แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 7: พระคัมภีร์และคำอธิษฐานในการนมัสการ

2 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์ของบทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) เห็นคุณค่าความสำคัญของพระคัมภีร์ในการนมัสการ

(2) รู้ขั้นตอนเชิงปฏิบัติสำหรับการใช้พระคัมภีร์ในการนมัสการ

(3) ตระหนักว่าการเทสนาเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ

(4) ให้คุณค่ากับความสำคัญของการอธิษฐานในการนมัสการ

(5) นำคริสตจักรให้อธิษฐานร่วมกันอยางมีความหมาย

(6) เข้าใจว่าการถวายทรัพย์เป็นกิจแห่งการนมัสการ

(7) ถือรักษามื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นทั้งการเฉลิมฉลองด้วยความยินดีและอนุสรณ์อันศักดิ์สิทธิ์

การเตรียมตัวสำหรับบทเรียนนี้

ท่องจำ มัทธิว 6:5-8

บทนำ

คริสตจักร XYZ มีชื่อเสียงเรื่องเวลาในการนมัสการ การประชุมนมัสการของพวกเขามีรูปแบบดังนี้

ลำดับรายการคริสตจักร XYZ
เปิดประชุมและประกาศข่าว  
นมัสการ (เพลงสรรเสริญ) 30 นาที
ถวายทรัพย์/เพลงพิเศษ/อธิษฐาน 15 นาที
เทศนา 30 นาที
นมัสการ (เพลงสรรเสริญ) 15 นาที

ผู้คนชอบดนตรีของคริสตจักร XYZ ผู้มาเยี่ยมเยียนชื่นชมกับการประชุมนมัสการที่ใช้พลังงานสูง อย่างไรก็ตาม ศิษยาภิบาลบิลล์ก็ยังกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ได้จากพันธกิจของเขาในระยะยาว ไม่ช้านานผู้เชื่อใหม่ก็จะย้ายไปคริสตจักรอื่น ที่แย่กว่านั้นคือ คนที่เข้าร่วมมานานแล้วก็จะพบว่าคริสตจักร “ไม่ได้ผลิตสาวกของพระเยซูที่เข้มแข็ง ใช่ มีคนเยอะ แต่ไม่มีสาวก”[1]

บิลล์เชื่อว่าส่วนที่เป็นปัญหาคือความเข้าใจของคริสตจักรเรื่องการนมัสการ ที่คริสตจักร XYZ การนมัสการ เทียบเท่ากับ ดนตรี ศิษยาภิบาลบิลล์เริ่มต้นถามว่า “การนมัสการที่แท้จริงเป็นมากกว่าดนตรีไหม? เรากำลังแยกพระวจนะของพระเจ้ากับการอธิษฐานออกจากการนมัสการไหม? สิ่งนี้ลดผลกระทบจากการเทศนาหรือไม่?”

► ขอตอบสนองต่อความกังวลของศิษยาภิบาลบิลล์ มีความแตกต่างระหว่างการนมัสการกับการเทศนาหรือไม่? คริสตจักร XYZ จะเชื่อมโยงทุกส่วนของการประชุมนมัสการเข้ากับความนึกคิดของผู้นมัสการได้อย่างไร?


[1]นี่เป็นคำกล่าวอ้างจากการสำรวจที่ทำโดยหนึ่งในคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา พวกเขาพบว่าคนที่กลับใจมาเชื่อส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่เคยมาถึงจุดที่เป็นสาวกแท้จริง

ความสำคัญของพระคัมภีร์ในการนมัสการ

ในความเป็นอีแวนเจลิคอล เราสอนว่าหลักคำสอนและการนมัสการของเราได้รับแนวทางจากพระคัมภีร์ เราเชื่อว่าพระคัมภีร์ควรเป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเรา พระเจ้าตรัสกับคนของพระองค์ผ่านการอ่านพระวจนะ ตั้งแต่สมัยพันธสัญญาเดิม พระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางในการนมัสการมาตลอด

น่าเสียดาย แม้ว่าเราพูดว่าพระคัมภีร์เป็นรากฐานของการนมัสการของเรา หลายคริสตจักรก็ยังให้ช่วงเวลากับพระคัมภีร์เพียงเล็กน้อยในการประชุมนมัสการ เป็นไปได้ที่จะเข้าประชุมนมัสการในบางคริสตจักรและได้ยินพระคัมภีร์เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น นี่ช่างห่างไกลจากต้นแบบการนมัสการในพระคัมภีร์เสียจริง

การอ่านพระวจนะมีความสำคัญในการนมัสการในพระคัมภีร์

► อ่าน อพยพ 24:1-12

ใน อพยพ 24:7 โมเสสเอาหนังสือแห่งพันธสัญญามาและอ่านให้ประชาชนฟัง ประชาชนสัญญาที่จะทำตามคำสั่งของพระเจ้า “ทุกคำที่พระยาห์เวห์ตรัสนั้น เราจะทำตาม และเราจะเชื่อฟัง” หลังจากนั้น พระเจ้าได้เขียนสรุปถึงพันธสัญญา (บัญญัติสิบประการ) บนศิลาสองแผ่น อิสราเอลเป็นประชาชนแห่งพระธรรม พันธสัญญาที่บันทึกไว้เป็นศูนย์กลางแห่งการนมัสการของอิสราเอล

พระวจนะของพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในพลับพลาและพระวิหาร เทศกาลประจำปีเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดในปีปฏิทินยิว ในเทศกาลปัสการ เทศกาลผลแรก และเทศกาลอยู่เพิง จะมีการอ่านพระวจนะของพระเจ้าต่อสาธารณชน ทุกเจ็ดปี ทั้งชนชาติจะมารวมตัวกันฟังการอ่านบทบัญญัติและพันธสัญญาได้รับการรื้อฟื้นใหม่[1]

ในพันธสัญญาใหม่ เปาโลสั่งให้คริสเตียนอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม นี่รวมถึงพันธสัญญาเดิม จดหมายของเปาโล และงานเขียนอื่น ๆ ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่าเป็นพระคัมภีร์[2] เขาสั่งให้ผู้รับใช้หนุ่มอุทิศตนต่อการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม ต่อการตักเตือนและสั่งสอน (1 ทิโมธี 4:13) พระวจนะของพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของการนมัสการในพันธสัญญาใหม่

การเทศนาพระวจนะมีความสำคัญในการนมัสการในพระคัมภีร์

► อ่าน เนหะมีย์ 8:1-18

หลังจากการกลับจากการเป็นเชลย เอสราอ่านบทบัญญัติให้ประชาชนฟัง ประชาชนรวมตัวกันฟังในขณะที่เอสราอ่านบทบัญญัติต่อหน้าทั้งผู้ชายและผู้หญิง คนที่สามารถเข้าใจได้ และทุกคนตั้งใจฟังพระธรรมหมวดบทบัญญัติ (เนหะมีย์ 8:3) ในการตอบสนอง ประชาชนจะกล่าวว่า “อาเมน” และซบหน้าลงนมัสการ เมื่อเอสราและเพื่อนของเขาอ่าน พวกเขาอธิบายพระคัมภีร์และทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่พวกเขาอ่าน นี่เป็นแบบอย่างจากพระคัมภีร์สำหรับการเทศนา การอธิบาย และประยุกต์ใช้พระวจนะของพระเจ้าเข้ากับความต้องการของผู้คน การเทศนาพระคัมภีร์ที่แท้จริงย่อมดลใจให้มีการนมัสการตอบสนองต่อพระวจนะ

[3]พระเยซูมาที่ธรรมศาลาในวันสะบาโตตามปกติและอ่านหนังสือม้วนพระธรรมอิสยาห์ เมื่ออ่านเสร็จ พระเยซูเทศนาโดยแสดงให้เห็นว่าพระองค์มาเพื่อทำให้พระสัญญาในอิสยาห์สำเร็จ (ลูกา 4:16-29)

ในคำเทศนาวันเพ็นเทคอส เปโตรแสดงให้เห็นว่าพระสัญญาในพันธสัญญาเดิมสำเร็จแล้วในพระราชกิจของพระเยซูและโดยการมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาสรุปคำอธิบายจากพระคัมภีร์ด้วยการเชิญให้กลับใจใหม่และรับบัพติศมา (กิจการ 2:14-41) การเทศนาในพระคัมภีร์เรียกให้ผู้ฟังตอบสนอง การเทศนาพูดกับความนึกคิด แต่ต้องพูดกับใจด้วย การเทศนาต้องเรียกให้มีการตอบสนองจากเจตจำนง เมื่อพระเยซูเปิดพระคัมภีร์บนถนนไปเอมมาอูส ใจของผู้ฟังก็ร้อนรุ่มภายใน (ลูกา 24:32)

การเทศนามีความสำคัญในการเผยแพร่สมัยคริสตจักรยุคแรก ในกิจการ พระวจนะของพระเจ้าถูกกล่าวถึงมากกว่า 20 ครั้ง พวกอัครทูตเทศนาพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาพูดพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ พวกเขาสอนพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนมากมายตอบสนองด้วยการรับเอาพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าเติบโตและทวีผล พระวจนะของพระเจ้าเผยแพร่ออกไป และคนต่างชาติถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐานคำสอนของพวกอัครทูต

การเทศนาไม่ได้เป็นวิธีการเดียวที่พระคัมภีร์พูด แต่เป็นวิธีหลักในการนำพระวจนะของพระเจ้าไปสู่คนของพระเจ้า เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นี้ ศิษยาภิบาลต้องไม่ลืมว่าพระวจนะของพระเจ้าต้องเป็นศูนย์กลาง การเทศนาในพระคัมภีร์ต้องเริ่มต้นด้วยพระวจนะของพระเจ้า อธิบายพระวจนะของพระเจ้า และเรียกให้คนตอบสนองต่อพระวจนะของพระเจ้า

การเทศนาพระวจนะของพระเจ้ามีความสำคัญในประวัติศาสตร์คริสตจักร

การเทศนาเป็นศูนย์กลางของการนมัสการในศตวรรษแรกของคริสตจักร ในศตวรรษที่สอง จัสติน มาร์ไทร์ เขียนว่าคริสเตียนมารวมตัวในวันอาทิตย์เพื่ออ่านจดหมายฝากและคำเผยพระวจนะและฟังคำอธิบาย ในศตวรรษ์ที่สาม พระคัมภีร์แต่ละตอนส่วนใหญ่ถูกอ่านระหว่างการนมัสการ

ในช่วงระหว่างยุคกลาง คริสตจักรคาธอลิกย่อบทบาทของการเทศนาลง แต่ยุคปฏิรูปนำให้การเทศนากลับมาเป็นศูนย์กลางของการนมัสการ เป้าหมายของการเทศนายุคปฏิรูปไม่ใช่เพื่อความบันเทิง ไม่ใช่เพื่อเป้าหมายส่วนตัวของผู้เทศนา หรือไม่ใช่เพื่อความต้องการด้านวัฒนธรรมที่มีในสังคม เป้าหมายของการเทศนาคือการเปิดเผยพระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียด อธิบายพระคัมภีร์ด้วยวิธีที่สร้างผลกระทบต่อผู้ฟังและเรียกให้ตอบสนองด้วยชีวิตที่เปลี่ยนแปลง


[1]Timothy J. Ralston, “Scripture in Worship” in Authentic Worship. Edited by Herbert Bateman. (Grand Rapids: Kregel, 2002), 201
[2]1 ทิโมธี 4:13, 1 เธสะโลนิกา 5:27, โคโลสี 4:16, 2 เปโตร 3:16
[3]

การเทศนาในพระคัมภีร์

“พระพรของการอธิบายพระคัมภีร์ที่แท้จริงคือหัวใจที่ลุกโชน ไม่ใช่ศีรษะที่พองโต”

- วาร์เรน วายส์บี

การทำให้พระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางในการนมัสการ

ถ้าพระวจนะของพระเจ้าควรเป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเรา เราจะนำหลักการนี้มาปฏิบัติได้อย่างไร? ขั้นตอนเชิงปฏิบัติสำหรับการทำให้พระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเราประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้

พระคัมภีร์ควรรวมอยู่ในทุกส่วนของการนมัสการ

เราไม่ควรรอจนถึงเวลาเทศนาเพื่อจะได้ยินพระวจนะในการนมัสการ ไม่มีการเริ่มต้นใดดีกว่าการเริ่มต้นนมัสการด้วยพระวจนะของพระเจ้า

พิจารณารูปแบบการนำเข้าสู่นมัสการสองรูปแบบนี้ รูปแบบใดที่เป็นคำเชิญชวนให้เข้าสู่การสถิตอยู่ของพระเจ้าที่มีพลังมากกว่า?

