แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 1: คำนิยามการนมัสการ

2 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) มีคำนิยามของการนมัสการในพระคัมภีร์

(2) เข้าใจว่าการนมัสการที่แท้จริงมีผลกระทบต่อทุกด้านในชีวิต

(3) ยอมรับรูปแบบการนมัสการที่พระเจ้ายอมรับ

(4) เห็นคุณค่าความสำคัญของการนมัสการในชีวิตคริสเตียน

เตรียมตัวสำหรับบทเรียนนี้

ท่องจำ ยอห์น 4:23-24

บทนำ

เช้าวันอาทิตย์ในอเมริกา มีคริสเตียนที่แต่งตัวดีมารวมตัวกันเพื่อนมัสการในสถานนมัสการอันงดงาม พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญอันยิ่งใหญ่พร้อมกับเสียงดนตรีที่บรรเลงด้วยออร์แกนและนักร้องประสานเสียง วงออเคสตราบรรเลงเพลงในขณะที่มีการถวายทรัพย์ ผู้นมัสการอธิษฐานอย่างสงบเงียบในขณะที่ศิษยาภิบาลนำอธิษฐาน ในช่วงการเทศนา ศิษยาภิบาลอ้างอิงถึงผู้เขียนมากมายจากห้องสมุดใหญ่ของเขา หลังจากการเทศนา คริสตจักรก็ฉลองศีลมหาสนิทโดยใช้ถาดเงินสำหรับศีลมหาสนิท ใช้ขนมปังมหาสนิท และถ้วยสำหรับแต่ละคน นี่คือการนมัสการ

เช้าวันอาทิตย์ในประเทศจีน ผู้เชื่อ 30 คนแต่งตัวสบาย ๆ มารวมตัวกันในอพาร์ตเมนท์ พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญโดยไม่มีเครื่องดนตรี ผู้นำแบ่งปันความจริงที่พึ่งได้เรียนรู้จากการศึกษาพระคัมภีร์ของเธอ ในช่วงระหว่างการอธิษฐานที่ใช้เวลานาน สมาชิกของคริสตจักรบ้านที่นี่ได้ผลัดกันอธิษฐานเผื่อความจำเป็นในชีวิต หลังจากอธิษฐานเสร็จ พวกเขาก็ฉลองศีลมหาสนิทด้วยขนมปังและเหล้าองุ่นที่ใส่ในถ้วยพลาสติก เมื่อผู้คนจะกลับ พวกเขาค่อย ๆ หย่อนเงินถวายลงในตะกร้าที่วางใกล้ประตู เงินถวายนั้นจะถูกแบ่งปันให้กับสมาชิกที่มีความเดือดร้อนเป็นพิเศษ นี่คือการนมัสการ

เช้าวันอาทิตย์ที่ไนจีเรีย คริสเตียนทั้งหลายแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสมารวมตัวเพื่อนมัสการกันอย่างคึกคัก ทีมสรรเสริญที่มีทั้งกีตาร์ คีย์บอร์ด และกลอง เป็นผู้นำคนในที่ประชุมให้สรรเสริญตามเพลงที่ฉายบนจอ วงดนตรีเล่นเพลงในขณะที่สมาชิกกำลังถวายทรัพย์ในกล่องถวายที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสถานนมัสการ คำเทศนาเป็นเชิงปฏิบัติ เน้นพูดถึงความจำเป็นที่มีในสังคมร่วมสมัยของไนจีเรีย การประชุมกันจบลงด้วยการจับมือทักทาย สวมกอด และเฉลิมฉลอง นี่คือการนมัสการ

การนมัสการมีได้หลากหลายรูปแบบ ในทุกประเทศและทุกวัฒนธรรม รูปแบบการนมัสการก็จะแตกต่างกัน การนมัสการไม่ได้เป็นเพียงแค่ลักษณะการประชุมอย่างใดอย่างหนึ่ง อันที่จริงแล้ว การนมัสการไม่ใช่การประชุม การนมัสการเกี่ยวข้องกับทุกด้านในชีวิตคริสเตียน ในบทเรียนนี้ เราจะดูคำนิยามของการนมัสการในพระคัมภีร์

► อ่าน ยอห์น 4:1-29 อภิปรายความหมายของการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง

ลักษณะของการนมัสการในพระคัมภีร์

การนมัสการคือการยอมรับและยกย่องคุณค่าของพระเจ้า หมายความว่าเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างที่สมควรแก่พระองค์

► ตารางด้านล่างนี้ให้คำนิยามสามอย่างเกี่ยวกับการนมัสการ ท่องจำคำนิยามที่มีความหมายต่อคุณมากที่สุด

  • “การนมัสการคือการตอบสนองของมนุษย์ด้วยการรักชื่นชมพระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์” - เอวาลีน อันเดอร์ฮิลล์ (Evelyn Underhill)

  • “การนมัสการคือการยกชูใจของเราเพื่อตอบสนองด้วยความเต็มใจต่อพระเจ้า” - แฟรงคลิน เซกเลอร์ (Franklin Segler)

  • “การนมัสการคือการตอบสนองด้วยทุกสิ่งที่เราเป็นต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าเป็น” - วาร์เร็น ไวร์สเบ (Warren Wiersbe)

การนมัสการคือการนอบน้อมด้วยความยำเกรง

คำฮีบรูและคำกรีกที่แปลเป็น “นมัสการ” ในพระคัมภีร์ให้แนวคิดเกี่ยวกับการก้มกราบลงต่อพระเจ้า[1] ซึ่งสิ่งนี้แนะนำถึงการนอบน้อมถ่อมตนในการนมัสการ การแสดงออกทางกายสะท้อนให้เห็นถึงความยำเกรงในใจ อย่างน้อยจากศตวรรษที่สอง คริสเตียนจะคุกเข่าด้วยความยำเกรงเมื่ออธิษฐาน

ในวิวรณ์ 4:10-11 อัครทูตยอห์นได้เห็นการนมัสการที่เกิดขึ้นในสวรรค์

ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่ท่านก็ทรุดตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น และนมัสการพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และถอดมงกุฎออกวางตรงหน้าพระที่นั่งร้องว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย
พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับพระสิริ พระเกียรติและฤทธานุภาพ เพราะว่าพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งก็ดำรงอยู่และถูกสร้างขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์”

เมื่อกษัตริย์ที่แพ้สงครามถูกนำตัวมาต่อหน้าซีซาร์ เขาต้องโยนมงกุฎของเขาไปที่เท้าของซีซาร์และกราบลงยอมจำนน ยอห์นแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าผู้มีอำนาจและคู่ควรยิ่งกว่าซีซาร์ พระองค์สมควรได้รับการถ่อมตัวยอมจำนนจากผู้นมัสการ

ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าปฏิเสธการเสียสละของผู้กบฏ “เพราะชนชาตินี้เข้ามาใกล้ด้วยปากของเขา และให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขา แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา เขานมัสการเราเหมือนเป็นระเบียบของมนุษย์ที่จำกันมา...” (อิสยาห์ 29:13) ภายนอกพวกเขาดูเหมือนเป็นผู้นมัสการ พวกเขาพูดถ้อยคำที่ดีและทำตามระบอบพิธีอย่างถูกต้อง แต่ภายในใจของพวกเขาห่างไกลพระเจ้า การนมัสการที่แท้จริงคือการนอบน้อมด้วยความยำเกรงจากใจ

ความจริงเดียวกันนี้ปรากฎในพันธสัญญาใหม่ หญิงชาวสะมาเรียโต้แย้งเกี่ยวกับสถานที่นมัสการทางกายภาพระหว่างเยรูซาเล็มกับภูเขาเกริซิม พระเยซูชี้ไปที่สถานที่นมัสการในฝ่ายวิญญาณคือหัวใจ “พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” (ยอห์น 4:24) การนมัสการที่แท้จริงจำเป็นต้องยอมจำนนต่อพระเจ้า

การนมัสการที่แท้จริงย่อมยำเกรงผู้ที่รับการนมัสการ ในบางคริสตจักร การนมัสการไม่ตระหนักถึงความยำเกรงพระเจ้า อย่างที่เราเห็นในคำนิยามต่อจากนี้ การนมัสการรวมถึงการเฉลิมฉลอง แต่การนมัสการคือความยำเกรงพระเจ้าด้วย นี่ไม่ได้หมายความว่ามีเพียงรูปแบบเดียวในการนมัสการอย่างถูกต้องเหมาะสม อย่างไรก็ตาม คำนิยามอย่างแรกเตือนให้เรารู้ว่าเมื่อเราตัดสินใจปฏิบัติเกี่ยวกับการนมัสการ เราต้องถามว่า “ฉันกำลังแสดงความเคารพต่อพระเจ้าที่ฉันนมัสการไหม?”

