความคิดด้วย” ไม่ว่าแง่มุมใดของการนมัสการสามารถถลำลงสู่การทดลองเช่นนี้ได้คือ คำเทศนาอันน่าทึ่งที่ไม่สัตย์ซื่อต่อเนื้อหาในพระคัมภีร์ การนมัสการที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของผู้นมัสการ การนมัสการที่สื่อสารกับอารมณ์ความรู้สึกเท่านั้นจึงไม่ใช่การนมัสการที่แท้จริง

การนมัสการที่แท้จริง: การนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง

ต้นแบบการนมัสการในพระคัมภีร์คำนึงถึงความสำคัญของการแสดงออกทางอารมณ์ ในขณะเดียวกันก็ประเมินความจริงของสิ่งที่เราเทศนาและเพลงที่เราร้องอย่างรอบคอบ เนื่องจากดนตรีเป็นสื่อกลางทางอารมณ์ เราจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการประเมินความจริงของสิ่งที่เราร้อง อย่างไรก็ตามหากใช้อย่างเหมาะสม ดนตรีจะมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการสื่อสารความจริงที่พูดกับทั้งความคิดและอารมณ์

จอห์น เวสเลย์ ให้คุณค่าแก่การแสดงออกทางอารมณ์ในการนมัสการ เขาอธิบายถึงที่ประชุมแห่งหนึ่งว่า “แข็งทื่อเหมือนหิน - เงียบสนิท และไม่รู้สึกอะไรสักอย่าง” เขาเชื่อว่าการเผชิญหน้ากับความจริงควรดลใจให้มีการตอบสนองทางอารมณ์ ในเวลาเดียวกันเขาก็วิจารณ์ทันทีถึงการแสดงออกทางอารมณ์ที่เบี่ยงเบนความสนใจจากการนมัสการที่แท้จริง

เวสเลย์เตือนไม่ให้สุดโต่งคือ ปฏิเสธการแสดงออกทางอารมณ์ หรือปล่อยให้อารมณ์ควบคุมเรา “มีความจำเป็นที่เราจะต้องเผชิญกับความสุดโต่งอย่างใดอย่างหนึ่งไหม? เราจะไม่ประนีประนอมระหว่างวิญญาณแห่งความผิดพลาดกับความกระตือรือร้นโดยไม่ปฏิเสธของประทานจากพระเจ้าและละทิ้งสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาบุตรของพระองค์ใช่ไหม?[2] นี่เป็นต้นแบบที่ดีสำหรับเราในปัจจุบันคือเคารพความสำคัญของอารมณ์ในการนมัสการ ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงสิ่งสุดโต่งที่เบี่ยงเบนความสนใจของเราจากพระเจ้าและความจริงของพระองค์?

การแสดงออกทางอารมณ์กับความจริง: ประสบการณ์ของคริสเตียนคนหนึ่ง[3]

“โดยธรรมชาติแล้ว ผมเป็นคนที่ไวในการสัมผัสทางอารมณ์ ดนตรีมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของผมอย่างมาก ผมเรียนรู้บทเรียนหนึ่งเมื่อไม่กี่ปีนี้เกี่ยวกับการมีความเชื่อมากเกินไปในการตอบสนองทางอารมณ์ของผม

เมื่อผมฟังเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะ ผมก็คล้อยตามเต็มที่ เมื่อเพลงเคลื่อนไปผ่านการเปลี่ยนคีย์ ผมพบว่าตัวเองร้องไห้ เมื่อจบเพลง ผมรู้สึกราวกับว่ามีประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณอย่างลึกซึ้ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อผมฟังเพลงนั้นรอบที่สอง ผมพบบางอย่างที่ทำให้ตกใจมาก เพลงนี้ไม่ใช่เพลงนมัสการพระเจ้าในพระคัมภีร์ มันเป็นเพลงที่ร้องสรรเสริญพระเทียมเท็จ ถ้อยคำบวกกับการเปลี่ยนคีย์อันน่าทึ่งนั้นนอกรีต

วันนั้นผมเรียนรู้ว่าอารมณ์ของผมถูกควบคุมได้ง่ายมาก โดยเฉพาะควบคุมโดยดนตรี นี่ไม่ได้หมายความว่าการตอบสนองทางอารมณ์ต่อดนตรีทั้งหมดนั้นไม่ถูกต้อง แต่หมายความว่าผมต้องประเมินเนื้อหาของเพลง ผมต้อง ‘พิสูจน์วิญญาณ’ เพื่อให้แน่ใจว่ามาจากพระเจ้า”

ตรวจสอบ

การนมัสการของคุณสื่อสารกับทั้งความนึกคิดและอารมณ์หรือไม่? คุณประเมินอย่างรอบคอบถึงสิ่งที่คุณร้องและสอนเพื่อแน่ใจว่าสิ่งนั้นสัตย์ซื่อต่อพระคัมภีร์หรือไม่?


