เอ ดับบลิว โทเซอร์ (A.W. Tozer) เรียกการนมัสการว่าเป็น “อัญมณีที่หายไป” จากคริสตจักรสมัยใหม่ เขาบอกว่าเรารู้วิธีการเทศนา รู้วิธีการประกาศ และรู้ว่าจะสามัคคีธรรมกันอย่างไร แต่เรากลับล้มเหลวในการนมัสการ เราดูนักเทศน์เทศนา เราฟังนักร้องประสานเสียง ทีมสรรเสริญ หรือศิลปินเดี่ยวร้องเพลง เราถวายเงิน แต่เรามักล้มเหลวในการนมัสการที่แท้จริง เรายอมให้กิจกรรมมาแทนที่การนมัสการที่แท้จริง
การนมัสการควรสำคัญต่อเราเพราะการนมัสการสำคัญต่อพระเจ้า
► อ่าน อพยพ 20:1-5 เพื่อเห็นความสำคัญที่พระเจ้าให้ต่อการนมัสการ
พระบัญญัติสองประการแรกเกี่ยวข้องกับการนมัสการ พระบัญญัติประการแรกบอกเราว่าใครคือผู้ที่เรานมัสการ “ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา” (อพยพ 20:3) พระบัญญัติประการที่สองบอกว่าเราจะนมัสการอย่างไร “ห้ามทำรูปเคารพสำหรับตน” (อพยพ 20:4) จากนั้นข้อสุดท้ายของอพยพบทที่ 20 พระเจ้ากลับมาที่เรื่องการนมัสการ ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้สอนชนอิสราเอลถึงวิธีสร้างแท่นบูชาและวิธีขึ้นไปยังแท่นนั้นด้วยความเคารพให้เกียรติ
► อ่าน อพยพ 20:23-26 การนมัสการสำคัญสำหรับพระเจ้า!
การนมัสการมีบทบาทสำคัญในพระคัมภีร์ ในอพยพและเลวีนิติให้คำสั่งที่เจาะจงสำหรับการนมัสการของชนอิสราเอล ในสดุดีจัดเตรียมหนังสือเพลงสำหรับการนมัสการ ในพระกิตติคุณ เราเห็นผู้คนก้มลงกราบนมัสการพระเยซู
► อ่าน มัทธิว 2:11, มัทธิว 8:2, มัทธิว 9:18, มัทธิว 14:33, มัทธิว 15:25, มัทธิว 28:17
ในกิจการ คริสตจักรรวมตัวกันเพื่อนมัสการ[1] ในจดหมายฝากของเปาโล เขากล่าวถึงการนมัสการที่ปฏิบัติในคริสตจักร (1 โครินธ์ 11 และ 1 ทิโมธี 2) ในวิวรณ์เปิดเผยให้เราเห็นภาพการนมัสการชั่วขณะหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วตรงที่พระบัลลังก์ของพระเจ้าในสวรรค์ การนมัสการบนโลกเป็นการซ้อมสำหรับการนมัสการในสวรรค์ (วิวรณ์ 4-5) การนมัสการสำคัญสำหรับพระเจ้า
การนมัสการสำคัญเพราะ ในการนมัสการเรามองเห็นพระเจ้า
► อ่าน อิสยาห์ 6:1-8 อภิปรายร่วมกันถึงประสบการณ์ของอิสยาห์ในพระวิหาร
อิสยาห์บทที่ 6 ให้ภาพที่สำคัญในการนมัสการตามหลักการพระคัมภีร์ โดยแสดงให้เห็นว่าเรามองเห็นพระเจ้าได้ในการนมัสการ ในพระวิหาร อิสยาห์ได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นที่ยกย่อง
ความจริงนี้ถูกกล่าวซ้ำตลอดทั้งพระคัมภีร์ เมื่อยอห์นนมัสการในสมัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาได้เห็นนิมิตเกี่ยวกับสวรรค์ (วิวรณ์ 1:10) เมื่อเปาโลและสิลาสนมัสการด้วยคำอธิษฐานและบทเพลง พระเจ้าสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ (กิจการ 16:25-26) ดาวิดอดทนต่อความทุกข์ทรมานจนทำให้เขาร้องออกมาว่า “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (สดุดี 22:1) ในท่ามกลางความทุกข์ทรมานของเขา ดาวิดเห็นพระเจ้าผ่านทางการนมัสการและสรรเสริญ “ถึงอย่างไร พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ ผู้ประทับเหนือคำสรรเสริญของคนอิสราเอล” (สดุดี 22:3) ในการนมัสการ เรามองเห็นพระเจ้า
การนมัสการสำคัญเพราะ ในการนมัสการเรามองเห็นตัวเองและได้รับการเปลี่ยนแปลง
ในพระวิหาร อิสยาห์ไม่เพียงเห็นพระเจ้าเป็นที่ยกย่อง เขามองเห็นตัวเองด้วย เมื่ออิสยาห์มองเห็นพระเจ้าบนบัลลังก์ เขาร้องอุทานออกมาว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาด” (อิสยาห์ 6:5) การนมัสการที่แท้จริงอนุญาตให้เรามองเห็นตัวเองเหมือนที่พระเจ้ามองเห็นเรา