การนมัสการคือการปรนนิบัติรับใช้

ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน (โรม 12:1)

พระคัมภีร์ข้อนี้เชื่อมโยงการนอบน้อมด้วยความยำเกรงเข้ากับชีวิตประจำวันของเรา การปรนนิบัติรับใช้หรือการนมัสการของเราจะเป็นที่ยอมรับต่อพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเรายอมจำนนตัวเองเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตเท่านั้น การประชุมเป็นประจำที่คริสตจักรเป็นสิ่งสำคัญ คริสตจักรยุคแรกให้คุณค่าแก่การมานมัสการร่วมกัน[2] อย่างไรก็ตาม การนมัสการไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อการประชุมร่วมกันได้จบลง การนมัสการที่แท้จริงส่งผลกระทบต่อทุกด้านในชีวิต

การนมัสการคือการสรรเสริญ

คำว่าสรรเสริญถูกใช้ในพระธรรมสดุดีมากกว่า 130 ครั้ง มีสามคำฮีบรูที่ถูกแปลเป็น “สรรเสริญ” คำแรกคือ halal ให้แนวคิดเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองหรือโอ้อวด คำที่สองคือ yadah หมายถึงสรรเสริญ ขอบพระคุณ หรือสารภาพ คำที่สามคือ zamar หมายถึง “ขับร้อง” หรือ “ร้องสรรเสริญ”

คำเหล่านี้โดยเฉพาะคำว่า halal เป็นการนำเสนอถึงความยินดีในการนมัสการ คำว่า halal คือคำที่คนยิวใช้เพื่อโอ้อวดใครบางคน ในการนมัสการ เราโอ้อวดพระเจ้า ในการนมัสการเราเฉลิมฉลองความดีงามของพระองค์ ในการนมัสการเราชื่นชมยินดีในความยิ่งใหญ่ของพระองค์

การนมัสการที่แท้จริงเคารพยำเกรงพระเจ้า อย่างไรก็ตาม การนมัสการที่แท้จริงก็เฉลิมฉลองพระเจ้าด้วย! ในการนมัสการ เราชื่นชมยินดีในความดีงามของพระเจ้า ในบทที่ 6 เราจะศึกษาบทบาทของดนตรีในการนมัสการ ดนตรีสำคัญในการนมัสการเพราะดนตรีเปิดทางให้กับคนที่ประชุมร่วมเฉลิมฉลองและสรรเสริญพระเจ้า

การนมัสการคือการสามัคคีธรรม

การนมัสการคือการสามัคคีธรรมระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ การนมัสการยังเกี่ยวข้องกับการสามัคคีธรรมระหว่างผู้นมัสการ คำกรีก (koinonia) ที่หมายถึงการสามัคคีธรรมหรือแบ่งปันนี้ มักใช้ในบริบทของการนมัสการ คริสเตียนทั้งหลายอุทิศตนต่อคำสอนของอัครทูตและในการสามัคคีธรรม (koinonia) ในการหักขนมปังและอธิษฐาน (กิจการ 2:42) ในฐานะผู้เชื่อเราได้รับการเรียกให้เข้าในการสามัคคีธรรม (koinonia) แห่งพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (1 โครินธ์ 1:9)

ภาพตัวอย่างที่จะทำให้เข้าใจการนมัสการว่าเป็นดั่งการสามัคคีธรรมนั่นคือภาพของตรีเอกานุภาพ อย่างเดียวกันกับที่แต่ละพระภาคของพระเจ้าสัมพันธ์กันในการสามัคคีธรรม เราก็สัมพันธ์กันและสัมพันธ์กับพระเจ้าในการนมัสการ ในคำอวยพรที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการบนโลกนี้ต่อตรีเอกานุภาพที่เป็นนิรันดร์ เปาโลได้เขียนเอาไว้ว่า “ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ความรักของพระเจ้า และการมีส่วนกันที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายทุกคนเถิด” (2 โครินธ์ 13:14) เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เราก็มีส่วนร่วมโดยผ่านทางพระวิญญาณในการเป็นหนึ่งเดียวกันของพระบุตรกับพระบิดา[3] ในการนมัสการ เราพบกับการสามัคคีธรรมอันรุ่งโรจน์ของตรีเอกานุภาพ การนมัสการของเราบนโลกนี้เป็นแบบจำลองของการเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ของตรีเอกานุภาพ

การนมัสการตามแบบตรีเอกานุภาพเป็นประสบการณ์แห่งพระคุณ ไม่ใช่การงานต่าง ๆ การนมัสการเกิดขึ้นได้ผ่านทางมหาปุโรหิตคือพระเยซูคริสต์ พระองค์เอาการนมัสการที่ไม่สมควรของเราไปชำระให้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิและริ้วรอยใด ๆ แล้วจึงนำเสนอต่อพระบิดา การนมัสการของเราจึงเป็นที่ยอมรับต่อพระบิดาเพื่อเห็นแก่พระเยซู และเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูในชีวิตของพระองค์ที่อยู่ในพระวิญญาณ

เรานมัสการไม่ใช่เพราะเป็นการทำให้พระเจ้าโปรดปราน แต่โดยผ่านทางพระคุณเราจึงได้รับสิทธิพิเศษให้มีส่วนร่วมในการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า

ความจำกัดในการ koinonia ของเราวันนี้ (การสามัคคีธรรมกับพระเจ้าในการนมัสการและสามัคคีธรรมร่วมกับผู้เชื่อคนอื่น) เป็นการชิมรสชาติของการนมัสการในสวรรค์ ในฐานะผู้นมัสการ เราแสวงหาการสามัคคีธรรมร่วมกับเพื่อนผู้เชื่อเพราะการนมัสการบนโลกนี้เป็นการฝึกซ้อมสำหรับการนมัสการในนิรันดร์กาล

การนมัสการเกี่ยวข้องกับชีวิตทั้งหมด

อีกคำที่ใช้สำหรับการนมัสการในพันธสัญญาใหม่ บางครั้งแปลเป็นคำว่า “ธรรมะ”[4]

ถ้าใครคิดว่าตัวเองเป็นคนมีธรรมะแต่ไม่ได้ควบคุมลิ้นของตน เขาก็หลอกลวงจิตใจของตนเอง และธรรมะของคนนั้นก็ไม่มีประโยชน์ ธรรมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพระบิดานั้น คือการช่วยเหลือเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก (ยากอบ 1:26-27)

คำนี้แสดงให้เห็นว่าการนมัสการไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในวันอาทิตย์ การนมัสการในพระคัมภีร์รวมทั้งชีวิตไว้ด้วย การประชุมนมัสการเป็นการแสดงถึงจุดมุ่งหมายของการนมัสการ แต่ลำพังแค่การประชุมนมัสการก็ยังไม่เพียงพอ เราต้องรักษารูปแบบชีวิตในการนมัสการ การนมัสการร่วมกันประจำสัปดาห์ต้องปรากฎให้เห็นในชีวิตประจำวันของเรา

การนมัสการที่แท้จริงเห็นได้จากการยอมจำนนต่อพระเจ้าในทุก ๆ วัน ยากอบแสดงให้เห็นว่าถ้าหากข้าพเจ้าร้องเพลงสรรเสริญในวันอาทิตย์ แต่ไม่ควบคุมลิ้นของตัวเองในวันจันทร์ การนมัสการของข้าพเจ้าก็ไม่สมบูรณ์ การนมัสการที่บริสุทธิ์ไร้มลทินรวมถึงการรับใช้ในทางปฏิบัติ (การเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าและหญิงม่าย) และการเชื่อฟังในชีวิตประจำวัน (รักตัวเองให้พ้นจากราคีของโลก)

ในอิสยาห์ 6 ผู้เผยพระวจนะเห็นนิมิตเกี่ยวกับพระบัลลังก์ของพระเจ้า การรับใช้ของอิสยาห์ในฐานะผู้เผยพระวจนะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากประสบการณ์ครั้งนี้ อิสยาห์ได้ยินองค์พระผู้เป็นเจ้าถามว่า “เราจะใช้ผู้ใดไป และผู้ใดจะไปแทนเรา?” จากนั้นอิสยาห์ตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ขอใช้ข้าพเจ้าไปเถิด” (อิสยาห์ 6:8) การนมัสการที่แท้จริงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราและทำให้เราเต็มใจเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่เกิดผล

► อ่าน มาลาคี 1:6-9, 1 ซามูเอล 13:8-14, เลวีนิติ 10:1-3, และ กิจการ 5:1-11 พระคัมภีร์ตอนเหล่านี้สอนอะไรเกี่ยวกับการนมัสการ?