[1]

“การร้องเพลงเป็นสื่อกลางโดยการที่คนของพระเจ้าฉวยเอาพระวจนะของพระองค์และปรับอารมณ์กับความรักของพวกเขาให้เข้ากับของพระเจ้า”

- ดัดแปลงจาก โจนาธาน ลีแมน

[2]John Wesley, John Wesley’s Sermons, “The Witness of the Spirit”
[3]จดหมายจาก Dr. Andrew Graham. May 29, 2014

การนมัสการที่อันตราย: ลดความสำคัญของการนมัสการ

บทเรียนนี้เริ่มต้นด้วยคำเตือนสติดจาก วาร์เร็น วายสบี เกี่ยวกับการทำให้การนมัสการเป็นเพียงช่วงเวลาสนุกสนาน[1] เขาเตือนเราว่าเราลดความสำคัญของการนมัสการเมื่อเราแสวงหาความสนุกมากกว่าแสวงหาพระเจ้าในการประชุมนมัสการของเรา “คริสตจักรยังคงใช้คำว่า นมัสการ แต่ความหมายกลับเปลี่ยนไป บ่อยครั้งเกินไปที่ การนมัสการ เป็นเพียงคำที่ผู้คนใช้เพื่อให้เกียรติทางศาสนากับสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาวางแผนเพื่อให้ที่ประชุมทำ ไม่ว่าพระเจ้าจะเป็นศูนย์กลางของการประชุมนั้นหรือไม่ก็ตาม” เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

เราเปลี่ยนสถานนมัสการให้กลายเป็นโรงละคร

การนมัสการเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ คริสเตียนเคยนมัสการในถ้ำขณะซ่อนตัวจากการข่มเหง หรือในแคมป์ไฟขณะมีรีทรีตของคริสตจักร คริสเตียนเคยนมัสการที่บ้านส่วนตัวหรือในอาคารหรูหรา คริสเตียนเคยนมัสการขณะนอนที่โรงพยาบาล อยู่บนเครื่องบิน หรือในที่ทำงาน การนมัสการเกิดขึ้นได้ทุกที่ แต่การนมัสการร่วมกันส่วนใหญ่เกิดขึ้นในอาคารบางรูปแบบ “สมาชิกของคริสตจักรต้องมาพบกันในบางสถานที่ และ ‘บางสถานที่’ นั้นจะกลายเป็นสถานนมัสการหรือโรงละครก็ได้”

สองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร? สถานนมัสการ “คือสถานที่ที่คนมารวมตัวกันเพื่อนมัสการและถวายเกียรติแด่พระเจ้าของพวกเขา” โรงละครคือสถานที่ที่ผู้คนมารวมตัวกันเพื่อดูการแสดง คริสตจักรของคุณสร้างโรงละครหรือสถานนมัสการ?

เราเปลี่ยนที่ประชุมให้กลายเป็นผู้ชม

“คนในที่ประชุมของคริสเตียนมารวมตัวกันเพื่อนมัสการพระเยซูคริสต์และถวายเกียรติแด่พระองค์ ผู้ชมมารวมตัวกันเพื่อฟังและดูการแสดง” ที่ประชุมจดจ่อที่พระเจ้า แต่ผู้ชมจดจ่อที่นักแสดง ที่ประชุมคือผู้ที่มาเข้าร่วม แต่ผู้ชมคือผู้ที่มาชมการแสดง คุณกำลังนำที่ประชุมหรือผู้ชม?

เราเปลี่ยนจากพันธกิจเป็นการแสดง

“เรารับใช้เพื่อแสดงถึงความจริงของพระเจ้าเป็นหลัก แต่ถ้าเราแสดง เราแสดงเพื่อให้เกิดความประทับใจด้วยความสามารถของเรา ผู้รับใช้รู้ว่าพระเจ้ากำลังมองดูและการยอมรับของพระองค์นั้นสำคัญที่สุด แต่นักแสดงแสวงหาเสียงปรบมือยกย่องจากผู้ชม” พันธกิจสามารถกลายเป็นการแสดงได้ในหลายทางที่แตกต่างกัน เช่น นักดนตรีที่แสดงเพื่อสร้างความบันเทิงให้ผู้ฟัง ทีมสรรเสริญที่แสวงหาการตอบสนองทางอารมณ์ทางใดทางหนึ่ง หรือนักเทศน์ที่วัดคุณค่าการเทศนาของเขาจากการตอบสนองของผู้คน คุณกำลังรับใช้หรือคุณกำลังแสดง?


