ถ้าพระวจนะของพระเจ้าควรเป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเรา เราจะนำหลักการนี้มาปฏิบัติได้อย่างไร? ขั้นตอนเชิงปฏิบัติสำหรับการทำให้พระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเราประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้
พระคัมภีร์ควรรวมอยู่ในทุกส่วนของการนมัสการ
เราไม่ควรรอจนถึงเวลาเทศนาเพื่อจะได้ยินพระวจนะในการนมัสการ ไม่มีการเริ่มต้นใดดีกว่าการเริ่มต้นนมัสการด้วยพระวจนะของพระเจ้า
พิจารณารูปแบบการนำเข้าสู่นมัสการสองรูปแบบนี้ รูปแบบใดที่เป็นคำเชิญชวนให้เข้าสู่การสถิตอยู่ของพระเจ้าที่มีพลังมากกว่า?
1. “ขอบคุณทุกคนที่มาคริสตจักรในวันนี้ ฝนตกอาจทำให้บางคนเดินทางมาลำบาก แต่ผมดีใจที่คุณมาถึงที่นี่ได้ ให้เราจดจ่อที่พระเจ้าและนมัสการ ขอทุกคนยืนขึ้นและร้องว่า ‘บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์’”
2. “‘ข้าพเจ้ามีความยินดีเมื่อเขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ให้เราไปยังนิเวศของพระเจ้า!’ ยินดีต้อนรับสู่พระนิเวศของพระเจ้า! ในพระวิหาร อิสยาห์เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับการยกชูอย่างสูง เขาได้ยินทูตสวรรค์ร้องเพลงว่า ‘บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ องค์พระเจ้าผู้เป็นแม่ทัพ ทั้งพิภพเต็มไปด้วยพระสิริของพระองค์’ ให้เราร่วมกันสรรเสริญกับทูตสวรรค์ว่า ‘บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์’”
ผู้นำคนแรกเตือนให้เราคิดถึงความยากลำบากในการเดินทาง ผู้นำคนที่สองเตือนให้เราคิดถึงความยินดีในการนมัสการ ผู้นำคนแรกเริ่มต้นด้วยคำทั่วไป ผู้นำคนที่สองเริ่มด้วยพระวจนะของพระเจ้า ผู้นำคนแรกประกาศชื่อเพลงเท่านั้น ผู้นำคนที่สองเตือนเราให้คิดถึงว่าทูตสวรรค์ร้องเพลงนี้เพื่อสรรเสริญพระเจ้า คริสตจักรใดที่จะร้องเพลงด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้ามากกว่า?
หลังจากวันที่ 11 กันยายน 2001 ที่ผู้ก่อการร้ายโจมตีอเมริกา ผู้คนมารวมตัวกันในคริสตจักรวันอาทิตย์เพื่อนมัสการตามปกติ ขอให้เปรียบเทียบการเริ่มต้นการประชุมนมัสการจากสองคริสตจักรต่อไปนี้
1. “ขอบคุณที่มาร่วมนมัสการวันนี้ นี่เป็นสัปดาห์น่าเศร้าที่สุดในประเทศของเรา พวกเราหลายคนกำลังโศกเศร้า ขอบคุณที่มานมัสการแม้ในช่วงเวลาที่มืดมิด เราจะเริ่มต้นด้วยการร้องเพลงนี้ ‘ไม้กางเขนโบราณแห่งความทุกข์โศก’”
2. “พระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในความยากลำบาก ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเหล่านี้ เราต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าเป็นความหวังของเรา พระองค์เป็นที่ลี้ภัย ให้เรานมัสการด้วยกันโดยระลึกเสมอว่า ‘ป้อมปราการยิ่งใหญ่คือพระเจ้าของเรา ที่มั่นที่ไม่มีวันพัง ทลาย’”