[1]คำฮีบรูคือ shachah แปลว่า “นมัสการ” “ก้มกราบ” “ล้มตัวลง” หรือ “ยำเกรง” คำกรีกคือ proskuneo แปลว่า “นมัสการ” หรือ “ก้มกราบ” ในพันธสัญญาใหม่
[2]การมานมัสการร่วมกันเป็นคำสั่งในพระคัมภีร์ เช่นใน ฮีบรู 10:25 การมานมัสการร่วมกันปรากฏในพระคัมภีร์อย่างเช่นใน กิจการ 2:46-47
[3]James B. Torrance, Worship, Community, and the Triune God of Grace (Downers Grove: InterVarsity Press, 1996), 20-21
[4]คำกรีกมักหมายถึงลักษณะภายนอกของการนมัสการ ในกิจการ 26:5, โคโลสี 2:18, และยากอบ 1:26-27

ทำไมการนมัสการจึงสำคัญ?

เอ ดับบลิว โทเซอร์ (A.W. Tozer) เรียกการนมัสการว่าเป็น “อัญมณีที่หายไป” จากคริสตจักรสมัยใหม่ เขาบอกว่าเรารู้วิธีการเทศนา รู้วิธีการประกาศ และรู้ว่าจะสามัคคีธรรมกันอย่างไร แต่เรากลับล้มเหลวในการนมัสการ เราดูนักเทศน์เทศนา เราฟังนักร้องประสานเสียง ทีมสรรเสริญ หรือศิลปินเดี่ยวร้องเพลง เราถวายเงิน แต่เรามักล้มเหลวในการนมัสการที่แท้จริง เรายอมให้กิจกรรมมาแทนที่การนมัสการที่แท้จริง

การนมัสการควรสำคัญต่อเราเพราะการนมัสการสำคัญต่อพระเจ้า

► อ่าน อพยพ 20:1-5 เพื่อเห็นความสำคัญที่พระเจ้าให้ต่อการนมัสการ

พระบัญญัติสองประการแรกเกี่ยวข้องกับการนมัสการ พระบัญญัติประการแรกบอกเราว่าใครคือผู้ที่เรานมัสการ “ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา” (อพยพ 20:3) พระบัญญัติประการที่สองบอกว่าเราจะนมัสการอย่างไร “ห้ามทำรูปเคารพสำหรับตน” (อพยพ 20:4) จากนั้นข้อสุดท้ายของอพยพบทที่ 20 พระเจ้ากลับมาที่เรื่องการนมัสการ ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้สอนชนอิสราเอลถึงวิธีสร้างแท่นบูชาและวิธีขึ้นไปยังแท่นนั้นด้วยความเคารพให้เกียรติ

► อ่าน อพยพ 20:23-26 การนมัสการสำคัญสำหรับพระเจ้า!

การนมัสการมีบทบาทสำคัญในพระคัมภีร์ ในอพยพและเลวีนิติให้คำสั่งที่เจาะจงสำหรับการนมัสการของชนอิสราเอล ในสดุดีจัดเตรียมหนังสือเพลงสำหรับการนมัสการ ในพระกิตติคุณ เราเห็นผู้คนก้มลงกราบนมัสการพระเยซู

► อ่าน มัทธิว 2:11, มัทธิว 8:2, มัทธิว 9:18, มัทธิว 14:33, มัทธิว 15:25, มัทธิว 28:17

ในกิจการ คริสตจักรรวมตัวกันเพื่อนมัสการ[1] ในจดหมายฝากของเปาโล เขากล่าวถึงการนมัสการที่ปฏิบัติในคริสตจักร (1 โครินธ์ 11 และ 1 ทิโมธี 2) ในวิวรณ์เปิดเผยให้เราเห็นภาพการนมัสการชั่วขณะหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วตรงที่พระบัลลังก์ของพระเจ้าในสวรรค์ การนมัสการบนโลกเป็นการซ้อมสำหรับการนมัสการในสวรรค์ (วิวรณ์ 4-5) การนมัสการสำคัญสำหรับพระเจ้า

การนมัสการสำคัญเพราะในการนมัสการเรามองเห็นพระเจ้า

► อ่าน อิสยาห์ 6:1-8 อภิปรายร่วมกันถึงประสบการณ์ของอิสยาห์ในพระวิหาร

อิสยาห์บทที่ 6 ให้ภาพที่สำคัญในการนมัสการตามหลักการพระคัมภีร์ โดยแสดงให้เห็นว่าเรามองเห็นพระเจ้าได้ในการนมัสการ ในพระวิหาร อิสยาห์ได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นที่ยกย่อง

ความจริงนี้ถูกกล่าวซ้ำตลอดทั้งพระคัมภีร์ เมื่อยอห์นนมัสการในสมัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาได้เห็นนิมิตเกี่ยวกับสวรรค์ (วิวรณ์ 1:10) เมื่อเปาโลและสิลาสนมัสการด้วยคำอธิษฐานและบทเพลง พระเจ้าสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ (กิจการ 16:25-26) ดาวิดอดทนต่อความทุกข์ทรมานจนทำให้เขาร้องออกมาว่า “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (สดุดี 22:1) ในท่ามกลางความทุกข์ทรมานของเขา ดาวิดเห็นพระเจ้าผ่านทางการนมัสการและสรรเสริญ “ถึงอย่างไร พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ ผู้ประทับเหนือคำสรรเสริญของคนอิสราเอล” (สดุดี 22:3) ในการนมัสการ เรามองเห็นพระเจ้า

การนมัสการสำคัญเพราะในการนมัสการเรามองเห็นตัวเองและได้รับการเปลี่ยนแปลง

ในพระวิหาร อิสยาห์ไม่เพียงเห็นพระเจ้าเป็นที่ยกย่อง เขามองเห็นตัวเองด้วย เมื่ออิสยาห์มองเห็นพระเจ้าบนบัลลังก์ เขาร้องอุทานออกมาว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาด” (อิสยาห์ 6:5) การนมัสการที่แท้จริงอนุญาตให้เรามองเห็นตัวเองเหมือนที่พระเจ้ามองเห็นเรา

นี่คือเหตุผลที่พิธีนมัสการตามประเพณีจึงได้รวมคำอธิษฐานสารภาพบาปเข้าไว้ด้วย คำอธิษฐานสารภาพบาปไม่ได้กล่าวว่า “เราได้กบฏต่อกฎบัญญัติของพระเจ้าและทำบาปด้วยความตั้งใจ” แต่คำอธิษฐานสารภาพบาปตระหนักว่า “แม้แต่จิตใจที่บริสุทธิ์ที่สุดของมนุษย์ก็ยังเป็นมลทินเมื่อเทียบกับความบริสุทธิ์อย่างแท้จริงของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ เราต้องการพระคุณของพระเจ้าอยู่เสมอ”

ในการนมัสการ เราเห็นตัวเราเองผ่านทางสายตาของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ถ้าหากไม่มีการนมัสการแล้ว สายตาที่มองดูนี้จะเป็นประสบการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว อย่างไรก็ตาม เพราะเราได้เห็นพระเจ้าแล้ว เราจึงได้รับการชำระให้สะอาด ไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะเราได้เห็นพระเจ้าและพระคุณของพระองค์แล้ว เราจึงเห็นตัวเองอย่างโปร่งใส ยอมรับว่าเราต้องการพระองค์ และร้องขอพระคุณของพระองค์ในชีวิตของเรา

การนมัสการเปิดเผยให้เห็นว่าเราเป็นใคร แต่ไม่ได้ปล่อยให้เราอยู่กับการค้นพบตัวเองแบบนั้น ในแสงสว่างแห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้า อิสยาห์มองเห็นตัวเองว่าเป็นมลทิน แต่แทนที่สิ่งนี้จะทำให้สิ้นหวัง การนมัสการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

แล้วองค์หนึ่งในพวกเสราฟิมบินมาหาข้าพเจ้า ในมือมีถ่านเพลิงซึ่งท่านเอาคีมคีบมาจากแท่นบูชา และท่านแตะต้องปากของข้าพเจ้าพูดว่า “นี่แน่ะ สิ่งนี้ได้แตะต้องริมฝีปากของเจ้าแล้ว ความผิดของเจ้าก็ถูกขจัด และบาปของเจ้าก็ได้รับการลบล้าง” (อิสยาห์ 6:6-7)

อิสยาห์ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยการเผชิญหน้ากับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์

การนมัสการที่แท้จริงเปลี่ยนผู้นมัสการคือ อิสยาห์ที่อยู่ในพระวิหาร หญิงชาวสะมาเรียข้างบ่อน้ำ พวกสาวกที่บนภูเขาซึ่งมีการจำแลงพระกาย การเผชิญหน้ากับพระเจ้าเปลี่ยนแปลงผู้นมัสการ[2]

การนมัสการสำคัญเพราะในการนมัสการเรามองเห็นโลกรอบตัวของเรา

ในการนมัสการ อิสยาห์ได้เห็นพระเจ้า เขามองเห็นตัวเอง เขาเห็นความจำเป็นที่มีในโลกรอบตัวของเขา “ข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางชนชาติที่ริมฝีปากไม่สะอาด” (อิสยาห์ 6:5) อิสยาห์ตอบสนองด้วยการพูดว่า “ข้าพระองค์อยู่นี่ ขอทรงใช้ข้าพระองค์เถิด” (อิสยาห์ 6:8) ในการนมัสการที่เราได้รับการเสริมสร้างเพื่อการรับใช้ที่เกิดผลต่อโลกรอบตัวที่ขัดสนนี้