นี่คือเหตุผลที่พิธีนมัสการตามประเพณีจึงได้รวมคำอธิษฐานสารภาพบาปเข้าไว้ด้วย คำอธิษฐานสารภาพบาปไม่ได้กล่าวว่า “เราได้กบฏต่อกฎบัญญัติของพระเจ้าและทำบาปด้วยความตั้งใจ” แต่คำอธิษฐานสารภาพบาปตระหนักว่า “แม้แต่จิตใจที่บริสุทธิ์ที่สุดของมนุษย์ก็ยังเป็นมลทินเมื่อเทียบกับความบริสุทธิ์อย่างแท้จริงของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ เราต้องการพระคุณของพระเจ้าอยู่เสมอ”
ในการนมัสการ เราเห็นตัวเราเองผ่านทางสายตาของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ถ้าหากไม่มีการนมัสการแล้ว สายตาที่มองดูนี้จะเป็นประสบการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว อย่างไรก็ตาม เพราะเราได้เห็นพระเจ้าแล้ว เราจึงได้รับการชำระให้สะอาด ไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะเราได้เห็นพระเจ้าและพระคุณของพระองค์แล้ว เราจึงเห็นตัวเองอย่างโปร่งใส ยอมรับว่าเราต้องการพระองค์ และร้องขอพระคุณของพระองค์ในชีวิตของเรา
การนมัสการเปิดเผยให้เห็นว่าเราเป็นใคร แต่ไม่ได้ปล่อยให้เราอยู่กับการค้นพบตัวเองแบบนั้น ในแสงสว่างแห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้า อิสยาห์มองเห็นตัวเองว่าเป็นมลทิน แต่แทนที่สิ่งนี้จะทำให้สิ้นหวัง การนมัสการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
แล้วองค์หนึ่งในพวกเสราฟิมบินมาหาข้าพเจ้า ในมือมีถ่านเพลิงซึ่งท่านเอาคีมคีบมาจากแท่นบูชา และท่านแตะต้องปากของข้าพเจ้าพูดว่า “นี่แน่ะ สิ่งนี้ได้แตะต้องริมฝีปากของเจ้าแล้ว ความผิดของเจ้าก็ถูกขจัด และบาปของเจ้าก็ได้รับการลบล้าง” (อิสยาห์ 6:6-7)
อิสยาห์ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยการเผชิญหน้ากับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์
การนมัสการที่แท้จริงเปลี่ยนผู้นมัสการคือ อิสยาห์ที่อยู่ในพระวิหาร หญิงชาวสะมาเรียข้างบ่อน้ำ พวกสาวกที่บนภูเขาซึ่งมีการจำแลงพระกาย การเผชิญหน้ากับพระเจ้าเปลี่ยนแปลงผู้นมัสการ[2]
การนมัสการสำคัญเพราะ ในการนมัสการเรามองเห็นโลกรอบตัวของเรา
ในการนมัสการ อิสยาห์ได้เห็นพระเจ้า เขามองเห็นตัวเอง เขาเห็นความจำเป็นที่มีในโลกรอบตัวของเขา “ข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางชนชาติที่ริมฝีปากไม่สะอาด” (อิสยาห์ 6:5) อิสยาห์ตอบสนองด้วยการพูดว่า “ข้าพระองค์อยู่นี่ ขอทรงใช้ข้าพระองค์เถิด” (อิสยาห์ 6:8) ในการนมัสการที่เราได้รับการเสริมสร้างเพื่อการรับใช้ที่เกิดผลต่อโลกรอบตัวที่ขัดสนนี้
ก่อนหน้านี้ เราเห็นว่าการนมัสการที่แท้จริงมีผลกระทบต่อชีวิตทุกด้าน บางคริสตจักรได้แยกการนมัสการออกจากการประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาพูดว่า “จุดเน้นของคริสตจักรของเราคือการประกาศ บางคริสตจักรอาจมีจุดเน้นที่การนมัสการ” หรือพวกเขาพูดว่า “เป้าหมายของเราคือการนมัสการ เราจะให้การประกาศข่าวประเสริฐและการทำมิชชันเป็นงานของคนอื่น” นี่แสดงให้เห็นถึงการเข้าใจผิดเรื่องการนมัสการ ในการนมัสการนั้น เรายอมให้พระเจ้าเปิดเผยถึงความจำเป็นต่าง ๆ ที่มีในโลกรอบตัวเรา การนมัสการที่แท้จริงจะส่งผลเป็นการประกาศข่าวประเสริฐ