1. “ขอบคุณทุกคนที่มาคริสตจักรในวันนี้ ฝนตกอาจทำให้บางคนเดินทางมาลำบาก แต่ผมดีใจที่คุณมาถึงที่นี่ได้ ให้เราจดจ่อที่พระเจ้าและนมัสการ ขอทุกคนยืนขึ้นและร้องว่า ‘บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์’”

2. “‘ข้าพเจ้ามีความยินดีเมื่อเขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ให้เราไปยังนิเวศของพระเจ้า!’ ยินดีต้อนรับสู่พระนิเวศของพระเจ้า! ในพระวิหาร อิสยาห์เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับการยกชูอย่างสูง เขาได้ยินทูตสวรรค์ร้องเพลงว่า ‘บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ องค์พระเจ้าผู้เป็นแม่ทัพ ทั้งพิภพเต็มไปด้วยพระสิริของพระองค์’ ให้เราร่วมกันสรรเสริญกับทูตสวรรค์ว่า ‘บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์’”

ผู้นำคนแรกเตือนให้เราคิดถึงความยากลำบากในการเดินทาง ผู้นำคนที่สองเตือนให้เราคิดถึงความยินดีในการนมัสการ ผู้นำคนแรกเริ่มต้นด้วยคำทั่วไป ผู้นำคนที่สองเริ่มด้วยพระวจนะของพระเจ้า ผู้นำคนแรกประกาศชื่อเพลงเท่านั้น ผู้นำคนที่สองเตือนเราให้คิดถึงว่าทูตสวรรค์ร้องเพลงนี้เพื่อสรรเสริญพระเจ้า คริสตจักรใดที่จะร้องเพลงด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้ามากกว่า?

หลังจากวันที่ 11 กันยายน 2001 ที่ผู้ก่อการร้ายโจมตีอเมริกา ผู้คนมารวมตัวกันในคริสตจักรวันอาทิตย์เพื่อนมัสการตามปกติ ขอให้เปรียบเทียบการเริ่มต้นการประชุมนมัสการจากสองคริสตจักรต่อไปนี้

1. “ขอบคุณที่มาร่วมนมัสการวันนี้ นี่เป็นสัปดาห์น่าเศร้าที่สุดในประเทศของเรา พวกเราหลายคนกำลังโศกเศร้า ขอบคุณที่มานมัสการแม้ในช่วงเวลาที่มืดมิด เราจะเริ่มต้นด้วยการร้องเพลงนี้ ‘ไม้กางเขนโบราณแห่งความทุกข์โศก’”

2. “พระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในความยากลำบาก ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเหล่านี้ เราต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าเป็นความหวังของเรา พระองค์เป็นที่ลี้ภัย ให้เรานมัสการด้วยกันโดยระลึกเสมอว่า ‘ป้อมปราการยิ่งใหญ่คือพระเจ้าของเรา ที่มั่นที่ไม่มีวันพังทลาย’”

ผู้นำคนแรกเตือนที่ประชุมให้คิดถึงความโศกเศร้า ผู้นำคนที่สองเตือนที่ประชุมให้คิดถึงพระเจ้าผู้เป็นความหวัง พระคัมภีร์และบทเพลงสรรเสริญตั้งอยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์ที่วางรากฐานอันมั่นคงให้กับผู้คนเมื่อความเชื่อมั่นของพวกเขาได้รับการทดสอบ

พระคัมภีร์สามารถใช้ได้ในหลายส่วนของการประชุมนมัสการ

  • ตอนกล่าวเปิดประชุมนมัสการ

  • ตอนเชื้อเชิญให้ถวายทรัพย์

  • ในเนื้อเพลง

  • ตอนอธิษฐาน

การนมัสการของเราควรเปี่ยมไปด้วยพระวจนะของพระเจ้า การนมัสการคือการตอบสนองต่อการสำแดงพระองค์เองของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ พระคัมภีร์ควรเป็นจุดเน้นทุกส่วนของการประชุมนมัสการ

การอ่านพระคัมภีร์ควรเป็นศูนย์กลางในการนมัสการ

คุณเคยได้ยินศิษยาภิบาลพูดไหมว่า “เรามีเวลาน้อยวันนี้และผมมีคำเทศนายาว ดังนั้นผมจะไม่อ่านพระคัมภีร์?” อะไรสำคัญมากกว่าหรือ พระวจนะหรือถ้อยคำของเรา? เราต้องให้เวลากับพระวจนะในการนมัสการ

เพราะการอ่านพระคัมภีร์คือการนมัสการ เราควรใส่ใจวิธีที่เราอ่านพระคัมภีร์ จะต้องอ่านให้ชัดเจนและกระจ่าง ผู้อ่าน (ไม่ว่าจะเป็นศิษยาภิบาลหรือฆราวาส) ควรฝึกอ่านก่อนเริ่มประชุม ในช่วงสามศตวรรษแรกของคริสตจักร ตำแหน่งผู้อ่านพระคัมภีร์นับว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และต้องไว้ใจได้ ผู้อ่านเก็บหนังสือที่ได้รับมอบหมายไว้ที่บ้านและฝึกอ่าน เมื่อพวกเขาอ่านในการนมัสการ พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะอ่านอย่างชัดเจนและด้วยความฉะฉาน[1]

ขอจำไว้ว่านี่คือพระวจนะของพระเจ้าที่มีการอ่านให้คนของพระเจ้าฟังในนิเวศของพระเจ้าเพื่อเป็นกิจแห่งการนมัสการ หากเพลงนมัสการสมควรได้รับการฝึกฝน พระวจนะของพระเจ้าก็สมควรได้รับการฝึกฝน นี่ไม่ใช่เรื่องความภูมิใจในความสามารถของเรา แต่เป็นการทำให้แน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าได้รับการสื่อสารไปยังผู้ฟัง นี่คือพระวจนะของพระเจ้า นี่เป็นสิ่งสำคัญ!

เราควรทำให้การอ่านมีความหมาย การใช้การอ่านแบบต่างๆ จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจพระคัมภีร์ใหม่อยู่เสมอ

(1) บางครั้งผู้นำสามารถอ่านพระคัมภีร์ได้ในขณะที่คนในที่ประชุมฟังพระเจ้าตรัส การอ่านประเภทนี้เหมาะสำหรับหนังสือเบญจบรรณและหนังสือเผยพระวจนะส่วนใหญ่

(2) บางครั้งผู้นำและคนในที่ประชุมสามารถสลับกันอ่านได้ เพลงสดุดีหลายบทเหมาะสำหรับการอ่านแบบตอบสนองนี้

► อ่านสดุดี 136 ให้หัวหน้าชั้นเรียนเริ่มอ่านแต่ละข้อ ทั้งชั้นเรียนควรตอบสนองด้วยการอ่านครึ่งหลังของแต่ละข้อว่า “เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์”

หัวข้อ “ผู้เป็นสุข” เหมาะสำหรับใช้อ่านตอบสนอง (มัทธิว 5:1-10)

ผู้นำ: คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข
ที่ประชุม: เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย

ผู้นำ: คนที่โศกเศร้าก็เป็นสุข
ที่ประชุม: เพราะว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการหนุนใจ

(3) ที่ประชุมสามารถอ่านพระคัมภีร์บางข้อพร้อมกันได้ เช่นเดียวกับดนตรีในที่ประชุม การอ่านพระคัมภีร์ร่วมกันในพระกายแสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวของคริสตจักร คริสตจักรทั้งหมดร่วมกันกล่าวพระวจนะของพระเจ้า คำอธิษฐานเช่นสดุดี 124 เหมาะสำหรับการอ่านพร้อมเพรียงกัน

เรื่องราวในเนหะมีย์เกี่ยวกับการอ่านธรรมบัญญัติของเอสราแสดงให้เห็นผลกระทบเมื่อพระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเรา

► อ่านเนหะมีย์บทที่ 8 อีกครั้งถ้าหากคุณจำเป็นต้องทบทวนเรื่องราวนี้

สังเกตรายละเอียดขณะอ่าน

  • เอสราเปิดหนังสือต่อหน้าคนทั้งปวง มีการเชื่อมโยงทางสายตากับพระวจนะ

  • เอสรายืนอยู่สูงกว่าคนทั้งปวง ผู้อ่านสามารถเห็นและได้ยินอย่างชัดเจน

  • เมื่อเอสราเริ่มอ่าน ทุกคนก็ยืนขึ้น มีการตอบสนองทางร่างกายต่อพระวจนะ

  • ขณะที่เอสราอ่าน ทุกคนตอบว่า “อาเมน อาเมน” ยกมือขึ้น ก้มศีรษะลง นมัสการพระเจ้าซบหน้าลงกับพื้น พวกเขายอมจำนนต่อพระวจนะของพระเจ้า

  • คนเลวีอ่านธรรมบัญญัติของพระเจ้าอย่างชัดเจน และช่วยให้คนเข้าใจความหมาย เพื่อผู้คนจะเข้าใจสิ่งที่อ่าน พวกเขาใส่ใจที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า นี่คือเป้าหมายของการเทศนาในปัจจุบันนี้

  • ประชาชนร้องไห้เมื่อพวกเขาได้ยินถ้อยคำจากธรรมบัญญัติ เนหะมีย์สั่งให้พวกเขาชื่นชมยินดี “เพราะความชื่นบานของตนในพระยาห์เวห์เป็นกำลังของท่าน” พระวจนะของพระเจ้าดลใจให้เกิดการกลับใจใหม่และมีความยินดี

แม้ว่ารายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับโอกาสพิเศษนี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำในการประชุมนมัสการของเรา แต่เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจของพระคัมภีร์ เราต้องให้พระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเรา

ตรวจสอบ

คนในที่ประชุมของคุณเห็นความสำคัญของการอ่านพระคัมภีร์ในการนมัสการหรือไม่? อธิบายพฤติกรรมและการตอบสนองบางอย่างที่คุณเห็นเมื่อคุณมองไปรอบๆ ที่ประชุมระหว่างการอ่านพระคัมภีร์

โดยเฉลี่ยแล้วในวันอาทิตย์ คนในที่ประชุมของคุณได้ยินข้อพระคัมภีร์ตอนต่าง ๆ มากน้อยแค่ไหน? ผู้นมัสการรู้ไหมว่าทำไมพระคัมภีร์แต่ละตอนจึงต้องรวมอยู่ในการนมัสการ?