ก่อนหน้านี้ เราเห็นว่าการนมัสการที่แท้จริงมีผลกระทบต่อชีวิตทุกด้าน บางคริสตจักรได้แยกการนมัสการออกจากการประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาพูดว่า “จุดเน้นของคริสตจักรของเราคือการประกาศ บางคริสตจักรอาจมีจุดเน้นที่การนมัสการ” หรือพวกเขาพูดว่า “เป้าหมายของเราคือการนมัสการ เราจะให้การประกาศข่าวประเสริฐและการทำมิชชันเป็นงานของคนอื่น” นี่แสดงให้เห็นถึงการเข้าใจผิดเรื่องการนมัสการ ในการนมัสการนั้น เรายอมให้พระเจ้าเปิดเผยถึงความจำเป็นต่าง ๆ ที่มีในโลกรอบตัวเรา การนมัสการที่แท้จริงจะส่งผลเป็นการประกาศข่าวประเสริฐ

การนมัสการที่แท้จริงเปิดเผยถึงความจำเป็นของอิสยาห์ และเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยการนมัสการ การนมัสการที่แท้จริงเปิดเผยความจำเป็นที่มีในโลกรอบตัวของอิสยาห์ และเขาอุทิศตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก ในการนมัสการเราได้รับภาระใจเพื่อรับใช้โลกรอบตัวของเรา การตอบสนองที่จำเป็นต่อการนมัสการที่แท้จริงคือ “ข้าพระองค์อยู่นี่ ของทรงใช้ข้าพระองค์เถิด”

ออสวาร์ด แชมเบอร์ส (Oswald Chambers) เตือนคนทั้งหลายที่คาดหวังว่าจะเป็นมิชชันนารี “ถ้าคุณไม่นมัสการในโอกาสต่าง ๆ ของทุกวัน เมื่อคุณมีส่วนในงานของพระเจ้า คุณจะไม่เพียงทำตัวเองให้ไร้ประโยชน์แต่ยังเป็นอุปสรรคขวางกั้นคนรอบตัวคุณด้วย”[3]

แชมเบอร์สตระหนักถึงความสำคัญของการนมัสการว่าเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อการรับใช้อย่างเกิดผล ในการนมัสการนั้น พระเจ้าเปิดเผยความจำเป็นที่มีในโลกรอบตัวเราและเตรียมเราให้พร้อมต่อการตอบสนองความจำเป็นเหล่านั้น

การนมัสการสำคัญเพราะการล้มเหลวในการนมัสการแยกเราออกจากพระเจ้า

► อ่าน โรม 1:18-25 การนมัสการเทียมเท็จกับความบาปมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร?

ในช่วงเริ่มต้นของพระธรรมโรม เปาโลแสดงให้เห็นถึงสาเหตุที่มนุษย์ต้องรับโทษต่อหน้าพระเจ้า เขาแสดงให้เห็นว่าการล้มลงของมนุษย์เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการปฏิเสธที่จะนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ สังเกตกระบวนการที่เปาโลอธิบายไว้ใน โรม 1:21-25:

1. พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้า “เพราะถึงแม้ว่าเขาได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือขอบพระคุณพระองค์” (โรม 1:21) “เพราะว่าเขาได้เอาความจริงเรื่องพระเจ้ามาแลกกับความเท็จ ทั้งนมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง” (โรม 1:25)

2. ผลที่ได้คือ “…แต่พวกเขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป ในการอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขากลายเป็นคนโง่เขลาไป และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตาย หรือรูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน” (โรม 1:21-23)

3. ในการพิพากษา “พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติการโสโครกตามราคะตัณหาในใจของเขา…” (โรม 1:24)

เปาโลแสดงให้เห็นว่าการที่มนุษย์ล้มลงสู่ความโง่เขลา ความเสื่อมทราม และตัณหาเป็นผลมาจากการที่ผู้คนปฏิเสธที่จะนมัสการพระเจ้า พวกเขาไม่ได้นมัสการพระเจ้า พวกเขาบูชาและปรนนิบัติสิ่งที่ถูกสร้างมากกว่านมัสการพระผู้สร้าง

ทุกคนล้วนนมัสการ คริสเตียนนมัสการพระเจ้า มุสลิมนมัสการพระอัลเลาะห์ คนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าก็นมัสการสติปัญญาของตัวเอง ทุกคนล้วนนมัสการ ถ้าหากเราปฏิเสธที่จะนมัสการพระผู้สร้าง เราก็จะนมัสการสิ่งที่ถูกสร้าง

การนมัสการสำคัญ การนมัสการที่แท้จริงต่อพระเจ้าเที่ยงแท้เปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระฉายของพระองค์ การนมัสการพระเทียมเท็จจะเปลี่ยนเราให้เหมือนพระนั้น เราจะเป็นเหมือนสิ่งใดก็ตามที่เรานมัสการ


[1]คริสเตียนในยุคแรกยังคงนมัสการที่พระวิหารและธรรมศาลา (กิจการ 2:46-47, กิจการ 3:1-11, กิจการ 5:12, 21, 42) นอกจากนั้น คริสเตียนยังพบกันในบ้านเพื่ออธิษฐาน สอน และสามัคคีธรรม เหล่านี้คือแง่มุมต่าง ๆ ของการนมัสการ (กิจการ 2:46-47, กิจการ 4:31, กิจการ 5:42)
[2]

“เข้าไปเพื่อนมัสการ -
ออกไปเพื่อรับใช้”

- ป้ายติดที่ประตู
คริสตจักรแห่งหนึ่ง

[3]Oswald Chambers, My Utmost for His Highest, (รายการอ้างอิง 10 กันยายน) ข้อมูลจาก https://utmost.org/missionary-weapons-1/ on July 21, 2020

เป้าหมายสามประการในการนมัสการ

มาร์วา ดอนน์ (Marva Dawn) กำหนดเป้าหมายสามประการของการนมัสการที่แท้จริง[1] ในการนมัสการเราจะ...

(1) ในการนมัสการ เราพบพระเจ้า

การประชุมนมัสการใด ๆ ที่ไม่ได้นำเราไปถึงพระเจ้าก็ไม่ใช่การนมัสการที่แท้จริง นี่ไม่ได้หมายความว่าการนมัสการทุกครั้งจะต้องเร้าใจและเคลื่อนไหวทางอารมณ์ และก็ไม่ได้หมายความว่าทุกการประชุมจะมีการนมัสการตรงตามหัวข้อที่กำหนด แต่ในทุกการประชุมนมัสการ เราควรพบตัวเองอยู่ในการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า ซึ่งอาจผ่านทางการได้รับความจริงจากคำเทศนา อาจผ่านการอ่านพระวจนะของพระเจ้า หรืออ่านผ่านทางบทเพลงสรรเสริญพระเจ้า หรืออาจเป็นช่วงเวลาของการอธิษฐานที่เราได้รับกำลังเพื่อเดินไปกับพระเจ้า โดยทางใดทางหนึ่ง การประชุมนมัสการควรนำเราให้พบพระเจ้า

(2) ในการนมัสการ เราสร้างคุณลักษณะชีวิตคริสเตียน

ในการนมัสการ เราเห็นตัวเราเองและเราได้รับการเปลี่ยนแปลง ในการนมัสการ เราเรียนรู้ความจริงที่หล่อหลอมคุณลักษณะชีวิตคริสเตียนของเรา เมื่อเรานมัสการพระเจ้า คุณลักษณะชีวิตของเราได้รับการสร้างใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อจะเป็นเหมือนพระฉายของพระองค์ เราจะเป็นเหมือนสิ่งใดก็ตามที่เรานมัสการ

(3) ในการนมัสการ เราสร้างชุมชนคริสเตียน

ในการนมัสการ เรามองเห็นโลกรอบตัวเราและอุทิศตัวเราเพื่อรับใช้ด้วยการตอบสนองต่อความจำเป็นที่มีในโลกนั้น เมื่อเราทำสิ่งนี้ คริสตจักรก็ถูกเสริมสร้างขึ้น และผู้เชื่อก็เติบโตในทุกด้านสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์ (เอเฟซัส 4:15) การนมัสการที่แท้จริงเป็นอุปกรณ์สำหรับการสร้างชุมชนคริสเตียนที่แท้จริง


[1]Marva Dawn, Reaching Out Without Dumbing Down (Grand Rapids: Eerdmans, 1995)

การนมัสการรูปแบบใดที่พระเจ้ายอมรับ?

► คุณคิดว่าพระเจ้ายอมรับการนมัสการในรูปแบบใด?