[1]คำกล่าวอ้างอิงในส่วนนี้ดัดแปลงจาก Warren Wiersbe, Real Worship (Grand Rapids: Baker Books, 2000), 169-174

บทสรุป: คำพยานของมิชชันนารีคนหนึ่ง - โรม 14 ในทางปฏิบัติ

“ผมเรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่าเกี่ยวกับการตัดสินคนอื่นเกี่ยวกับรูปแบบการนมัสการของพวกเขา ตอนที่ผมไปร่วมสัมมนาผู้นำพร้อมกับมิชชันนารีคนหนึ่งและศิษยาภิบาลชาวฟิลิปปินส์แปดคน[1]

เราเข้าไปในศูนย์ประชุมขนาดใหญ่และพบที่นั่งของเราบนอัฒจันทร์สูง มีจอภาพขนาดใหญ่และลำโพงห้อยลงมาจากเพดาน ผู้นำนมัสการเป็นผู้หญิงชาวฟิลิปปินส์ และมีวงสรรเสริญอยู่ด้านหลัง พวกเขาปรบมือและนำฝูงชนที่ตื่นเต้นด้วยเพลง ‘ใช่ พระเจ้า ใช่!’ ซึ่งมันมีชีวิตชีวามากเกินไปสำหรับผม

ดนตรีที่เล่นวนซ้ำ เสียงร้องเพลงดังกระหึ่ม และการขยับร่างกายตามจังหวะเพลงทำให้ผมมีข้อกังวล เราได้ท้าทายศิษยาภิบาลชาวฟิลิปปินส์ให้เป็นผู้นำที่มีความบริสุทธิ์ และตอนนี้เรากำลังนำพวกเขาเข้ามาอยู่ในการนมัสการแบบนี้! ศิษยาภิบาลชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่ง เป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณ เขากำลังยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับก้มศีรษะของเขา เขากำลังอธิษฐานเงียบ ๆ และไม่ได้มีส่วนร่วมในการประชุมนมัสการ

ผมรู้สึกติดขัดว่า ‘เราทำอะไรกันอยู่?’ ต่อมาผมเห็นศิษยาภิบาลคนเดียวกันนี้ปรบมือและร้องเพลงอย่างสุดใจของเขา ใบหน้าของเขาเปล่งปลั่ง และดูเหมือนเขาเต็มที่กับการนมัสการ

ในเย็นวันนั้น เราแบ่งปันถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเป็นผู้นำจากการสัมมนา ช่วงการพูดคุยกัน ผมถามผู้นำชาวฟิลิปปินส์คนนี้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ทำให้พฤติกรรมของเขาเปลี่ยนไป ‘ทำไมคุณถึงเปลี่ยนจากการไม่มีส่วนร่วมไปเป็นการนมัสการและร่วมร้องเพลงอย่างมีความสุขได้ทันที?’

คำตอบของเขามีพลังมาก ‘ผมมีปัญหามากกับดนตรี แต่เมื่อผมอธิษฐาน พระเจ้าสำแดงให้เผมเห็นว่าผู้นำนมัสการในงานประชุมนี้กำลังนมัสการพระเจ้าด้วยสุดใจ พวกเขาให้สิ่งดีที่สุดแด่พระเจ้าตามสิ่งที่พวกเขารู้ พระเจ้าตรัสกับผมว่า “เจ้าปล่อยไว้กับเราได้ไหม? เจ้าถวายการนมัสการของเจ้าแก่เราโดยไม่ตัดสินคนอื่นได้ไหม?”

ศิษยาภิบาลคนนี้เริ่มต้นนมัสการพระเจ้าสุดใจอย่างที่เขามักจะทำแทนที่จะตัดสินคนอื่นรอบตัวเขา สิ่งนี้เปลี่ยนแนวการนมัสการของศิษยาภิบาลคนนี้ไหม? ไม่เลย เมื่อเขากลับไปที่คริสตจักรของเขา เขาก็ไม่ได้เลียนแบบรูปแบบการนมัสการที่เขาได้เห็นในสุดสัปดาห์นั้น

ในฐานะผู้นำในคริสตจักรของเรา ชายคนนี้มักจะหนุนใจให้เพื่อนศิษยาภิบาลให้เสรีภาพในการนมัสการโดยไม่ต้องควบคุมที่ประชุม เขาหนุนใจให้เพื่อนศิษยาภิบาลของเขามีความสมดุลในหลักการสองประการคือ...