การเทศนาพระวจนะของพระเจ้าควรเป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเรา

เหมือนกับแนวดนตรีที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกยุคสมัย รูปแบบการเทศนาก็เปลี่ยนไปตามความต้องการของแต่ละชนรุ่น พระคัมภีร์ไม่ได้กำหนดว่าแนวดนตรีใดแนวหนึ่งเป็นแนวตามพระคัมภีร์สำหรับการนมัสการ พระคัมภีร์ไม่ได้กำหนดวิธีการเทศนาอย่างใดอย่างหนึ่งว่าเป็นรูปแบบตามพระคัมภีร์ในการเทศนา

รูปแบบเปลี่ยนได้จากรุ่นสู่รุ่นและจากวัฒนธรรมสู่วัฒนธรรม เนื้อหาต้องไม่เปลี่ยน พระคัมภีร์ไม่ได้กำหนดแนวดนตรี แต่กำหนดเนื้อหา ในทำนองเดียวกัน รูปแบบการเทศนาก็เปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น แต่เนื้อหาต้องไม่เปลี่ยน

คำเทศนาในพระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าการประกาศพระวจนะของพระเจ้าเป็นความรับผิดชอบหลักของผู้เทศนาที่ยืนต่อหน้าที่ประชุม จุดเน้นตรงพระวจนะของพระเจ้าต้องยังคงเป็นศูนย์กลางในการเทศนาแบบร่วมสมัย การเปลี่ยนเทคนิคและรูปแบบการเรียนรู้อาจส่งผลกระทบต่อรูปแบบการเทศนา เนื้อหาต้องยังคงต้องลงลึกในพระคัมภีร์

การถือว่าการเทศนาเป็นการนมัสการ: ความหมายในเชิงปฏิบัติ

อะไรคือความหมายเชิงปฏิบัติของการถือว่าการเทศนาเป็นการนมัสการ? สิ่งนี้จะส่งผลต่อวิธีการเทศนาของเราอย่างไร?

การเทศนาต้องเตรียมการอย่างรอบคอบ

หากการเทศนาเป็นการนมัสการ เรามีหน้าที่ต้องเตรียมการอย่างรอบคอบ เราต้องนำของถวายที่ดีที่สุดของเราไปที่แท่นบูชาของพระเจ้า ดาวิดไม่ยอมให้ของที่เขาไม่จ่ายราคา เราไม่ควรนำคำเทศนาที่ไม่ได้เตรียมมาเป็นของถวายแด่พระเจ้า เราควรเตรียมคำเทศนาให้ดีก่อนเริ่มประชุมนมัสการ (2 ซามูเอล 24:24)

การเทศนาต้องมีการตอบสนองจากที่ประชุม

ถ้าการเทศนาคือการนมัสการ ก็จะเป็นต้องมีการตอบสนองจากที่ประชุม ในการนมัสการเราเห็นพระเจ้า เราเห็นตัวเอง และเราเห็นความต้องการของโลกรอบตัวเรา (อิสยาห์ 6:1-8; ดูในบทที่ 1) คำเทศนาของเราควรเปิดเผยพระเจ้าให้ผู้ฟังได้เห็น คำเทศนาของเราควรทำให้ผู้ฟังสำนึกถึงความจำเป็น และคำเทฯของเราควรดลใจคริสตจักรให้ออกไปประกาศกับผู้คนที่หลงหายในโลกนี้ การถือว่าการเทศนาเป็นการนมัสการจะนำการสำนึกผิดไปสู่คนบาปและจะดลใจผู้เชื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ

การเทศนาต้องมีการตอบสนองจากผู้เทศนา

หากการเทศนาคือการนมัสการ เราจะตระหนักว่าการเทศนาต้องการการตอบสนองจากเรา ถ้าหากเราเตรียมเทศนาเหมือนเป็นกิจแห่งการถวายเครื่องบูชาในการนมัสการ เราจะเป็นพระเจ้า เราจะสำนึกถึงความจำเป็นในด้านต่าง ๆ ในชีวิตของเราเอง และเราจะเป็นความจำเป็นของโลกรอบตัวเรา เราจะตอบสนองด้วยการร้องด้วยกันกับอิสยาห์ว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ขอใช้ข้าพระองค์ไป” การเทศนาที่แท้จริงจะเปลี่ยนผู้เทศนา เราต้องไม่นำถ้อยคำของพระเจ้าให้กับที่ประชุมโดยที่พระเจ้ายังไม่พูดกับเราส่วนตัวและเรายังไม่ตอบสนองเองก่อน

พระเยซูไม่ได้ตำหนิพวกธรรมาจารย์ (ผู้เทศนา) ในสมัยของพระองค์ที่มีคำเทศนาไม่ดี พระองค์ตำหนิที่พวกเขาล้มเหลวในการใช้ชีวิตตามอย่างที่พวกเขาเทศน์ พวกเขารู้พระคัมภีร์และรู้วิธีอธิบายพระคัมภีร์ แต่พวกเขาไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระคัมภีร์ พระเยซูตรัสว่า “เพราะพวกเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสอน” (มัทธิว 23:3) ถ้าการเทศนาคือการนมัสการ เราในฐานะศิษยาภิบาลจะได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยความจริงนั้นที่เราเทศนา แล้วพระเจ้าจะพูดผ่านเราเพื่อเปลี่ยนแปลงในใจและในชีวิตของคนที่ฟังเราเทศน์

ผู้เทศนาต้องได้รับฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

ถ้าการเทศนาคือการนมัสการ ผู้เทศนาต้องได้รับฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหมือนกับที่ทุกด้านของการนมัสการต้องพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการให้ฤทธิ์เดชที่แท้จริง ผู้เทศนาต้องได้รับการเจิมโดยพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อจะเทศนาอย่างเกิดผลมีพลัง

► อ่าน 2 โครินธ์ 3:3-18

เรานำเครื่องบูชาที่ดีที่สุดคือคำเทศนาที่เตรียมมาอย่างดี อย่างไรก็ตาม หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว ฤทธิ์เดชในการเทศนามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยปราศจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราอาจพูดจากความนึกคิด เราอาจทำให้ที่ประชุมประทับใจ และเราอาจมีเนื้อหาดี แต่ไม่มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง

ตรวจสอบ

การเทศนาของคุณเป็นกิจแห่งการนมัสการที่มีในพระคัมภีร์ไหม? ถ้าบุคคลหนึ่งได้ฟังคำเทศนาของคุณเป็นประจำ พวกเขาได้ยินความจริงจากพระคัมภีร์อย่างสมดุลไหม?


[1]Keith Drury, The Wonder of Worship, (Fishers, IN: Wesleyan Publishing House, 2002), 35

การนมัสการที่อันตราย: การสูญเสียพระวจนะ

พระคัมภีร์ได้สูญเสียพื้นที่ของตัวเองในชีวิตประจำวันของคนมากมายที่บอกว่าตนเป็นผู้เชื่อ น่าเศร้าที่พระคัมภีร์ก็สูญเสียพื้นที่ของตนเองในการนมัสการประจำสัปดาห์ในหลายคริสตจักรด้วย คริสตจักรยุคแรกร้องเพลงสดุดี แต่ในบางคริสตจักรทุกวันนี้ร้องเพลงที่มีเนื้อหาจากพระคัมภีร์เพียงเล็กน้อย คริสตจักรยุคแรกอ่านพระคัมภีร์ยาวเป็นตอน ๆ แต่บางคริสตจักรทุกวันนี้อ่านไม่กี่ข้อก่อนเทศนา ในการประชุมนมัสการหลายที่ พระคัมภีร์ถูกแทนที่ด้วยบทเพลงและคำเทศนาที่ให้ความสนใจต่อพระวจนะของพระเจ้าเพียงเล็กน้อย

ผู้นำบางคนในการนมัสการแบบร่วมสมัยคัดค้านว่าการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุมไม่ได้จำเป็นสำหรับยุคสมัยใหม่อีกต่อไป เมื่อไม่นานมานี้ มีศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งขอให้เจ้าหน้าที่คริสตจักรประเมินการเทศนาของเขา พวกเขาบอกศิษยาภิบาลว่าเขาใช้พระคัมภีร์มากเกินไป “ดีแล้วที่คำเทศนาของอาจารย์มาจากพระคัมภีร์ แต่อาจารย์น่าจะพูดถึงอย่างอื่นที่มันเข้ากับชีวิตผู้คนบ้าง ไม่อย่างนั้นเราก็จะเลิกฟัง” เจ้าหน้าที่คริสตจักรนี้ไม่คิดว่าพระคัมภีร์เข้ากับชีวิตของผู้คนในทุกวันนี้!

ในฐานะผู้นำนมัสการ เราต้องยังคงให้พระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเรา ในการนมัสการ เราพูดกับพระเจ้าผ่านคำอธิษฐานและบทเพลงสรรเสริญ ในการนมัสการ เราได้ยินพระเจ้าตรัสกับเราผ่านการอ่านและประกาศพระวจนะ โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบการนมัสการ เราต้องไม่สูญเสียการให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเรา

► ทบทวนเนหะมีย์บทที่ 8 เขียนวลีที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่ประชาชนให้กับการอ่านธรรมบัญญัติ เปรียบเทียบสิ่งนี้กับการอ่านพระคัมภีร์ในการประชุมของคุณ อภิปรายขั้นตอนเชิงปฏิบัติหนึ่งขั้นตอนที่สามารถเพิ่มผลกระทบจากพระคัมภีร์ในการนมัสการของคุณ

ความสำคัญของการอธิษฐานในการนมัสการ

แคธี่[1] เป็นคริสเตียนที่อุทิศตัวคนหนึ่ง แม้เมื่อเธออยู่ที่โรงเรียน เธอใช้เวลาตามลำพังกับพระเจ้าทุกเช้า ก่อนอาหารเช้า เธอใช้เวลาอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐาน

แต่ตอนนี้เธอเป็นแม่ของลูกสี่คน การอธิษบานและอ่านพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากขึ้น ลูกคนหนึ่งเป็นทารกและตื่นกลางดึก แคธี่พบว่าเธอมักจะไม่อยากลุกจากเตียงตอนเช้าก่อนลูก ๆ ตื่นนอน ตอนกลางคืนเธอก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะจดจ่อกับการอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์

แคธี่มีความสุขเมื่อวันอาทิตย์มาถึง แต่ละอาทิตย์ เธอได้รับการเติมพลังฝ่ายวิญญาณในช่วงนมัสการ แต่ระหว่างสัปดาห์เธอก็ท้อแท้ เธอรู้สึกว่าชีวิตที่อุทิศตัวของเธอกลายเป็นชีวิตที่ล้มเหลว

► ขอให้คำแนะนำในเชิงปฏิบัติแก่แคธี่สำหรับชีวิตที่อุทิศตัวของเธอ

เราเริ่มต้นบทนี้ด้วยการศึกษาพระคัมภีร์เกี่ยวกับการนมัสการ เราจะศึกษาต่อไปเกี่ยวกับการอธิษฐานในการนมัสการ ในพระคัมภีร์พระเจ้าตรัสกับเรา ในการอธิษฐานเราตอบสนองต่อพระเจ้า พระคัมภีร์และการอธิษฐานควรมีอย่างเข้มข้นในการนมัสการของเรา