พระเยซูบอกหญิงชาวสะมาเรียว่า ผู้นมัสการที่แท้จริงจะนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยอห์น 4:23-24) มีการนมัสการที่แท้จริงที่พระเจ้ายอมรับ ซึ่งให้ความหมายเป็นนัยด้วยว่ามีการนมัสการเทียมเท็จที่พระเจ้าไม่ยอมรับ[1]

ผู้นำนมัสการมักถามว่า “การนมัสการของเราเคลื่อนคนในที่ประชุมไหม? การนมัสการของเราทำให้ผู้คนชื่นชอบไหม?” พระคัมภีร์แสดงให้เราเห็นคำถามที่สำคัญมากกว่านั้นคือ “การนมัสการของเราถวายเกียรติแด่พระเจ้าไหม? เรานมัสการพระเจ้าตามที่พระองค์ต้องการไหม? พระเจ้ายอมรับการนมัสการของเราไหม?”

การนมัสการที่พระเจ้าปฏิเสธ

พระเจ้าไม่ยอมรับการนมัสการที่โง่เขลา

หญิงชาวสะมาเรียไม่รู้ว่าเธอนมัสการอะไร (ยอห์น 4:22) ที่เอเธนส์ เปาโลเห็นผู้คนที่นมัสการพระเจ้าที่พวกเขาไม่รู้จัก (กิจการ 17:23)

ในบทที่ 2 เราจะศึกษาลักษณะธรรมชาติของพระเจ้าผู้ที่เรานมัสการ เมื่อเราไม่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง การนมัสการของเราก็เป็นความโง่เขลา เป็นการนมัสการพระเจ้าที่เราไม่รู้จัก เราเข้าร่วมในพิธีกรรม[2] แต่กลับนมัสการพระเจ้าที่เราไม่รู้จัก การนมัสการต้องเปิดเผยลักษณะธรรมชาติของพระเจ้าให้กับผู้นมัสการ เราต้องร้องเพลงที่พูดถึงลักษณะในด้านต่าง ๆ ของพระเจ้า เราต้องอ่านพระคัมภีร์ที่พูดความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า เราต้องเทศนาคำเทศน์ที่เปิดเผยลักษณะธรรมชาติของพระเจ้า เราต้องไม่ยอมรับการนมัสการพระเจ้าที่เราไม่รู้จัก

พระเจ้าไม่ยอมรับการนมัสการรูปเคารพ

รูปเคารพคือสิ่งใดก็ตามที่มาแทนที่ตำแหน่งอันชอบธรรมของพระเจ้าในฐานะผู้มีสิทธิอำนาจสูงสุดในทุกด้านของชีวิตของเรา ในบางพื้นที่ของโลกนี้ รูปเคารพคือรูปปั้นของเทพเจ้าต่าง ๆ ในบางพื้นที่รูปเคารพคืออาชีพการงาน บัญชีธนาคาร บ้าน และความบันเทิง สิ่งใดก็ตามที่เข้ามาแทนที่พระเจ้าในชีวิตของเรา สิ่งนั้นคือรูปเคารพ ถ้าหากเราไปคริสตจักรวันอาทิตย์ แต่กลับยอมให้สิ่งอื่น ๆ มีสิทธิอำนาจสูงสุดในการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เราก็กำลังปรนนิบัติรูปเคารพ

พระเจ้าไม่ยอมรับการนมัสการที่ไม่คู่ควรต่อพระองค์

► ยกตัวอย่างการนมัสการที่ไม่คู่ควรต่อพระองค์

ผู้เผยพระวจนะมาลาคีเตือนว่าการนมัสการของอิสราเอลกลายเป็นสิ่งที่ผิดต่อพระเจ้า พวกเขาท้วงว่า “เราทำผิดต่อพระเจ้าอย่างไรหรือ?” มาลาคีตอบว่า...

“เมื่อเจ้านำสัตว์ตาบอดมาเป็นสัตวบูชา การทำอย่างนั้นไม่ผิดหรือ? และเมื่อเจ้าถวายสัตว์ที่พิการหรือป่วย การทำอย่างนั้นไม่ผิดหรือ? พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า ถ้าพวกเจ้านำของอย่างนั้นไปกำนัลผู้ว่าราชการของพวกเจ้าดู เขาจะพอใจเจ้าหรือ? จะแสดงความชอบพอต่อเจ้าไหม?” (มาลาคี 1:8)

พวกเขาจะไม่เอาสัตว์พิการมาเป็นของกำนัลให้กับผู้ว่าราชการของพวกเขา แต่พวกเขานำสัตว์พิการมาเป็นเครื่องบูชาถวายพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล

บางคนเชื่อว่าแง่มุมภายนอกของการนมัสการนั้นไม่สำคัญเพราะพระเจ้ามองดูที่ใจ เป็นความจริงที่พระเจ้ามองดูที่ใจ แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดพระคัมภีร์บอกอย่างชัดเจนว่าแง่มุมภายนอกของการนมัสการนั้นสำคัญต่อพระเจ้า ในอพยพและเลวีนิติให้คำสั่งที่เป็นรายละเอียดสำหรับข้อกำหนดของพระเจ้าในการนมัสการ คำสั่งเกี่ยวกับพลับพลานั้นละเอียดแม่นยำ พระเจ้าให้คำสั่งที่เป็นรายละเอียดกี่ยวกับการตัดเย็บเสื้อผ้าสำหรับปุโรหิต ในอพยพบทที่ 39-40 คำว่า “ตามที่พระเจ้าได้บัญชาโมเสส” ถูกกล่าวซ้ำ 13 ครั้งเพื่อแสดงถึงการเชื่อฟังของอิสราเอล รายละเอียดที่เจาะจงในการนมัสการนั้นสำคัญต่อพระเจ้า พระองค์ประสงค์สิ่งดีที่สุดจากอิสราเอล

เราถวายการนมัสการที่ไม่คู่ควรต่อพระองค์เมื่อเราให้พระเจ้าน้อยกว่าสิ่งดีที่สุดที่เรามี ถึงแม้ว่าเราไม่ได้นำสัตว์มาเป็นเครื่องบูชาให้กับพระเจ้าอีกแล้ว แต่หลักการเหล่านี้ยังคงมีความสำคัญ คำถามต่าง ๆ ที่ถูกถามในมาลาคี เป็นคำถามที่เราควรถามเกี่ยวกับการนมัสการของเราในปัจจุบันนี้

  • ศิษยาภิบาล: “ฉันได้ใส่ใจมากขึ้นในเตรียมคำเทศนาอย่างละเอียดเหมือนกับผู้ว่าราชการจะมาฟังฉันไหม? ฉันกำลังเอาสัตว์พิการมาเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าหรือเปล่า?”

  • นักดนตรี: “ฉันจะฝึกซ้อมอย่างใส่ใจมากขึ้นเหมือนกับว่าจะมีนักดนตรีที่มีชื่อเสียงมาฟังฉันเล่นด้วยไหม? ฉันกำลังเอาสัตว์พิการมาเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าหรือเปล่า?”

  • ฆราวาส: “ฉันจะฟังคำเทศนานี้ด้วยความใส่ใจมากขึ้นเหมือนกับประธานาธิบดีเป็นผู้กล่าวไหม? ฉันกำลังเอาสัตว์พิการมาเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าหรือเปล่า?”

พระเจ้าไม่ยอมรับการนมัสการที่หยิ่งผยอง

พระเจ้าไม่ยอมรับเครื่องบูชาที่ด้อยกว่าสิ่งดีที่สุดที่เรามี อย่างไรก็ตาม ในทางตรงกันข้ามก็มีอันตรายที่เราต้องหลีกเลี่ยง พระเจ้าไม่ยอมรับเครื่องบูชาจากใจที่หยิ่งผยอง ถึงแม้ว่าเราจะนำสิ่งดีที่สุดมาให้พระเจ้า เราต้องตระหนักด้วยว่าไม่มีสิ่งใดที่เรานำมานั้นจะคู่ควรกับพระเจ้าอย่างแท้จริง ของถวายที่ดีที่สุดของเราเป็นเพียงสัญลักษณ์เล็ก ๆ ถึงสิ่งที่พระเจ้าคู่ควรได้รับ เราเข้ามาในการสถิตอยู่ของพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ อย่าได้มีท่าทีหยิ่งผยองและให้คุณค่าตัวเองสูง

การนมัสการที่พระเจ้ายอมรับ

ถ้าสิ่งที่กล่าวมาแล้วเป็นรูปแบบการนมัสการที่พระเจ้าไม่ยอมรับ แล้วอะไรคือรูปแบบการนมัสการที่พระเจ้ายอมรับ?