1. เอาใจใส่ทำตามหลักการพระคัมภีร์เกี่ยวกับการนมัสการในคริสตจักรของคุณ

2. หลีกเลี่ยงการวิจารณ์รูปแบบการนมัสการของคริสตจักรอื่น ๆ”


[1]คำพยานจาก Rev. David Black อดีตมิชชันนารีไปยังประเทศฟิลิปปินส์

ทบทวนบทที่ 9

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) การนมัสการและวัฒนธรรม

  • เมื่อประเมินรูปแบบการนมัสการ เราต้องไม่สับสนระหว่างวัฒนธรรมกับพระคัมภีร์

  • เมื่อวัฒนธรรมของเราขัดแย้งกับพระคัมภีร์ เราต้องยอมจำนนต่อคำสั่งจากพระคัมภีร์มากกว่าความคาดหวังของวัฒนธรรม

  • เพื่อจะเข้าถึงโลกนี้ด้วยข่าวประเสริฐ เราควรถามว่าวิธีนมัสการแบบใดที่สื่อสารกับวัฒนธรรมของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

(2) คำถามสามคำถามที่ช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการนมัสการในคริสตจักรท้องถิ่นของเรากับวัฒนธรรมรอบตัวเรา

  • ใครอยู่ที่นี่? พิจารณาถึงคนในที่ประชุมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร

  • ใครเคยอยู่ที่นี่? พิจารณาถึงมรดกที่คริสตจักรได้รับมา

  • ใครควรอยู่ที่นี่? พิจารณาถึงชุมชนที่พระเจ้าเรียกให้เราเข้าถึง

(3) เนื่องจากดนตรีเป็นศูนย์กลางของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเรา คริสตจักรจึงควรเลือกดนตรีที่สัตย์ซื่อกับพระคัมภีร์และเข้ากันได้กับวัฒนธรรม

(4) ถ้าการปรบมือเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ เราควรถามว่า “การปรบมือนี้เหมาะสมกับเพลงนี้และจุดนี้ของการนมัสการหรือไม่?”

(5) ถ้ามีการปรบมือเพื่อตอบสนองต่อเพลงพิเศษ เราควรถามว่า “การปรบมือของฉันมาจากแรงจูงใจเพื่อสรรเสริญพระเจ้าหรือเพื่อยกย่องนักแสดง?”

(6) ถ้าเรารวมเด็กและวัยรุ่นในที่ประชุมนมัสการของผู้ใหญ่ เราควรวางแผนการนมัสการที่จะสื่อสารกับคนทุกวัย

(7) ถ้าเราแยกการประชุมนมัสการสำหรับเด็กและวัยรุ่น เราควรแน่ใจว่าการประชุมนั้นเป็นการนมัสการ ไม่ใช่เพื่อความบันเทิงสนุกสนาน

(8) เราไม่ควรเน้นมากเกินไปและไม่ควรปฏิเสธการแสดงออกทางอารมณ์ในการนมัสการ

งานมอบหมายบทที่ 9

(1) บทเรียนนี้มีคำถามเพื่อ “ตรวจสอบ” หลายคำถาม ขอให้เขียนเพื่อตอบคำถามเหล่านี้หนึ่งหน้ากระดาษ คำตอบของคุณควรประกอบไปด้วยสองส่วนต่อไปนี้

  • การประเมินสิ่งที่คุณทำในการนมัสการปัจจุบันนี้

  • คำแนะนำเพื่อเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้การนมัสการของคุณเข้ากับวัฒนธรรมได้มากขึ้นโดยไม่ออกจากหลักการนมัสการในพระคัมภีร์

(2) ในช่วงเริ่มต้นของบทเรียนถัดไป คุณจะต้องทำแบบทดสอบของบทนี้ ขอให้เตรียมตัวด้วยการศึกษาคำถามของแบบทดสอบอย่างละเอียด

แบบทดสอบบทที่ 9

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) เราจะตอบสนองต่อแนวปฏิบัติในการนมัสการที่ไม่ตรงกับความชอบทางวัฒนธรรมของเราโดยไม่ให้ขัดแย้งกับหลักการพระคัมภีร์ได้อย่างไร?

(2) เราควรตอบสนองต่อแนวปฏิบัติในการนมัสการที่ได้รับการยอมรับในวัฒนธรรมของเราแต่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์อย่างไร?

(3) คำถามสามคำถามที่เราควรถามเพื่อจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างการนมัสการของคริสตักรของเรากับวัฒนธรรมรอบตัวเรามีอะไรบ้าง?

(4) จากโรม 14 จงเขียนหลักการสามประการเกี่ยวกับการนมัสการ

(5) เขียนสามสิ่งที่ต้องพิจารณาสำหรับการนมัสการแบบรวมหลายวัย

(6) บอกถึงข้อผิดพลาดสองประการเกี่ยวกับการแสดงออกทางอารมณ์ในการนมัสการ

(7) เขียน 1 โครินธ์ 14:15-17 จากการท่องจำ

Next Lesson