การอธิษฐานในที่ประชุมและอธิษฐานส่วนตัวในการนมัสการในพระคัมภีร์

เราได้เห็นว่าพระธรรมสดุดีเป็นหนังสือเพลงสรรเสริญสำหรับการนมัสการของคนยิว และยังเป็น “หนังสืออธิษฐาน” สำหรับการนมัสการของคนยิวด้วย สดุดีประกอบไปด้วยคำอธิษฐานในที่ประชุมและคำอธิษฐานส่วนตัว ทั้งการอธิษฐานในที่ประชุมกับการอธิษฐานส่วนตัวมีความสำคัญสำหรับการนมัสการของคนยิว

ที่บ้าน คนยิวผู้สัตย์ซื่ออธิษฐานสามครั้งต่อวัน (ดาเนียล 6:10)[2] มีสดุดีหลายบทที่เป็นคำอธิษฐานส่วนตัว ซึ่งสามารถรู้ได้โดยดูจากการใช้คำสรรพนามว่า ข้าพเจ้า/ข้าพระองค์ แทนที่จะเป็น เรา/พวกเรา ในคำอธิษฐาน ตัวอย่างของสดุดีที่เป็นคำอธิษฐานส่วนตัว

  • สดุดี 18 – บทเพลงขอบพระคุณพระเจ้า

  • สดุดี 32 – คำอธิษฐานถึงความสุขของผู้ที่ได้รับการอภัย[3]

  • สดุดี 38 – คำอธิษฐานแสดงการกลับใจใหม่

  • สดุดี 41 – คำอธิษฐานขอพระเมตตา

  • สดุดี 51 – คำอธิษฐานแสดงการกลับใจใหม่

  • สดุดี 88 – คำคร่ำครวญในช่วงทุกข์ยาก

  • สดุดี 116 – บทเพลงขอบคุณพระเจ้าสำหรับการดูแลของพระองค์

ในพระวิหาร ผู้นมัสการชาวยิวอธิษฐานร่วมกันในที่ประชุม ในการถวายพระวิหาร โซโลมอนนำทั้งชนชาติอธิษฐานขอควาฒโปรดปรานจากพระเจ้ามายังประชาชน (2 พงศาวดาร 6) อิสยาห์นำถ้อยคำของพระเจ้ามาถึงยูดาห์ “นิเวศของเรานั้นเขาจะเรียกว่านิเวศอธิษฐานสำหรับทุกชนชาติ” (อิสยาห์ 56:7) หลังจากการเป็นเชลย การนมัสการในธรรมศาลาเน้นที่การอ่านธรรมบัญญัติและการอธิษฐาน การประชุมนมัสการในธรรมศาลาเริ่มต้นด้วยชุดคำอธิษฐาน

รูปแบบการอธิษฐานของฮีบรูยังคงทำต่อเนื่องมาในคริสตจักรยุคแรก คริสเตียนในศตวรรษแรกอธิษฐานวันละสามครั้งที่บ้าน เมื่อคริสเตียนพบกันเพื่อนมัสการ พวกเขาอธิษฐานร่วมกันในพระกาย คำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของแต่ละการประชุมนมัสการ ส่วนคำอธิษฐานอื่น ๆ ได้รับการนำเสนอตลอดรายการประชุมนมัสการแต่ละครั้ง

การอธิษฐานในการนมัสการในปัจจุบัน

ถ้าการอธิษฐานสำคัญในการนมัสการในพระคัมภีร์ การอธิษฐานก็ควรสำคัญในการนมัสการปัจจุบันนี้ ทั้งการอธิษฐานในที่ประชุมและส่วนตัวล้วนมีความสำคัญ

[4]การอธิษฐานส่วนตัว เชื่อมต่อเราเข้ากับพระองค์ผู้เป็นเถาองุ่นและจัดเตรียมการหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา การขาดการอธิษฐานส่วนตัวอธิบายถึงการขาดฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณในหลายคริสตจักร ถ้าพระเยซูจำเป็นต้องใช้เวลาในการอธิษฐานส่วนตัวช่วงการทำพันธกิจบนโลกนี้ เราจะยิ่งต้องพึ่งพาการอธิษฐานมากเท่าไรเพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและได้รับฤทธิ์เดชในการทำพันธกิจ

การอธิษฐานในที่ประชุม เป็นองค์ประกอบสำคัญในการนมัสการ บางคริสตจักรให้ความสำคัญต่อการอธิษฐานเพียงเล็กน้อย ศิษยาภิบาลคนหนึ่งแก้ตัวสำหรับการขาดการอธิษฐานในที่ประชุมในคริสตจักรของเขาว่า “คุณไม่สามารถให้คนสนใจได้เวลาที่พวกเขาหลับตา”[5] เขาเชื่อว่าการทำให้ผู้ฟังพอใจสำคัญกว่าทำให้พระเจ้าพอใจ

การอธิษฐานร่วมกันแก้ไขความคิดผิด ๆ ที่คิดว่าศาสนาคริสต์เป็นเรื่องของฉันและความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้าเท่านั้น เราเป็นส่วนหนึ่งในพระกาย เมื่อเราได้ยินคำร้องขอให้อธิษฐานเผื่อและเราอธิษฐานร่วมกัน เราก็รับรู้ถึงความเจ็บป่วย ความเจ็บปวดทางอารมณ์ และสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของพี่น้องคริสเตียน การอธิษฐานร่วมกันเตือนใจเราว่าสมาชิกของคริสตจักรเป็นพระกายเดียวกัน การอธิษฐานร่วมกันเตือนเราว่าพระเจ้าห่วงใยทุกคนในที่ประชุมในฐานะพระกายเดียวกัน

เช่นเดียวกับที่พระคัมภีร์ควรนำมาใช้ตลอดช่วงการประชุมนมัสการ การอธิษฐานก็ควรนำเสนอตลอดช่วงประชุมนมัสการ ตั้งแต่อธิษฐานเปิดประชุมเพื่อขอการสถิตอยู่ของพระเจ้าในการประชุมนมัสการ ช่วงเวลาอธิษฐานเผื่อความจำเป็นในชีวิตของผู้คน อธิษฐานปิดเพื่ออวยพรสมาชิกให้ออกไปทำพันธกิจในโลกนี้ การอธิษฐานควรเป็นสิ่งสำคัญในการนมัสการของเรา


[1]เรื่องของแคธี่นำมาจาก Keith Drury, The Wonder of Worship, (Fishers, IN: Wesleyan Publishing House, 2002), 17
[2]การปฏิบัติของดาเนียลเป็นเรื่องปกติที่ทำกันในท่ามกลางคนยิวที่สัตย์ซื่อ
[3]สดุดีนี้อาจแต่งขึ้นทันทีทันใดหลังจากการกลับใจของดาวิดในสดุดี 51
[4]

“คริสเตียนจำนวนมากเชื่อ
ในการอุทิศตนส่วนตัว
มากกว่าที่จะอุทิศตัวจริงๆ”

- คีธ ดรูรี

[5]อ้างอิงใน Keith Drury, The Wonder of Worship, (Fishers, IN: Wesleyan Publishing House, 2002), 28

การทำให้การอธิษฐานเป็นศูนย์กลางในการนมัสการ

มีแนวทางใดในเชิงปฏิบัติที่เราจะสามารถทำให้การอธิษฐานเป็นส่วนที่มีความหมายมากขึ้นในการนมัสการในที่ประชุม? มีข้อแนะนำในเชิงปฏิบัติหกประการ

[1]พัฒนาชีวิตอธิษฐานส่วนตัวของคุณ

ไม่มีใครพร้อมจะนำผู้อื่นนมัสการได้จนกว่าเขาจะนมัสการก่อน ไม่มีใครพร้อมที่จะนำการอธิษฐานในที่ประชุมได้จนกว่าเขาจะอธิษฐานส่วนตัวก่อน เมื่อเราพัฒนาชีวิตการอธิษฐานส่วนตัว เราจึงพร้อมที่จะเป็นผู้นำการอธิษฐานในที่ประชุม ในฐานะผู้นำนมัสการ จงอุทิศตัวเพื่อมีวินัยในการอธิษฐานส่วนตัวทุกวัน

เรียนรู้วิธีการอธิษฐาน

สาวกของพระเยซูขอว่า “ขอสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐาน” (ลูกา 11:1) พระเยซูตอบสนองด้วยการสอนแบบอย่างคำอธิษฐานที่รู้จักกันว่าเป็นคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า การอธิษฐานนั้นสามารถเรียนรู้ได้

ในระดับหนึ่ง การอธิษฐานจะเป็นธรรมชาติของลูกทุกคนของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม การอธิษฐานสามารถเรียนรู้ได้ เด็กเล็กเรียนรู้ที่จะพูดโดยไม่ต้องเรียนบทเรียนการพูด อย่างไรก็ตามเมื่อเด็กโตขึ้น พวกเขาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษา คำศัพท์ และคำพูดที่เหมาะสม ในทำนองเดียวกัน คริสเตียนวัยรุ่นย่อมปรารถนาที่จะพูดคุยกับพระเจ้าโดยธรรมชาติ แต่เมื่อเราเติบโตในความเชื่อ ความเข้าใจและความซาบซึ้งในการอธิษฐานของเราก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หนังสือเรื่องการอธิษฐานที่ทำให้คุณเข้าใจการอธิษฐานได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น มีบางเล่มที่เป็นพระพรต่อคริสเตียนทุกคนได้แก่

  • Power Through Prayer เขียนโดย E.M. Bounds

  • With Christ in the School of Prayer เขียนโดย Andrew Murray

  • Mighty Prevailing Prayer เขียนโดย Wesley Duewel

อธิษฐานด้วยถ้อยคำจากพระคัมภีร์

ไม่มีที่ใดดีไปกว่าการเรียนรู้การอธิษฐานในพระคัมภีร์ โรงเรียนแห่งแรกที่สอนการอธิษฐานอยู่ในพระคัมภีร์ สดุดีและคำอธิษฐานในพระคัมภีร์ตอนอื่น ๆ สอนให้เราอธิษฐานอย่างมีพลัง ตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักร คริสเตียนผู้ยิ่งใหญ่ได้เติมคำอธิษฐานของพวกเขาให้เต็มไปด้วยถ้อยคำจากพระคัมภีร์ คำอธิษฐานที่ยิ่งใหญ่ในพระคัมภีร์เช่น...