การนมัสการที่พระเจ้ายอมรับนั้นจดจ่อที่พระเจ้า

เหมือนในอิสยาห์บทที่ 6 ในวิวรณ์บทที่ 4 ที่เปิดหน้าต่างเข้าในสวรรค์ ในวิวรณ์บทที่ 4 ความสนใจของผู้นมัสการอยู่ที่ผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ การนมัสการที่แท้จริงจดจ่อที่พระเจ้า การนมัสการแท้จริงมุ่งไปที่พระเจ้าในฐานะผู้เดียวที่สมควรแก่การนมัสการ

การนมัสการที่พระเจ้ายอมรับถวายเกียรติอย่างที่พระเจ้าสมควรได้รับ

สดุดี 96:7-8 แสดงให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ของการนมัสการ

โอ ตระกูลของชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงถวายแด่พระยาห์เวห์ จงถวายพระเกียรติและพระกำลังแด่พระยาห์เวห์ จงถวายพระเกียรติซึ่งควรแก่พระนามของพระองค์แด่พระยาห์เวห์ จงนำของถวายมายังบริเวณพระนิเวศของพระองค์

การนมัสการถวายเกียรติอย่างที่พระเจ้าสมควรได้รับ โดยไม่คำนึงถึงเพลงที่เราร้อง ไม่คำนึงถึงอารมณ์ที่เรากระตุ้น หรือการตอบสนองที่เรารับจากผู้ชม การนมัสการที่ไม่ได้นำเกียรติมาให้กับพระเจ้าก็ล้มเหลวในการบรรลุวัตถุประสงค์ของการนมัสการ

วัตถุประสงค์ของการนมัสการ ไม่ใช่การให้ตัวเองได้รับพระพร วัตถุประสงค์ของการนมัสการคือการถวายเกียรติและพระสิริแด่พระเจ้า เมื่อเรานมัสการ เราจะได้รับพระพรบ่อยครั้ง ‒ แต่พระพรของเราไม่ได้เป็นแรงจูงใจสำหรับการนมัสการ แรงจูงใจสำหรับการนมัสการคือการถวายเกียรติแด่พระเจ้า

การตระหนักถึงวัตถุประสงค์สำหรับการนมัสการเปลี่ยนคำถามที่เรามักจะถามเกี่ยวกับการนมัสการ แทนที่จะถามว่า “ฉันชื่นชอบการนมัสการวันนี้ไหม?” แต่เราจะถามว่า “การนมัสการวันนี้ถวายเกียรติพระเจ้าไหม?” เมื่อเราเข้าใจดีขึ้นถึงวัตถุประสงค์สำหรับการนมัสการ เราจะเปลี่ยนจุดสนใจของเราจากตัวเองไปหาพระเจ้า

การนมัสการที่พระเจ้ายอมรับคือการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง

ในบทสนทนาของพระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรียจากพระธรรมยอห์นบทที่ 4 พระองค์บอกหญิงนั้นว่าคนที่นมัสการพระเจ้าต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยอห์น 4:24) นี่คือรูปแบบการนมัสการอย่างถูกต้อง

โดยปกติเมื่อเราพูดถึงรูปแบบการนมัสการ เราจะพูดถึงแนวดนตรี ระเบียบพิธี และเรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับรูปแบบภายนอก คนจำนวนมากรู้สึกผิดหวังเพราะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติในการนมัสการของคริสตจักรในพันธสัญญาใหม่โดยละเอียด ขอให้คิดถึงทุกสิ่งที่เราไม่รู้เกี่ยวกับการนมัสการในพันธสัญญาใหม่

  • เรารู้ว่าพวกเขาร้องเพลงสดุดี เราไม่รู้ว่าพวกเขาใช้โทนเสียงอะไร เราไม่รู้ว่าพวกเขาใช้เครื่องดนตรีอไร เราไม่รู้จักเพลงบทใหม่ที่พวกเขาร้อง

  • เรารู้ว่าพวกเขาอธิษฐาน เราไม่รู้ว่าพวกเขาอธิษฐานเสียงดังหรือไม่ หรือพวกเขาอธิษฐานเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ไหม หรือมีหนึ่งคนที่นำอธิษฐานหรือเปล่า เราไม่รู้ว่าพวกเขาใช้แค่คำอธิษฐานที่เขียนเอาไว้ (สดุดี) เท่านั้นหรือใช้คำอธิษฐานจากใจ

  • เรารู้ว่าพวกเขาเทศนา เราไม่รู้ว่าพวกเขาเทศนานานแค่ไหน พวกเขาเทศนาโดยใช้รูปแบบอะไร หรือไม่รู้ว่าทุกการประชุมมีการเทศนาทุกครั้งหรือเปล่า

นอกเหนือจากพันธสัญญาใหม่และข้อความหนึ่งที่เขียนขึ้นในไม่กี่ทศวรรษต่อมา เรามีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับรูปแบบการนมัสการของคริสตจักรในยุคแรก[3]

สำหรับนักวิชาการ การขาดข้อมูลนี้เป็นเรื่องน่าผิดหวัง อย่างไรก็ตาม บางทีนี่อาจแสดงให้เห็นว่าประเด็นที่เราถือว่าสำคัญที่สุดกลับไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าเห็นว่าสำคัญที่สุด! เมื่อพระเยซูพูดถึงรูปแบบการนมัสการ พระองค์เน้นสองประเด็น คือจิตวิญญาณและความจริง ประเด็นเหล่านี้สำคัญที่สุดสำหรับการนมัสการที่แท้จริง

การนมัสการด้วยจิตวิญญาณ เป็นไปได้หมายถึงจิตวิญญาณของมนุษย์ การนมัสการต้องไม่ใช่พิธีกรรมที่ขาดการเอาใจใส่ การนมัสการวมถึงจิตวิญญาณ นี่คือการนมัสการที่แท้จริงคือมาจากใจ

นี่คือการนมัสการด้วยจิตวิญญาณหรือไม่?
ในปี 1994 คริสตจักรวินยาร์ดในโตรอนโต รายงานถึงการฟื้นฟูที่มีผู้คนหัวเราะ คำรามดุจสิงห์ และ “ส่งเสียงอาเจียน” (อาการอาเจียนอย่างหนักเพื่อชำระทางด้านอารมณ์ให้สะอาด) ในช่วงเวลา “หัวเราะอันบริสุทธิ์” บางครั้งผู้คนก็ไม่สามารถกลั้นหัวเราะหรือร้องไห้ได้ แทนที่จะเน้นการให้พระวจนะของพระเจ้าทำงานอย่างลึกซึ้งในใจของผู้แสวงหา การประชุม “เดอะ โตรอนโต เบลสซิ่ง” กลับแสวงหาเพียงการตอบสนองทางอารมณ์ นี่คือการนมัสการด้วยจิตวิญญาณหรือไม่? นี่ใช่การนมัสการที่แท้จริงไหม?

การนมัสการด้วยความจริงทำงานร่วมกันกับคำสอนจากพระคัมภีร์ ไม่ใช่เพียงความรู้สึกที่ดีหรือการตอบสนองทางอารมณ์ ในฐานะศิษยาภิบาลและผู้นำนมัสการ เราประเมินแต่ละแง่มุมของการนมัสการของเราด้วยการถามคำถามว่า “นี่เป็นความจริงไหม?” ถ้อยคำที่เราเทศนา ถ้อยคำที่เราร้องเป็นเพลง และถ้อยคำที่เราอธิษฐานต้องสัตย์ซื่อต่อพระคัมภีร์ พระเจ้าไม่ประทับใจกับถ้อยคำไร้สาระ พระองค์มองหาการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยอห์น 4:24)

นี่ใช่การนมัสการด้วยความจริงไหม?
ศิษยาภิบาลบิลล์ เข้าใจถึงความสำคัญของดนตรีในการนมัสการ เขาซาบซึ้งกับบทเพลงดั้งเดิม แต่เขาก็เปิดใจรับบทเพลงใหม่ด้วย บทเพลงที่นิยมในคริสตจักรมากมายสอนว่าผู้เชื่อยังคงตกอยู่ในความบาปโดยเจตนาและแสวงหาการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ บทเพลงนั้นไม่ได้สัญญาถึงชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะเลย ขณะฟังเพลงนั้น บิลล์พูดว่า “บทเพลงนี้ไม่ตรงกับพระคัมภีร์ แต่มันเป็นเพียงบทเพลง ผู้คนชอบฟังดนตรี เนื้อหาไม่สำคัญ” นี่ใช่การนมัสการด้วยความจริงหรือไม่?