การนมัสการที่แท้จริงเปิดเผยถึงความจำเป็นของอิสยาห์ และเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยการนมัสการ การนมัสการที่แท้จริงเปิดเผยความจำเป็นที่มีในโลกรอบตัวของอิสยาห์ และเขาอุทิศตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก ในการนมัสการเราได้รับภาระใจเพื่อรับใช้โลกรอบตัวของเรา การตอบสนองที่จำเป็นต่อการนมัสการที่แท้จริงคือ “ข้าพระองค์อยู่นี่ ของทรงใช้ข้าพระองค์เถิด”
ออสวาร์ด แชมเบอร์ส (Oswald Chambers) เตือนคนทั้งหลายที่คาดหวังว่าจะเป็นมิชชันนารี “ถ้าคุณไม่นมัสการในโอกาสต่าง ๆ ของทุกวัน เมื่อคุณมีส่วนในงานของพระเจ้า คุณจะไม่เพียงทำตัวเองให้ไร้ประโยชน์แต่ยังเป็นอุปสรรคขวางกั้นคนรอบตัวคุณด้วย”[3]
แชมเบอร์สตระหนักถึงความสำคัญของการนมัสการว่าเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อการรับใช้อย่างเกิดผล ในการนมัสการนั้น พระเจ้าเปิดเผยความจำเป็นที่มีในโลกรอบตัวเราและเตรียมเราให้พร้อมต่อการตอบสนองความจำเป็นเหล่านั้น
การนมัสการสำคัญเพราะ การล้มเหลวในการนมัสการแยกเราออกจากพระเจ้า
► อ่าน โรม 1:18-25 การนมัสการเทียมเท็จกับความบาปมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร?
ในช่วงเริ่มต้นของพระธรรมโรม เปาโลแสดงให้เห็นถึงสาเหตุที่มนุษย์ต้องรับโทษต่อหน้าพระเจ้า เขาแสดงให้เห็นว่าการล้มลงของมนุษย์เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการปฏิเสธที่จะนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ สังเกตกระบวนการที่เปาโลอธิบายไว้ใน โรม 1:21-25:
1. พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้า “เพราะถึงแม้ว่าเขาได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือขอบพระคุณพระองค์” (โรม 1:21) “เพราะว่าเขาได้เอาความจริงเรื่องพระเจ้ามาแลกกับความเท็จ ทั้งนมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง” (โรม 1:25)
2. ผลที่ได้คือ “…แต่พวกเขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป ในการอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขากลายเป็นคนโง่เขลาไป และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตาย หรือรูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน” (โรม 1:21-23)
3. ในการพิพากษา “พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติการโสโครกตามราคะตัณหาในใจของเขา…” (โรม 1:24)
เปาโลแสดงให้เห็นว่าการที่มนุษย์ล้มลงสู่ความโง่เขลา ความเสื่อมทราม และตัณหาเป็นผลมาจากการที่ผู้คนปฏิเสธที่จะนมัสการพระเจ้า พวกเขาไม่ได้นมัสการพระเจ้า พวกเขาบูชาและปรนนิบัติสิ่งที่ถูกสร้างมากกว่านมัสการพระผู้สร้าง
ทุกคนล้วนนมัสการ คริสเตียนนมัสการพระเจ้า มุสลิมนมัสการพระอัลเลาะห์ คนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าก็นมัสการสติปัญญาของตัวเอง ทุกคนล้วนนมัสการ ถ้าหากเราปฏิเสธที่จะนมัสการพระผู้สร้าง เราก็จะนมัสการสิ่งที่ถูกสร้าง
การนมัสการสำคัญ การนมัสการที่แท้จริงต่อพระเจ้าเที่ยงแท้เปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระฉายของพระองค์ การนมัสการพระเทียมเท็จจะเปลี่ยนเราให้เหมือนพระนั้น เราจะเป็นเหมือนสิ่งใดก็ตามที่เรานมัสการ
[1] คริสเตียนในยุคแรกยังคงนมัสการที่พระวิหารและธรรมศาลา (กิจการ 2:46-47, กิจการ 3:1-11, กิจการ 5:12, 21, 42) นอกจากนั้น คริสเตียนยังพบกันในบ้านเพื่ออธิษฐาน สอน และสามัคคีธรรม เหล่านี้คือแง่มุมต่าง ๆ ของการนมัสการ (กิจการ 2:46-47, กิจการ 4:31, กิจการ 5:42)
[2]
“เข้าไปเพื่อนมัสการ -
ออกไปเพื่อรับใช้”
- ป้ายติดที่ประตู
คริสตจักรแห่งหนึ่ง
Previous
Next