  • คำอธิษฐานเทิดทูนบูชา อพยพ 15:1-18, 1 ซามูเอล 2:1-10, 1 พงศาวดาร 29:11-20, ลูกา 1:46-55, ลูกา 1:68-79, I ทิโมธี 6:15-16, และวิวรณ์ 4:8-5:14

  • คำอธิษฐานสารภาพบาป เอสรา 9:5-15, สดุดี 51, และดาเนียล 9:4-19

  • คำอธิษฐานวิงวอน ปฐมกาล 18:23-33, อพยพ 32:11-14, เอเฟซัส 1:15-23, และฟิลิปปี 1:9-11

มุ่งเน้นที่การสนทนากับพระเจ้า

หลายครั้งเกินไปที่การอธิษฐานของเราเป็นการร้องขอต่อพระเจ้าเท่านั้น บางคนให้รายการคำขอกับพระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ตอบคำขอของเมื่อวาน แล้วพูดว่า “อาเมน” คำอธิษฐานที่แท้จริงต้องเป็นมากกว่ารายการคำขอ การอธิษฐานคือการสนทนากับพระเจ้า

คำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นแบบอย่างสำหรับการอธิษฐาน (มัทธิว 6:9-13) คำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้

  • การยกย่องเทิดทูน: “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ”

  • การยอมจำนน: “ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก”

  • การทูลขอ: “ขอประทานอาหารประจำวันแก่พวกข้าพระองค์ในวันนี้”

  • การสารภาพบาป: “และขอทรงยกบาปผิดของพวกข้าพระองค์ เหมือนพวกข้าพระองค์ยกโทษบรรดาคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์”

  • การอธิษฐานขอการทรงนำ: “และขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พวกข้าพระองค์พ้นจากความชั่วร้าย”

  • การสรรเสริญ: “เพราะว่าราชอาณาจักร ฤทธานุภาพ และพระเกียรติเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน”

คริสเตียนจำนวนมากปฏิบัติตามรูปแบบสี่ส่วนซึ่งรวมเอาองค์ประกอบบางอย่างของคำอธิษฐานของพระเยซูนี้คือ การยกย่องเทิดทูน การสารภาพบาป การขอบพระคุณ และการทูลขอ

การยกย่องเทิดทูน

การอธิษฐานไม่ควรตกหล่อนการยกย่องเทิดทูนและการสรรเสริญ โดยการเริ่มต้นด้วยการสรรเสริญ เรามั่นใจว่าคำอธิษฐานของเราไม่ได้มีเพียงแค่รายการคำขอความช่วยเหลือเท่านั้น สดุดีให้แบบอย่างสำหรับการอธิษฐานซึ่งมีพื้นฐานบนการสรรเสริญ แม้สดุดีคร่ำครวญก็ยังมีการสรรเสริญ ถ้าการอธิษฐานเป็นการนมัสการที่แท้จริง จะต้องมีการยกย่องเทิดทูนพระเจ้า

การสารภาพบาป

อิสยาห์ 6 แสดงให้เห็นว่าเมื่อเราเห็นพระเจ้า (ยกย่องเทิดทูน) เราจะเห็นตัวเอง เมื่อเราเห็นตัวเองในความสว่างแห่งความบริสุทธิ์อันสมบูรณ์ของพระเจ้า เราเข้าใจถึงความจำเป็นของการสารภาพบาป ไม่มีคริสเตียนคนใด ไม่ว่าจะโตแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะดำเนินชีวิตกับพระเจ้ามากเพียงใด ที่จะไปถึงจุดที่เขาพูดได้ว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องสารภาพบาป ฉันสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่ติ” พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า “เมื่อท่านอธิษฐาน จงกล่าว …และขอทรงยกบาปผิดของพวกข้าพระองค์ เหมือนพวกข้าพระองค์ยกโทษบรรดาคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์” (ลูกา 11:4) การนมัสการที่แท้จริงรวมถึงการสารภาพบาป

การขอบพระคุณ

การยกย่องเทิดทูนเป็นการสรรเสริญพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์เป็น การขอบพระคุณเป็นการสรรเสริญพระเจ้าสำหรับสิ่งที่พระองค์กำลังทำในโลกของเรา การขอบคุณพระเจ้าเป็นการตระหนักว่าของขวัญที่ดีและสมบูรณ์แบบทุกชิ้นมาจากเบื้องบน (ยากอบ 1:17) ในการขอบพระคุณ เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรา เรื่องราวของคนโรคเรื้อน 10 คนแสดงให้เห็นความสำคัญของการขอบพระคุณ (ลูกา 17:12-19)

การทูลขอ

ในคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าเห็นคุณค่าคำขอของลูก ๆ ของพระองค์ พระเจ้าไม่เหมือนกับผู้มีอำนาจปกครองทางโลกที่ยุ่งเกินกว่าจะใส่ใจกับความต้องการของพลเมือง ในทางกลับกัน พระเจ้าเป็นพ่อที่สมบูรณ์แบบที่ยินดีมอบของขวัญดี ๆ ให้กับลูก ๆ ของพระองค์ ในคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราได้รับการหนุนใจให้อธิษฐานเผื่อความต้องการพื้นฐาน (“ขอประทานอาหารประจำวันพวกข้าพระองค์ในวันนี้”) และขอการนำฝ่ายจิตวิญญาณ (“ขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง”)

ในคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราเรียนรู้ที่จะยอมจำนนความประสงค์ของเราต่อพระเจ้าเมื่อเราทูลขอ ในฐานะลูกที่ไว้วางใจ เราเรียนรู้ว่าพระประสงค์ของพระองค์สมบูรณ์แบบ คำตอบว่า "ไม่" ของพระองค์ก็เพื่อประโยชน์ของเรา การอธิษฐานไม่ใช่เครื่องมือวิเศษที่จะบังคับพระเจ้าให้เป็นไปตามความต้องการของเรา การอธิษฐานเป็นการฝึกฝนทางจิตวิญญาณที่นำเราเข้าสู่การยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยความยินดี

จัดลำดับความสำคัญของคุณให้ตรงกับพระเจ้า

การอธิษฐานมักจะแสดงให้เห็นว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับเรา อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้อธิษฐานอย่างจริงจัง ความต้องการทางร่างกายหรือความต้องการทางฝ่ายวิญญาณ?

ในคำอธิษฐานเพื่อคริสเตียนที่เมืองเธสะโลนิกา เปาโลกล่าวว่า “เราจึงอธิษฐานเพื่อพวกท่านเสมอ ขอพระเจ้าของเราทรงให้ท่านเป็นผู้ที่สมควรแก่การทรงเรียกนั้น และขอพระองค์ทรงให้ความตั้งใจดีทุกประการ และกิจการแห่งความเชื่อทุกอย่างสำเร็จด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ เพื่อพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะได้รับพระเกียรติเพราะท่านทั้งหลาย และท่านจะได้รับเกียรติเพราะพระองค์…”
(2 เธสะโลนิกา 1:11-12) เปาโลกังวลมากที่สุดคือการที่พระเจ้าจะทำให้พระประสงค์ในชีวิตของพวกเขาสำเร็จ คริสเตียนเหล่านี้ถูกข่มเหง แต่คำอธิษฐานของเปาโลไม่ได้ขอให้พระเจ้าช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน เขากลับอธิษฐานให้พระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับเกียรติในตัวพวกเขา

เช่นเดียวกับที่คำทูลขอของเราแสดงลำดับความสำคัญของเรา การขอบคุณของเราก็แสดงลำดับความสำคัญของเราเช่นกัน หากการขอบคุณส่วนใหญ่ของเรามีไว้เพื่อพระพรทางวัตถุ พระพรทางวัตถุอาจเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุด หากการขอบคุณส่วนใหญ่ของเราคือการช่วยเหลือของพระเจ้าในชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา การเติบโตฝ่ายวิญญาณก็คือสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุด

ในคำอธิษฐานเพื่อชาวเธสะโลนิกา เปาโลขอบพระคุณพระเจ้าเพราะความเชื่อของพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างมากมาย และความรักที่พวกเขามีต่อกันและกันก็เพิ่มมากขึ้น (2 เธสะโลนิกา 1:3) คำขอบคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเปาโลไม่ใช่พระพรทางโลก การขอบพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเปาโลคือการเติบโตทางจิตวิญญาณของพวกเขา อะไรทำให้คุณขอบคุณได้มากที่สุด พระพรทางการเงิน หรือหลักฐานการเติบโตทางจิตวิญญาณในชีวิตคุณ?

พูดกับพระเจ้า ไม่ใช่กับที่ประชุม

พระเจ้าพูดกับที่ประชุมผ่านทางพระคัมภีร์ ที่ประชุมพูดกับพระเจ้าผ่านการอธิษฐาน การอธิษฐานในที่ประชุมไม่ใช่โอกาสให้ผู้นำบอกกับผู้คน (ผ่านคำอธิษฐาน) ถึงสิ่งที่เขาต้องการพูดกับคนเหล่านั้น! การอธิษฐานคือการพูดกับพระเจ้า

พระเยซูบอกพวกสาวกของพระองค์ถึงวิธีอธิษฐานด้วยจิตวิญญาณในการนมัสการ

“เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนพวกหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามมุมถนนต่างๆ เพื่อจะให้คนทั้งปวงเห็น เราบอกความจริงกับพวกท่านว่าพวกเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน แต่เมื่อพวกท่านอธิษฐาน อย่าพูดพล่อยๆ ซ้ำซาก เหมือนบรรดาคนต่างชาติเพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะโปรดฟัง อย่าทำเหมือนพวกเขาเลย เพราะว่าสิ่งไรซึ่งพวกท่านจำเป็น พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านจะทูลขอต่อพระองค์” (มัทธิว 6:5-8)

การอธิษฐานที่แท้จริงไม่ได้เป็นการพยายามทำให้พระเจ้าประทับใจหรือที่ประชุมประทับใจ แต่เป็นการพูดแบบเรียบง่ายและชัดเจนต่อพระบิดาในสวรรค์ของเรา

► คุณจะทำอะไรเพื่อให้ชีวิตการอธิษฐานส่วนตัวของคุณเติบโตขึ้น? คุณจะทำให้การอธิษฐานมีความหมายมากขึ้นในการนมัสการในที่ประชุมของคริสตจักรคุณได้อย่างไร?


[1]

“องค์ประกอบสำคัญในชีวิตคริสเตียนคือประสบการณ์ในการนมัสการและการเทิดทูนพระเจ้าในฐานะศูนย์กลางของการมีชีวิตอยู่ของเราทุกวัน”

- เดนนิส คินลอว์

การถือว่าการถวายทรัพย์เป็นการตอบสนองต่อพระวจนะของพระเจ้า

การอธิษฐานคือการตอบสนองโดยธรรมชาติต่อพระวจนะของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เราควรจบการอ่านพระคัมภีร์และคำเทศนาด้วยการอธิษฐาน ในการอธิษฐานเราตอบสนองต่อความจริงที่เราได้รับจากพระวจนะของพระเจ้า เราอุทิศตัวเพื่อจะเชื่อฟัง

การถวายก็เป็นการตอบสนองต่อพระวจนะของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ในพันธสัญญาเดิม การถวายเครื่องบูชา (การถวาย) เป็นการตอบสนองของผู้นมัสการต่อธรรมบัญญัติ (พระวจนะของพระเจ้า) ในพันธสัญญาใหม่ การถวายเป็นสัญลักษณ์ของการยอมจำนนต่อพระเจ้าด้วยทั้งชีวิตของเรา

การถวายเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ ผู้เขียนสดุดีเรียกให้ผู้นมัสการนำของถวายมา และเข้ามาที่ลานพระวิหาร (สดุดี 96:8) ผู้เขียนฮีบรูเชื่อมโยงการนมัสการเข้ากับการถวาย “อย่าละเลยที่จะทำความดี และแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” (ฮีบรู 13:16) เปาโลบอกกับชาวฟิลิปปีว่าของขวัญที่พวกเขาให้กับเปาโลนั้นเป็นของถวายที่หอมหวาน เป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าโปรดรับและพอพระทัย (ฟิลิปปี 4:18)