[1]บางส่วนของตอนนี้ดัดแปลงมาจาก David Jeremiah. Worship. (CA: Turning Point Outreach, 1995), 20-24
[2]พิธีกรรมคือแผนงานที่ใช้ในช่วงที่มีการนมัสการอย่างเปิดเผย พิธีกรรมสามารถจัดโครงสร้างเป็นคำสั่งแบบลักษณ์อักษร สามารถดำเนินอย่างไม่เป็นทางการซึ่งไม่มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรให้กับผู้นมัสการได้ด้วย ในหลักสูตรนี้คำว่า “พิธีกรรม” จะหมายถึงแผนงานใดที่มีไว้สำหรับการนมัสการ บางคนวิจารณ์พิธีกรรมทุกอย่างโดยเสนอว่าการนมัสการที่วางแผนไว้ไม่ได้เป็นการนมัสการที่แท้จริง เราจะใช้คำว่า “พิธีกรรม” ในลักษณะแบบทั่วไป การนมัสการที่วางแผนไว้อาจว่างเปล่า หรืออาจเต็มไปด้วยการสถิตอยู่ของพระเจ้าก็ได้
[3]ดิดาเค (Didache) (คำสอน) เป็นข้อความสั้น ๆ ที่มาจากปลายศตวรรษที่ 1 หรือต้นศตวรรษที่ 2 ดิดาเคประกอบไปด้วยคำสอนเรื่องจริยธรรมคริสเตียน พิธีในคริสตจักร และองค์กรคริสตจักร

การนมัสการที่อันตราย: การแทนที่การนมัสการที่แท้จริง

พระเยซูพูดถึงการนมัสการที่แท้จริง ถ้าหากมีการนมัสการแท้จริง ก็จะมีการนมัสการเทียมเท็จ มาร์ติน ลูเธอร์ มักกล่าวถึงภาษิตของคนเยอรมันว่า “พระเจ้าสร้างคริสตจักรที่ไหน ซาตานก็สร้างวิหารข้าง ๆ” ซาตานชอบส่งเสริมให้เราเอาแนวคิดเทียมเท็จมาแทนที่การนมัสการที่แท้จริง เรามักจะยอมให้การนมัสการเป็นไปตามความต้องการของวัฒนธรรมแทนที่จะเป็นไปตามความต้อกงารของพระเจ้าที่เรานมัสการ อะไรบ้างที่มาแทนที่การนมัสการแท้จริง?

การนมัสการแบบแม็คเวอร์ชิพ (McWorship)

แมคเวอร์ชิพ (McWorship) คือการนมัสการที่มุ่งเน้นความสะดวกสบายส่วนตัว แทนที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย ในโลกนี้มีแมคโดนัลด์ 35,000 สาขา ในแต่ละวันมีลูกค้า 68 ล้านคนกินแมคโดนัลด์ นี่ไม่ใช่เพราะแมคโดนัลด์นำเสนออาหารที่ดีที่สุดพร้อมกิน ไม่ใช่เพราะนำเสนออาหารลดน้ำหนักแปลกใหม่ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่เพราะแมคโดนัลด์นำเสนอความสะดวกสบาย พร้อมกับบรรยากาศที่รื่นรมย์สนุกสนาน ในการนมัสการแบบแมคเวอร์ชิพนั้น เราจะคำนึงถึงแต่ความสะดวกสบาย ง่าย ๆ และสนุกสนาน

แมคโดนัลด์กับแมคเวอร์ชิพชี้วัดความสำเร็จจากจำนวน แมคโดนัลด์อวดว่า “มีมากกว่า 300 พันล้านคนที่ได้รับการบริการ” แมคเวอร์ชิพอวดว่า “เราเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว 17%” การเน้นจำนวนมากกว่าทางของพระเจ้ากลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ

มีความต้องการไม่กี่อย่างสำหรับผู้นมัสการแบบแมคเวอร์ชิพ แมคเวอร์ชิพนำเสนอดนตรีไพเราะ นักพูดที่ให้ความบันเทิง และแพ็กเกจที่ดึงดูดในราคาไม่แพง แมคเวอร์ชิพดึงดูดฝูงชน แต่อาหารฝ่ายวิญญาณมักจะว่างเปล่าและไม่ได้ส่งเสริมสุขภาพฝ่ายวิญญาณ การแสวงหาเพื่อดึงดูดผู้คนให้มาหาข่าวประเสริฐย่อมเป็นเรื่องดี แต่แมคเวอร์ชิพไม่ใช่การนมัสการที่แท้จริง

การนมัสการแบบพิพิธภัณฑ์

บรรยากาศในพิพิธภัณฑ์ตรงกันข้ามกับบรรยากาศในร้านแมคโดนัลด์ ในพิพิธภัณฑ์ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ประเพณีเป็นอย่างมาก ผู้คนให้ความเคารพในขณะที่ดูนิทรรศการ พิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ไม่เน้นการมีส่วนร่วมและความมุ่งมั่นของส่วนบุคคล คุณไม่ได้รับเชิญให้วาดภาพของคุณเองบนผนังของพิพิธภัณฑ์ศิลปะลูฟวร์!

ในการนมัสการแบบพิพิธภัณฑ์ เราจะคำนึงถึงแต่ประเพณีและรูปแบบ เราร้องเพลงที่คริสตจักรเคยร้องเสมอ ๆ เราภูมิใจในตัวเองที่สัตย์ซื่อรักษาประเพณีเอาไว้ แต่มันเป็นไปได้ที่ผู้คนจะมาเข้าร่วมสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่าโดยไม่ได้อุทิศตัวตามความประสงค์ของพระเจ้า เป็นไปได้ที่จะมาเข้าคริสตจักรทุกวันอาทิตย์และชมนิทรรศการ (คำเทศนา บทเพลง การอธิษฐาน) โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงชีวิต การเห็นคุณค่าของมรดกสืบทอดเป็นเรื่องดี แต่การนมัสการแบบพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่การนมัสการที่แท้จริง

การนมัสการแบบชั้นเรียน

ในชั้นเรียน ครูควบคุมชั้นเรียน ครูตัดสินใจว่าชั้นเรียนจะเรียนอะไร ครูบรรยายเนื้อหาวิชา นักเรียนฟังและจดบันทึก ครูเป็นผู้ควบคุมการมีส่วนร่วมทั้งหมด

ในการนมัสการแบบชั้นเรียน ศิษยาภิบาลเป็นบุคคลสำคัญ คำเทศนาเป็นจุดศูนย์กลางของการประชุมนมัสการ สิ่งอื่นเป็นตัวส่งเสริมให้สิ่งนี้เด่นชัด ที่ประชุมอยู่ที่นั่นเพื่อฟังและจดบันทึก การนมัสการถูกทำให้ลดน้อยลงเพื่อเห็นแก่กิจกรรมทางปัญญา การแสวงหาเพื่อสื่อสารความจริงในการนมัสการเป็นเรื่องดี เราต้องอธิบายความจริงให้กับผู้นมัสการ แต่การนมัสการแบบชั้นเรียนไม่ใช่การนมัสการที่แท้จริง

การนมัสการที่แท้จริง

การนมัสการที่แท้จริงจดจ่อที่พระเจ้า การนมัสการที่แท้จริงถามคำถามว่า “พระเจ้าต้องการอะไร?” การนมัสการที่แท้จริงช่วยให้ฉันมองดูตัวเองผ่านทางสายตาของพระเจ้า และนั่นทำให้คนที่ไม่เต็มใจให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงรู้สึกอึดอัด การนมัสการที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับพระเจ้าเท่านั้น การนมัสการที่แท้จริงรวมถึงไม้กางเขน การเสียสละ การยอมจำนน การนมัสการที่แท้จริงเปลี่ยนแปลงผู้นมัสการ

สรุป: คำพยานของมารธา

การนมัสการสำคัญอย่างไร? ฟังคำพยานของมารธา

“ฉันเป็นคนที่เน้นการปฏิบัติ คือคนที่ต้องกวาดพื้น ทำอาหาร และเอาใจใส่รายละเอียดต่าง ๆ ในครัวเรือน นั่นคือจุดแข็งของฉัน ฉันมีของประทานในการปรนนิบัติ

“ฉันคิดถึงวันที่พระเยซูมาเยี่ยมที่บ้านหลังเล็ก ๆ ในเบธานี ฉันว้าวุ่นมากกับการที่พระอาจารย์คนสำคัญจะมาที่บ้านของเรา ฉันอยากให้ทุกอย่างดีเลิศสมบูรณ์ ต่อมาลูกาได้เขียนว่า ‘มารธาวุ่นวายอย่างมากกับการปรนนิบัติ’ (ลูกา 10:40) ฉันยุ่งกับการพยายามทำให้ทุกอย่างออกมาดีเลิศสมบูรณ์

“ขณะที่ฉันกำลังยุ่งวุ่นวายกับการดูแลบ้าน มารีย์ก็นั่งในอีกห้องถัดไปคอยฟังพระเยซู ฉันไม่ชอบเลย ฉันต้องการคนช่วยงาน! นอกจากนั้นแล้ว เธอเป็นผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้จากรับบี”

“ฉันรู้สึกแย่มากจนฉันต้องเดินเข้าไปพูดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวของข้าพระองค์ปล่อยให้ข้าพระองค์ปรนนิบัติอยู่คนเดียว? ขอพระองค์สั่งน้องให้มาช่วยข้าพระองค์ด้วย’ (ลูกา 10:40) ฉันจะไม่มีวันลืมคำตอบของพระองค์เลย พระเยซูมองมาที่ฉันและส่ายหน้า ‘มารธา มารธาเอ๋ย เธอกระวนกระวายและร้อนใจหลายอย่างเหลือเกิน สิ่งที่จำเป็นนั้นมีเพียงสิ่งเดียว และมารีย์ก็เลือกเอาส่วนที่ดีนั้น….’ (ลูกา 10:41-42)