ศาสนศาสตร์เรื่องการถวายเป็นการนมัสการ

คนที่ไปร่วมคริสตจักรจำนวนมากมองว่าการถวายเป็นวิธีการที่เราจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของคริสตจักร สิ่งนี้ทำให้การถวายเป็นธุรกรรมทางการเงินแทนที่จะเป็นกิจฝ่ายจิตวิญญาณในการนมัสการ การเป็นผู้อารักขาของคริสเตียนควรได้รับความเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ หลักการแต่ละข้อต่อไปนี้ควรเป็นส่วนหนึ่งของศาสนศาสตร์ในการถวายของเรา

การถวายที่เป็นการนมัสการนั้นได้รับการจูงใจโดยพระคุณ ไม่ใช่ความกลัว

การถวายเป็นกิจแห่งการนมัสการมีแรงจูงใจจากการสำนึกในพระคุณของพระเจ้า เปาโลขอให้ชาวโครินธ์ช่วยหลือคริสเตียนที่ขัดสนในเยรูซาเล็ม เขาไม่ได้ขู่เข็ญว่า “พวกท่านต้องให้เพราะสักวันหนึ่งพวกท่านก็จะต้องให้คนอื่นช่วยเหลือเหมือนกัน” แต่เปาโลสรุปคำขอของเขาด้วยการสรรเสริญว่า “ขอขอบพระคุณพระเจ้า เพราะของประทานที่เกินความคาดคิดซึ่งพระองค์ประทานนั้น!” (2 โครินธ์ 9:15) การถวายของพวกเขาได้รับการจูงใจโดยการขอบคุณสำหรับพระคุณของพระเจ้า ถ้าการถวายคือการนมัสการที่แท้จริง การถวายจะต้องมาจากความเต็มใจ

การถวายที่เป็นการนมัสการได้รับการจูงใจโดยความรัก ไม่ใช่รางวัล

การนมัสการที่แท้จริงมีความรักต่อพระเจ้าเป็นแรงจูงใจ ไม่ใช่อยากได้รางวัล การถวายเงินเป็นสัญลักษณ์ของการมอบถวายตัวเราเองแด่พระเจ้า เปาโลสรรเสริญคริสเตียนที่มาซิโดเนียเพราะ “พวกเขาถวายตัวเองแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน แล้วจึงมอบตัวให้กับเราตามพระประสงค์ของพระเจ้า” (2 โครินธ์ 8:5) การถวายของพวกเขาเป็นสัญลักษณ์ถึงความรักของพวกเขาต่อพระเจ้าและต่ออัครทูตผู้นำข่าวประเสริฐมายังเขตแดนของพวกเขา

เช่นเดียวกับดนตรีหรือกิจกรรมการนมัสการอื่นๆ ที่สามารถทำได้ด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง การถวายสามารถถูกกระตุ้นโดยความปรารถนาที่จะได้รับรางวัลมากกว่าความรักที่มีต่อพระเจ้า ผู้ประกาศข่าวประเสริฐบางคนสัญญาว่าพระเจ้าจะตอบแทนของขวัญที่เป็นเงินพร้อมพระพรทางการเงิน ด้วยการบิดเบือนข้อความจากบริบทในพระคัมภีร์ พวกเขาสัญญาว่าจะให้รางวัลเป็นร้อยเท่าสำหรับการถวายแด่พระเจ้า การถวายเช่นนั้นจะไม่เป็นการนมัสการด้วยความรัก แต่จะเหมือนกับการซื้อลอตเตอรีโดยผู้ให้หวังว่าจะได้แจ็กพอต! ไม่มีที่ใดที่พระคัมภีร์ยกย่องการถวายแบบนี้

พระคัมภีร์ยกย่องการถวายของมารีย์ เมื่อเธอเจิมพระเยซูนั้นไม่มีรางวัลอะไรให้เห็น เธอสละเงินเก็บออมของเธอโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน แม้พวกสาวกก็ยังโกรธที่เธอสิ้นเปลืองแบบนั้น มีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่มองเห็นและชมเชยการถวายของเธอ การถวายที่มีความรักเป็นแรงจูงใจ (มัทธิว 26:6-13)

การถวายเป็นการนมัสการไม่ได้มีความรักต่อพระเจ้าเป็นแรงจูงใจเท่านั้น แต่มีความรักต่อผู้อื่นด้วย ยอห์นเตือนให้ผู้อ่านคิดได้ว่าความรักแท้ต้องไม่ใช่แค่คำพูด แต่ต้องมีการกระทำ ความรักของชาวฟิลิปปีที่มีต่อเปาโลมองเห็นได้ในการถวาย ความรักของผู้เชื่อที่มีต่อผู้อื่นมองเห็นได้ในการถวาย

แต่ถ้าใครมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังไม่เปิดใจช่วยเขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร? ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง (1 ยอห์น 3:17-18)

การถวายที่เป็นการนมัสการคือการมีใจกว้างขวาง ไม่ใช่ตระหนี่ถี่เหนียว

เปาโลท้าทายให้คริสตจักรที่โครินธ์ถวายด้วยใจกว้างขวางเมื่อเขาพูดว่า “โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมั่งคั่งขึ้นในทุกสิ่ง เพื่อบริจาคด้วยใจกว้างขวางอยู่เสมอ และจะทำให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้าผ่านเรา” ใจกว้างขวางของพวกเขาเป็นการแสดงออกถึงการขอบคุณพระเจ้าของพวกเขา “เพราะการปรนนิบัติในงานรับใช้นี้ ไม่เพียงเป็นการจัดหาให้กับธรรมิกชนที่ขัดสนเท่านั้น แต่ยังทำให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าอย่างมากมายเหลือล้นด้วย” (2 โครินธ์ 9:11-12) เพราะการถวายเป็นการนมัสการที่แท้จริง จึงต้องถวายด้วยใจกว้างขวาง

การถวายที่เป็นการนมัสการได้รับการจูงใจโดยความถ่อมใจ ไม่ใช่ความหยิ่ง

► อ่าน มัทธิว 6:1-4

ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูเตือนถึงแรงจูงใจผิดๆ ในการถวาย บางคนถวายเพื่อรับคำชมจากผู้อื่น รางวัลของพวกเขาคือการสรรเสริญ “พวกเขาได้รับรางวัลแล้ว” บางคนถวายอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ยกย่องตัวเองในความอ่อนน้อมถ่อมตน รางวัลของพวกเขาคือความพึงพอใจในตนเอง พระเยซูตรัสว่า “อย่าให้มือซ้ายรู้ว่ามือขวาทำอะไร” อย่าชมเชยในความใจกว้างของคุณ ให้พระบิดาของคุณในสวรรค์เห็นและประทานบำเหน็จแก่คุณตามการเลือกของพระองค์

เรื่องราวการถวายด้วยความยินดี

จอห์น เวสเลย์ พึ่งซื้อรูปภาพสำหรับติดในห้องของเขา ขณะที่สาวใช้มาที่ประตูห้องของเขา มันเป็นเวลาที่อากาศหนาวและเขาสังเกตว่าเธอมีเพียงชุดคลุมบาง ๆ เขาล้วงกระเป๋าเพื่อจะให้เงินเธอไปซื้อเสื้อโค้ท แต่พบว่าเขาเหลือเงินเล็กน้อย เขาจึงร้องออกมาว่า “ผมตกแต่งผนังห้องของผมด้วยเงินที่อาจปกป้องผู้ยากไร้คนนี้จากความหนาวเหน็บได้!”

เวสเลย์เริ่มจำกัดค่าใช้จ่ายของเขาเพื่อที่เขาจะได้มีเงินไปบริจาคให้คนยากจน ในบันทึกของเขา เขาบันทึกว่าปีหนึ่งเขามีรายได้ 30 ปอนด์ และค่าครองชีพ 28 ปอนด์ ดังนั้นเขาจึงมี 2 ปอนด์ที่จะบริจาค ปีต่อมารายได้ของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่เขายังคงใช้ชีวิตอยู่ด้วยเงิน 28 ปอนด์ และบริจาคไป 32 ปอนด์ ในปีที่สามรายได้ของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 90 ปอนด์ อีกครั้งเขาก็ใช้ชีวิตด้วยเงิน 28 ปอนด์ ส่วน 62 ปอนด์บริจาค ปีที่สี่เขามีรายได้ 120 ปอนด์ เขาใช้ชีวิตด้วยเงิน 28 ปอนด์ และบริจาคเงิน 92 ปอนด์ให้กับคนจน

เวสเลย์เทศนาว่าคริสเตียนไม่ควรถวายแค่สิบลด แต่ถวายพิเศษนอกเหนือสิบลดด้วย เขาเชื่อว่าด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้น การถวายของเราก็ควรเพิ่มขึ้น เขาฝึกทำสิ่งนี้ตลอดชีวิตของเขา แม้เมื่อรายได้ของเขาเพิ่มขึ้นเป็นหลายพันปอนด์ เขาก็ยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายและถวายเงินส่วนที่เหลือ หนึ่งปีเขามีรายได้มากกว่า 1,400 ปอนด์ เขาถวายเงินทั้งหมดโดยเหลือไว้เพียง 30 ปอนด์[1] เขากล่าวว่า เขาไม่เคยเก็บเงินไว้มากเกิน 100 ปอนด์ เขาถวายเงินส่วนใหญ่คือ 30,000 ปอนด์ที่เขาหามาได้ทั้งชีวิต[2]

ประเด็นของเรื่องนี้ไม่ใช่คำสั่งทางกฎหมายให้ปฏิบัติต่อผู้ยากไร้! ประเด็นคือความยินดีและเต็มใจเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้เรียกให้ทุกคนถวายในอัตราเดียวกันกับ จอห์น เวสเลย์ การทดสอบไม่ใช่ “ฉันถวายให้มากเท่าคนอื่นไหม?” แต่การทดสอบคือ “ฉันถวายด้วยความสุขใจในการเชื่อฟังพระเจ้าไหม?” พระเจ้าเรียกเราให้นมัสการด้วยการถวายอย่างเสียสละ

แนวทางปฏิบัติในการถวาย

เนื่องจากการถวายเป็นกิจแห่งการนมัสการ การถวายจึงควรรวบรวมด้วยวิธีการที่นำไปสู่จิตวิญญาณแห่งการนมัสการ ขอให้พิจารณาแนวทางปฏิบัติต่อไปนี้

จุดเน้นในการถวายควรเป็นการนมัสการ ไม่ใช่ความจำเป็นที่มี

เป็นไปได้ว่าเหตุผลที่คริสเตียนจำนวนมากเห็นว่าการถวายเป็นวิธีจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของคริสตจักรก็เพราะการถวายเน้นไปที่การชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สิ่งนี้แย่ลงไปอีกเมื่อวิกฤติทางการเงินนำเราให้พูดว่า “คริสตจักรจะปิด” หรือ “เราไม่สามารถส่งมิชชันนารีได้” หากไม่มีการถวายด้วยใจกว้างขวาง บางครั้งศิษยาภิบาลขอโทษที่ขอให้มีการถวาย “ผมหวังว่าเราจะไม่ต้องรอขอเงินจากทุกท่าน” แทนที่การถวายจะเป็นการแสดงออกถึงการขอบพระคุณด้วยใจยินดี

เมื่อถวายทรัพย์ จุดเน้นควารเป็นการนมัสการ การนำถวายทรัพย์สามารถใช้ข้อพระคัมภีร์ที่เตือนให้ผู้นมัสการคิดถึงจุดประสงค์ของการถวาย ในพระคัมภีร์เช่น 2 โครินธ์ 8:9 และ 9:7, อพยพ 25:2, กิจการ 20:35, และแม้แต่ในยอห์น 3:16 ก็ชี้ประเด็นไปที่แรงจูงใจที่แท้จริงในการถวาย

การถวายควรเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมนมัสการ

ในบางวัฒนธรรม การหนุนใจให้ผู้คนถวายนอกช่วงเวลาการประชุมนมัสการถือว่าเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าสิ่งนี้อาจมีแรงจูงใจจากความปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงการแสดงให้เห็นหรือเพื่อประหยัดเวลา แต่ก็มีแนวโน้มที่จะแยกการถวายออกจากการนมัสการ การทำให้การถวายเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการจะช่วยให้ผู้นมัสการเข้าใจว่าการถวายเป็นกิจแห่งการนมัสการ

เนื่องจากการถวายเป็นการตอบสนองของเราต่อพระเจ้า คุณอาจพิจารณาให้มีการถวายหลังจากการเทศนาแทน โดยสิ่งนี้เป็นการกล่าวว่า “เราถวายแด่พระเจ้าเพื่อตอบสนองพระวจนะของพระองค์”

พ่อแม่ควรแนะนำให้ลูกรู้จักการถวายให้เป็นกิจแห่งการนมัสการ

เหมือนกับที่เราสอนให้ลูกร้องเพลง อธิษฐาน ฟังการอ่านและเทศนาพระคัมภีร์ เราควรสอนลูกของเราให้ถวายด้วยใจยินดี เมื่อลูกของเราเรียนรู้ว่าการถวายคือกิจแห่งการสรรเสริญที่น่ายินดี พวกเขาก็จะกลายมาเป็นผู้นมัสการด้วยเช่นกัน

ดนตรีที่บรรเลงช่วงถวายทรัพย์ควรเป็นเพลงนมัสการ

ถ้าหากการถวายคือการนมัสการ ดนตรีที่บรรเลงในช่วงการถวายควรเป็นเพลงนมัสการ ดนตรีสามารถใช้แค่การบรรเลงหรือขับร้องด้วย อาจเป็นการร้องเดี่ยวหรือที่ประชุมร้องด้วยกันก็ได้ อาจเป็นดนตรีเบา ๆ ให้ใคร่ครวญ หรือเป็นดนตรีสนุกสนานชื่มชมยินดี ไม่ว่าจะแนวใดแต่ขอให้เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ คนที่เตรียมดนตรีในช่วงถวายทรัพย์ควรอธิษฐานขอการทรงนำในฝ่ายวิญญาณเหมือนอย่างเดียวกันกับผู้นำนมัสการอธิษฐานนั้น ไม่มีส่วนใดของการนมัสการที่จะทำแบบไม่จริงจังได้

การถวายทรัพย์ควรตามด้วยการอธิษฐานมอบถวาย

เนื่องจากการถวายทรัพย์เป็นของถวายมอบแด่พระเจ้า การถวายจึงควรตามด้วยการอธิษฐานมอบถวาย นี่เป็นการเตือนให้ผู้นมัสการระลึกถึงจุดประสงค์ของการถวายและแสดงหลักฐานที่ชัดเจนว่าการถวายเป็นการนมัสการ

ผู้นำคริสตจักรควรเป็นผู้อารักขาที่ดีสำหรับของถวายของสมาชิก

ในการถวาย ผู้นมัสการได้มอบของถวายไว้ในการอารักขาของผู้นำคริสตจักร ผู้นำคริสตจักรต้องเป็นผู้ดูแลของถวายที่ดี การรายงานเกี่ยวกับการใช้เงินให้กับที่ประชุมรู้ก็แสดงให้เห็นว่าของถวายนั้นถูกใช้เพื่องานของพระเจ้า ซึ่งจะเป็นการหนุนใจให้มีการถวายและลดการลองใจให้ไม่ซื่อสัตย์ในท่ามกลางผู้นำคริสตจักร ในโลกที่ผู้นำคริสเตียนถูกมองด้วยความไม่ไว้วางใจ เราควรทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อแสดงว่าเราไม่มีที่ติให้กล่าวหา

การถวายจึงไม่ใช่การจ่ายเงินสำหรับค่าใช้จ่าย แต่เป็นกิจแห่งการนมัสการ พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองแก่ผู้นมัสการผ่านทางพระวจนะของพระองค์ เราตอบสนองด้วยของถวายที่เป็นการเสียสละซึ่งมาจากใจที่ยินดี นี่คือการนมัสการที่แท้จริง

ตรวจสอบ

คนในคริสตจักรของคุณรู้สึกว่าพวกเขากำลังนมัสการขณะที่ถวาย หรือพวกเขาแค่จ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ? ขั้นตอนในเชิงปฏิบัติอะไรที่คุณสามารถทำให้การถวายเป็นกิจแห่งการนมัสการ?


[1]เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน เทียบเท่ากับหาเงินได้ $200,000 และถวายทั้งหมดเหลือไว้แค่ $5,000 ในช่วงมีชีวิตอยู่ เวสเลย์หาเงินได้และถวายไปเทียบเท่ากับเงินเกือบ $3,000,000 ในปัจจุบัน
[2]เรื่องนี้ดัดแปลงมาจาก Charles Edward White, “Four Lessons on Money from One of the World’s Richest Preachers” Christian History 19 (Summer 1988): 24. ดูได้ที่ https://christianhistoryinstitute.org/uploaded/50cf76d05900d6.14390582.pdf July 22, 2020

มื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

► อภิปรายร่วมกันถึงการทำพิธีมหาสนิทในคริสตจักรของคุณ คุณเฉลิมฉลองมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าบ่อยเพียงใด? เมื่อคุณทำพิธีมหาสนิท พิธีนี้เป็นส่วนสำคัญของการประชุมนมัสการไหม?

เหมือนที่พระเจ้าได้รับการเปิดเผยในพระวจนะที่เขียนไว้ (การอ่านพระคัมภีร์) และในพระวจนะที่ถูกกล่าว (การเทศนาพระวจนะ) พระองค์ก็ได้รับการเปิดเผยในถ้อยคำที่พิสูจน์แล้วของมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า[1] มื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือการระลึกถึงการตายของพระเยซูเพื่อไถ่บาปและการเฉลิมฉลองการฟื้นขึ้นจากตายของพระองค์ อาหารมื้อสุดท้ายเกี่ยวข้องกับปัสกา แต่เป็นการเปิดฉากพันธสัญญาใหม่ด้วย

► อ่านมัทธิว 26:17-30 และ 1 โครินธ์ 11:17-34

การอ้างอิงในพันธสัญญาใหม่ถึงอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นรวมถึงเรื่องราวในพระกิตติคุณและคำแนะนำของเปาโลต่อคริสตจักรที่เมืองโครินธ์

คำถามสามประการที่มักถูกถามเกี่ยวกับการถือรักษามื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

  • [2]อาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีความหมายว่าอะไร?

  • อาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องถือรักษาบ่อยแค่ไหน?

  • อาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าควรถือรักษาอย่างไร?

อาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีความหมายว่าอะไร?

การทำพิธีมหาสนิทเป็นส่วนที่มีความหมายในการนมัสการ เปาโลเขียนถึงคริสตจักรที่โครินธ์โดยแสดงให้เห็นว่าที่มื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น...

1. เรามองย้อนกลับไปยังการตายของพระคริสต์ (“ท่านก็ประกาศการตายขององค์พระผู้เป็นเจ้า”)

2. เรามองไปข้างหน้าถึงการกลับมาของพระคริสต์ (“จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา”)

เมื่อเราเฉลิมฉลองมหาสนิท เราระลึกถึงการเป็นเครื่องบูชาของพระองค์ และเรามองไปข้างหน้าถึงการกลับมาตามพระสัญญาของพระองค์[3] สิ่งที่เป็นตัวแทนถึงพระกายและพระโลหิตของพระคริสต์ และเป็นสิ่งที่เตือนให้เราคิดถึงการมีส่วนร่วมของเราในการตายขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือ “ถ้วยแห่งพร ซึ่งเราได้ขอพรนั้นทำให้เรามีส่วนร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? ขนมปังซึ่งเราหักนั้นทำให้เรามีส่วนร่วมในพระกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ?” (1 โครินธ์ 10:16) มื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องหมายอันทรงพลังถึงการสถิตอยู่ตลอดไปขององค์พระเจ้าผู้ถูกตรึงและฟื้นขึ้นมา

อาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องถือรักษาบ่อยแค่ไหน?

ไม่มีคำตอบชัดเจนสำหรับคำถามนี้ทั้งในพระคัมภีร์หรือในประวัติศาสตร์คริสตจักร ในคริสตจักรยุคแกรดูเหมือนว่าจะมีการรับประทานมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าทุกวันอาทิตย์ ในปัจจุบันนี้บางคริสตจักรเฉลิมฉลองมหาสนิททุกสัปดาห์ในขณะที่บางคริสตจักรทำเพียงแค่ปีละสองครั้งเท่านั้น

ตราบใดที่มื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นลักษณะของการนมัสการที่น่ายำเกรง การถือรักษาบ่อยครั้งก็ไม่ได้ลดทอนความหมายของมื้ออาหารนี้เช่นเดียวกับที่การอ่านพระคัมภีร์ทุกสัปดาห์ก็ไม่ได้ลดทอนความสำคัญของพระคัมภีร์ในการนมัสการ

อาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าควรถือรักษาอย่างไร?

เปาโลเตือนชาวโครินธ์เรื่องการกินและดื่ม “อย่างไม่เหมาะสม” (1 โครินธ์ 11:27)[4] บางขั้นตอนในเชิงปฏิบัติสามารถช่วยให้เราฟถือรักษามื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างเหมาะสมกับความสำคัญที่มีต่อคริสเตียน

พิธีมหาสนิทควรเป็นส่วนที่เป็นศูนย์กลางของการประชุมนมัสการ ไม่ใช่ส่วนเสริมเข้ามา

เวลาปกติสำหรับมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือตามหลังการเทศนา ในกรณีนี้ คำเทศนาควรนำเราลงลึกในความเข้าใจเกี่ยวกับมื้ออาหารนี้ อาจทำได้ผ่านทางคำเทศนาที่กล่าวเจาะจงเรื่องมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือผ่านคำเทศนาที่มีหัวข้อเกี่ยวข้อง (การไถ่ การลบบาป พระคุณ การสร้างสาวก) สำหรับคริสตจักรที่เฉลิมฉลองมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าบ่อยครั้ง จะไม่ค่อยเหมาะที่จะเน้นเรื่องพิธีมหาสนิทสำหรับทุกการประชุมนมัสการ อย่างไรก็ตาม ควรมีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนระหว่างการถือพิธีมหาสนิทกับการประชุมนมัสการส่วนก่อนหน้านั้น