“องค์เจ้านายกำลังพูดกับฉันเรื่องอะไรหรือ? พระองค์ไม่ได้บอกว่าการปรนนิบัติไม่สำคัญ ก่อนที่พระองค์จะมาหาพวกเรา พระเยซูเล่าคำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี เรื่องเกี่ยวกับการปรนนิบัติ (ลูกา 10:25-37) พระเยซูไม่ได้บอกว่าการปรนนิบัติไม่สำคัญ พระองค์กำลังบอกฉันว่า การปรนนิบัติของฉันต้องไหลล้นออกมาจากการนมัสการของฉัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการนมัสการ ถ้าหากฉันนมัสการ การปรนนิบัติของฉันจะไหลล้นออกมาเป็นธรรมชาติ ฉันจะไม่ ‘กระวนกระวายและร้อนใจ’ (ลูกา 10:41)

“ในวันนั้น ฉันได้เรียนรู้บทเรียนในชีวิต การปรนนิบัติของฉันไม่ได้มาก่อนการนมัสการของฉันอีกต่อไป จากวันนั้น ฉันใช้เวลาเพื่ออยู่กับมารีย์ที่แทบเท้าของพระเยซู ฉันใช้เวลาเพื่อนมัสการ”

ตรวจสอบ

ถามตัวคุณเองว่า “ฉันจะเป็นผู้นมัสการที่ดีขึ้นได้อย่างไร?” ระบุอย่างเจาะจงเกี่ยวกับบางด้านในชีวิตที่คุณสามารถทำให้การนมัสการของคุณใกล้เคียงมากขึ้นกับคำนิยามของการนมัสการในพระคัมภีร์

ทบทวนบทที่ 1

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) การนมัสการคืออะไร?

  • การนมัสการคือการยอมจำนนด้วยความยำเกรง (วิวรณ์ 4:10-11)

  • การนมัสการคือการปรนนิบัติ (โรม 12:1)

  • การนมัสการคือการสรรเสริญ (สดุดี)

  • การนมัสการคือการสามัคคีธรรม (กิจการ 2:42)

  • การนมัสการเกี่ยวข้องกับทุกด้านของชีวิต (ยากอบ 1:26-27)

(2) ทำไมการนมัสการจึงสำคัญ?

  • ในการนมัสการเรามองเห็นพระเจ้า (อิสยาห์ 6:1-8)

  • ในการนมัสการเรามองเห็นตัวเองและได้รับการเปลี่ยนแปลง (อิสยาห์ 6:1-8)

  • ในการนมัสการเรามองเห็นโลกรอบตัวเรา (อิสยาห์ 6:1-8)

  • การล้มเหลวในการนมัสการแยกเราออกจากพระเจ้า (โรม 1:18-25)

(3) เป้าหมายของการนมัสการ

  • ในการนมัสการเราพบพระเจ้า

  • ในการนมัสการเราหล่อหลอมคุณลักษณะชีวิตคริสเตียน

  • ในการนมัสการเราสร้างชุมชนคริสเตียน

(4) การนมัสการแบบใดที่พระเจ้ายอมรับ?

  • พระเจ้ายอมรับการนมัสการที่จดจ่อกับพระเจ้า (วิวรณ์ 4)

  • พระเจ้ายอมรับการนมัสการที่ถวายเกียรติอย่างคู่ควรแด่พระเจ้า (สดุดี 96:7-8)

  • พระเจ้ายอมรับการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยอห์น 4:23-24)

งานมอบหมายบทที่ 1

(1) พระคัมภีร์อธิบายถึงการนมัสการว่าอย่างไร? เขียนคำตอบหนึ่งหน้ากระดาษจากข้อพระคัมภีร์ด้านล่างนี้

  • สดุดี 111:1-2

  • สดุดี 147:1

  • สดุดี 150

  • อิสยาห์ 6:1-8

  • วิวรณ์ 4

ถ้าหากคุณศึกษาร่วมกันเป็นกลุ่ม ขอให้อภิปรายคำตอบของคุณในชั่วโมงเรียนถัดไป

(2) ช่วงเริ่มต้นของบทเรียนถัดไป คุณจะต้องทำแบบทดสอบเกี่ยวกับบทเรียนนี้ ขอให้เตรียมตัวศึกษาคำถามของแบบทดสอบมาก่อนอย่างละเอียด

โครงการในหลักสูตร

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

เส้นทางแห่งการนมัสการ 30 วัน[1]

คุณจะต้องทำโครงการนี้ตลอดหลักสูตรนี้ ตอนจบหลักสูตร คุณจะต้องรายงานว่าคุณทำเสร็จแล้ว คุณไม่ต้องส่งบันทึกให้กับหัวหน้าชั้นเรียน

ในแต่ละวันของช่วง 30 วันนี้ คุณจะใช้เวลาสักครู่เพื่อใคร่ครวญถึงพระลักษณะของพระเจ้าหนึ่งด้าน ดีที่สุดคือการทำโครงการนี้ในช่วงเวลาเช้า เพื่อคุณจะใคร่ครวญพระลักษณะของพระเจ้าไปตลอดทั้งวันได้ การใคร่ครวญหมายถึงการคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับบางสิ่ง

ขอให้เตรียมสมุดจดว่างเปล่าหนึ่งเล่มเพื่อใช้จดบันทึก เริ่มต้นแต่ละวันด้วยการอธิษฐานขอให้พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองแก่คุณ จากนั้นเปิดอ่านพระธรรมสดุดี เป้าหมายของโครงการนี้เพื่อการใคร่ครวญ ไม่ใช่อ่านเอาความ คุณอาจอ่านเพียงหนึ่งข้อหรือสดุดีทั้งบทก็ได้

ขณะที่อ่าน ขอให้คุณมองหาพระลักษณะหรือภาพเปรียบเทียบถึงพระเจ้า พระลักษณะคือบางด้านของคุณลักษณะของพระเจ้า เช่น ความเมตตา ความบริสุทธิ์ การเอาใจใส่ดูแลของพระองค์ ภาพเปรียบเทียบถึงพระเจ้าคือการเปรียบเทียบพระเจ้ากับบางสิ่ง เช่น พระองค์เป็นผู้เลี้ยง เป็นศิลา เป็นที่ลี้ภัย

เมื่อคุณค้นพบพระลักษณะหรือภาพเปรียบเทียบที่มีความหมายสำหรับคุณ ขอให้เขียนพระลักษณะนั้นที่ด้านบนของหน้ากระดาษในสมุดบันทึกของคุณ ใต้หัวข้อนั้นขอให้เขียนข้อพระคัมภีร์ที่บอกถึงพระลักษณะนั้น

คิดถึงพระลักษณะนั้นและสิ่งที่พระลักษณะนั้นพูดเกี่ยวกับพระเจ้า หลังจากที่คุณอธิษฐาน ขอให้เขียนความคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับพระเจ้าและพระลักษณะนี้ ไม่ใช่การจดบันทึกแบบวิชาการ แต่เป็นบันทึกการนมัสการส่วนตัว ตลอดทั้งวันขอให้คิดถึงพระเจ้าและคุณลักษณะของพระองค์ สรรเสริญพระองค์ในสิ่งที่พระองค์เป็น เมื่อคุณทำแบบนี้เป็นเวลา 30 วัน คุณจะมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับพระเจ้า


[1]โครงการนี้ดัดแปลงจาก Louie Giglio, The Air I Breathe: Worship as a Way of Life (Sisters, OR: Multnomah Publishers, 2003)

แบบทดสอบบทที่ 1

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) คุณได้รับคำนิยามสามอย่างเรื่องการนมัสการในช่วงเริ่มต้นบทเรียนนี้ ขอให้เขียนคำนิยามตามที่คุณท่องจำมานั้น

(2) เขียนการนมัสการในพระคัมภีร์สี่ลักษณะ

(3) เมื่อหญิงชาวสะมาเรียโต้แย้งเกี่ยวกับสถานที่นมัสการฝ่ายกายภาพ พระเยซูชี้ประเด็นไปที่สถานนมัสการฝ่าย __________

(4) ในสดุดี คำว่า __________ มักใช้เพื่อบอกถึงความชื่นชมยินดีในการนมัสการ

(5) ดังที่กล่าวไว้ในพระธรรมยากอบ การนมัสการที่บริสุทธิ์และไร้มลทินรวมถึงสองลักษณะใด?

(6) เขียนเหตุผลสี่ประการที่บอกว่าการนมัสการสำคัญ

(7) ดังที่บอกไว้ในบทเรียนนี้ สามคุณลักษณะของการนมัสการที่พระเจ้ายอมรับมีอะไรบ้าง?

(8) เขียน ยอห์น 4:23-24 จากการท่องจำ

Next Lesson