พิธีมหาสนิทเป็นทั้งช่วงเวลาที่จริงจังและชื่นชมยินดี

พิธีมหาสนิทเป็นช่วงเวลาที่จริงจังกับการสำรวจตัวเองและชื่นชมยินดีกับการเฉลิมฉลองพระคุณของพระเจ้า การถือรักษาด้วยความจริงจังสะท้อนให้เห็นในการกินอาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อระลึกถึงการตายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนการถือรักษาด้วยความชื่นชมยินดีการสะท้อนให้เห็นในพระสัญญาเรื่องการกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ในบางครั้ง การเฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์และการรอคอยการกลับมาของพระคริสต์อาจเป็นจุดเน้นหลักในพิธีมหาสนิท แต่ในบางครั้ง ความจริงจังเกี่ยวกับการตายของพระเยซูและความสำคัญของการสำรวจตัวเองอาจเป็นจุดเน้นหลัก ทั้งสองด้านเป็นส่วนหนึ่งของการถือรักษาพิธีนี้

เราชื่นชมยินดีในพิธีมหาสนิทเพราะมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นไปได้โดยพระคุณของพระเจ้า ในมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราได้รับการเตือนให้ระลึกถึงพระคุณที่จัดเตรียมความรอดให้กับเรา เราตระหนักถึงความจริงจังของพิธีมหาสนิทเพราะเราระลึกว่าการมีส่วนร่วมของเราในมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าแทนถึงการอุทิศตัวเพื่อจะเป็นอิสระจากบาป ที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้นมัสการแต่ละคนต้องสำรวจตัวเอง

พิธีมหาสนิทควรสะท้อนถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร

น่าเศร้าที่พิธีมหาสนิทซึ่งตั้งใจมีไว้เพื่อสะท้อนถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในคริสตจักร กลับกลายเป็นสาเหตุของความแตกแยก ความแตกต่างเรื่องวิธีการแจกจ่ายในมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า (ถ้วยส่วนตัว, ถ้วยเดียวกัน, จุ่มขนมปังในถ้วย) และความแตกต่างในเรื่องใครที่รับได้หรือไม่ได้ (ทุกคนที่เป็นผู้เชื่อ, คนที่ได้รับบัพติศมาเท่านั้น, เฉพาะสมาชิกของคริสตจักรท้องถิ่นนั้น) ได้นำความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างคริสตจักรต่าง ๆ

เปาโลเตือนคริสตจักรที่โครินธ์ว่า เมื่อพวกเขาร่วมรับขนมปัง พวกเขาต้องเป็นกายเดียวกัน แม้เราเป็นบุคคลหลายคน แต่เนื่องจากมีขนมก้อนเดียว เราจึงเป็นร่างกายเดียว เพราะว่าเราทุกคนรับประทานขนมก้อนเดียวกัน” (1 โครินธ์ 10:17)

เราควรระลึกว่าในพิธีมหาสนิท การนมัสการเป็นหลักในขณะที่ขั้นตอนการปฏิบัติเป็นเรื่องรอง คริสตจักรต้องรักษาขั้นตอนการปฏิบัติอย่างสัตย์ซื่อตามที่มีในพระกิตติคุณและใน 1 โครินธ์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วิธีการแจกจ่ายในมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ควรเป็นสาเหตุสร้างความแตกแยก ในมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราเฉลิมฉลองควาเมเป็นหนึ่งเดียวกันในครอบครัวของพระเจ้า


[1]Franklin M. Segler and Randall Bradley, Christian Worship: Its Theology and Practice (Nashville: B&H Publishing, 2006), 178
[2]

“มื้ออาหารนี้คือการนัดหมายขององค์พระผู้เป็นเจ้ากับผู้คนของพระองค์ ผู้ที่มาตามการนัดหมายกับพระคริสต์
สามารถคาดหวังได้อย่างมั่นใจว่า
พระองค์จะมาพบพวกเขาอย่างแน่นอน”

- แฟรงกลิน เซกเลอร์ และ
แรนดอล แบรดลีย์

[3]รูปภาพ: "The Lord's Supper" ถ่ายภาพโดย Allison Estabrook on Oct. 14, 2022, ข้อมูลจาก https://www.flickr.com/photos/sgc-library/52476662295/, licensed under CC BY 4.0
[4]พระคัมภีร์ฉบับคิงส์เจมส์ คำว่า “อย่างไม่สมควร” บางครั้งได้รับการแปลโดยเป็นการกล่าวถึงบุคคลที่ไม่คู่ควรกับอาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่างไรก็ตาม “อย่างไม่เหมาะสม” ดูเหมือนจะเป็นการแปลที่ดีกว่า ไม่มีใครคู่ควรกับการเป็นเครื่องบูชาของพระเยซูได้ ปัญหาที่ต้องรับการแก้ไขในคริสตจักรโครินธ์ไม่ใช่เรื่องความไม่คู่ควรของผู้นมัสการ แต่เป็นการทำอย่างไม่เหมาะสมด้วยการไม่ให้เกียรติในพิธีที่พวกเขาถือว่าศักดิ์สิทธิ์

บทสรุป: อิทธิพลอันทรงพลังของการนมัสการ

การนมัสการสำคัญไหม? นี่คือคำพยานจากปี 1945 ที่แสดงให้เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นได้เมื่อคนธรรมดา ๆ นมัสการผ่านการอธิษฐาน

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นักศึกษาชาวญี่ปุ่น-อเมริกันที่นับถือศาสนาพุทธที่กลับใจมาเชื่อพระเจ้าที่มหาวิทยาลัยเบย์เลอร์ เขาได้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับการฟื้นฟู เรย์จิ โฮชิซากิ ทำงานเป็นภารโรงเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียน ขณะที่เขาทำความสะอาดห้องเรียน เขาเริ่มอธิษฐานข้างโต๊ะแต่ละตัว

วันหนึ่งหลังจากที่อธิษฐานมาหลายสัปดาห์ เรย์จิกำลังนั่งในห้องเรียนขณะที่เขารู้สึกหนักอึ้งด้วยภาระใจต่อเพื่อนร่วมชั้นของเขา จนเขาลงไปคุกเข่าและเริ่มต้นร่ำไห้อธิษฐาน พวกนักศึกษาถามว่า “เรย์จิเป็นอะไรไป?” เรย์จิไม่ได้เป็นอะไร เก้าอี้ของเขากลายมาเป็นแท่นบูชาของเขา

โดยผ่านทางการอธิษฐานวิงวอนของเรย์จิ การฟื้นฟูแพร่กระจาออกไปทั่วมหาวิทยาลับเบย์เลอร์ และจากนั้นไปทั่วรัฐเทกซัส นักศึกษาที่เป็นนักประกาศข่าวประเสริฐหลายสิบคนออกไปจากมหาวิทยาลัยเบย์เลอร์เพื่อนำการฟื้นฟูไปทั่วทั้งภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา การอธิษฐานเป็นส่วนสำคัญของการนมัสการ เมื่อเรานมัสการ โลกของเราได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

ทบทวนบทที่ 7

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) เราสามารถทำให้พระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางในการนมัสการโดยการรวมพระคัมภีร์เข้ากับทุกส่วนของการนมัสการของเรา

(2) เนื่องจากพระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางในการนมัสการ เราจึงควรมั่นใจว่าพระคัมภีร์นั้นถูกอ่านอย่างชัดเจน ด้วยความกระตือรือร้น และหลากหลายรูปแบบเพื่อทำให้การอ่านนั้นมีชีวิตชีวา

(3) เนื่องจากการเทศนาเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ ดังนั้น...

  • การเทศนาต้องเตรียมการอย่างรอบคอบ

  • การเทศนาต้องมีการตอบสนองจากที่ประชุม

  • การเทศนาต้องมีการตอบสนองจากผู้เทศนา

  • ผู้เทศนาต้องได้รับฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

(4) แนวทางเชิงปฏิบัติเพื่อทำให้การอธิษฐานเป็นส่วนที่มีความหมายของการนมัสการในที่ประชุม

  • พัฒนาชีวิตอธิษฐานส่วนตัวของคุณ

  • เรียนรู้วิธีการอธิษฐาน

  • อธิษฐานด้วยถ้อยคำจากพระคัมภีร์

  • มุ่งเน้นที่การสนทนากับพระเจ้า

  • จัดลำดับความสำคัญของคุณให้ตรงกับพระเจ้า

  • พูดกับพระเจ้า ไม่ใช่กับที่ประชุม

(5) เนื่องจากการถวายเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ ดังนั้น...

  • การถวายจึงควรได้รับการจูงใจโดยพระคุณ ไม่ใช่ความกลัว

  • การถวายควรได้รับการจูงใจโดยความรัก ไม่ใช่รางวัล

  • การถวายควรมีใจกว้างขวาง ไม่ใช่ตระหนี่ถี่เหนียว

  • การถวายควรได้รับการจูงใจโดยความถ่อมใจ ไม่ใช่ความหยิ่ง

  • การถวายจึงควรรวบรวมด้วยวิธีการที่นำไปสู่จิตวิญญาณแห่งการนมัสการ

(6) มื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

  • มองย้อนกลับไปยังการตายของพระคริสต์

  • มองไปข้างหน้าถึงการกลับมาของพระคริสต์

  • ควรถือรักษาอย่างเหมาะสม

  • ควรถือรักษาทั้งด้วยความจริงจังและความชื่นชมยินดี

  • ควรถือรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อสะท้อนถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร

งานมอบหมายบทที่ 7

(1) ในบทที่ 6 คุณได้เลือกเพลงที่เกี่ยวข้องกับทั้งห้าหัวข้อที่แตกต่างกันนี้ สำหรับแต่ละหัวข้อ ให้หาข้อพระคัมภีร์อ้างอิง 3-4 ตอนที่พูดถึงแต่ละหัวข้อนั้น คำตอบของคุณจะถูกนำมาใช้ในบทเรียนหลังจากนี้เมื่อคุณวางแผนการประชุมนมัสการ

  • พระคัมภีร์ 3-4 ข้อเกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้า

  • พระคัมภีร์ 3-4 ข้อเกี่ยวกับพระเยซูและการตายกับการฟื้นขึ้นจากตายของพระองค์

  • พระคัมภีร์ 3-4 ข้อเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์และคริสตจักร

  • พระคัมภีร์ 3-4 ข้อที่เรียกให้คนของพระเจ้ายอมจำนน และมีชีวิตที่บริสุทธิ์

  • พระคัมภีร์ 3-4 ข้อเกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐและมิชชัน

(2) ในช่วงเริ่มต้นของบทเรียนถัดไป คุณจะต้องทำแบบทดสอบของบทนี้ ขอให้เตรียมตัวด้วยการศึกษาคำถามของแบบทดสอบอย่างละเอียด

แบบทดสอบบทที่ 7

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) เขียนสามตัวอย่างที่แสดงให้เห็นความสำคัญของพระคัมภีร์ในการนมัสการ

(2) เขียนสามส่วนในการประชุมนมัสการที่สามารถนำพระคัมภีร์มาใช้ได้ (สามส่วนใดก็ได้)

(3) เขียนความหมายในเชิงปฏิบัติของหลักการที่ว่า การเทศนาคือการนมัสการ

(4) เขียนคำแนะนำสามประการเพื่อทำให้การอธิษฐานเป็นส่วนที่มีความหมายของการนมัสการในที่ประชุม

(5) เขียนหลักศาสนศาสตร์สี่ประการเกี่ยวกับการถวายเป็นการนมัสการ

(6) เขียนแนวทางปฏิบัติสี่ประการเพื่อทำให้การถวายเป็นกิจแห่งการนมัสการ

(7) เขียนสองด้านของมื้ออาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่ระบุไว้ใน 1 โครินธ์

(8) เขียนมัทธิว 6:5-8 จากการท่องจำ

Next Lesson