ผู้นำคนแรกเตือนที่ประชุมให้คิดถึงความโศกเศร้า ผู้นำคนที่สองเตือนที่ประชุมให้คิดถึงพระเจ้าผู้เป็นความหวัง พระคัมภีร์และบทเพลงสรรเสริญตั้งอยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์ที่วางรากฐานอันมั่นคงให้กับผู้คนเมื่อความเชื่อมั่นของพวกเขาได้รับการทดสอบ
พระคัมภีร์สามารถใช้ได้ในหลายส่วนของการประชุมนมัสการ
การนมัสการของเราควรเปี่ยมไปด้วยพระวจนะของพระเจ้า การนมัสการคือการตอบสนองต่อการสำแดงพระองค์เองของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ พระคัมภีร์ควรเป็นจุดเน้นทุกส่วนของการประชุมนมัสการ
การอ่านพระคัมภีร์ควรเป็นศูนย์กลางในการนมัสการ
คุณเคยได้ยินศิษยาภิบาลพูดไหมว่า “เรามีเวลาน้อยวันนี้และผมมีคำเทศนายาว ดังนั้นผมจะไม่อ่านพระคัมภีร์?” อะไรสำคัญมากกว่าหรือ พระวจนะหรือถ้อยคำของเรา? เราต้องให้เวลากับพระวจนะในการนมัสการ
เพราะการอ่านพระคัมภีร์คือการนมัสการ เราควรใส่ใจวิธีที่เราอ่านพระคัมภีร์ จะต้องอ่านให้ชัดเจนและกระจ่าง ผู้อ่าน (ไม่ว่าจะเป็นศิษยาภิบาลหรือฆราวาส) ควรฝึกอ่านก่อนเริ่มประชุม ในช่วงสามศตวรรษแรกของคริสตจักร ตำแหน่งผู้อ่านพระคัมภีร์นับว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และต้องไว้ใจได้ ผู้อ่านเก็บหนังสือที่ได้รับมอบหมายไว้ที่บ้านและฝึกอ่าน เมื่อพวกเขาอ่านในการนมัสการ พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะอ่านอย่างชัดเจนและด้วยความฉะฉาน[1]
ขอจำไว้ว่านี่คือพระวจนะของพระเจ้าที่มีการอ่านให้คนของพระเจ้าฟังในนิเวศของพระเจ้าเพื่อเป็นกิจแห่งการนมัสการ หากเพลงนมัสการสมควรได้รับการฝึกฝน พระวจนะของพระเจ้าก็สมควรได้รับการฝึกฝน นี่ไม่ใช่เรื่องความภูมิใจในความสามารถของเรา แต่เป็นการทำให้แน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าได้รับการสื่อสารไปยังผู้ฟัง นี่คือพระวจนะของพระเจ้า นี่เป็นสิ่งสำคัญ!
เราควรทำให้การอ่านมีความหมาย การใช้การอ่านแบบต่างๆ จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจพระคัมภีร์ใหม่อยู่เสมอ
(1) บางครั้งผู้นำสามารถอ่านพระคัมภีร์ได้ในข ณะที่คนในที่ประชุมฟังพระเจ้าตรัส การอ่านประเภทนี้เหมาะสำหรับหนังสือเบญจบรรณและหนังสือเผยพระวจนะส่วนใหญ่
(2) บางครั้งผู้นำและคนในที่ประชุมสามารถสลับกันอ่านได้ เพลงสดุดีหลายบทเหมาะสำหรับการอ่านแบบตอบสนองนี้
► อ่านสดุดี 136 ให้หัวหน้าชั้นเรียนเริ่มอ่านแต่ละข้อ ทั้งชั้นเรียนควรตอบสนองด้วยการอ่านครึ่งหลังของแต่ละข้อว่า “เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์”
หัวข้อ “ผู้เป็นสุข” เหมาะสำหรับใช้อ่านตอบสนอง (มัทธิว 5:1-10)
ผู้นำ : คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข
ที่ประชุม : เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย
ผู้นำ : คนที่โศกเศร้าก็เป็นสุข
ที่ประชุม : เพราะว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการหนุนใจ
(3) ที่ประชุมสามารถอ่านพระคัมภีร์บางข้อพร้อมกันได้ เช่นเดียวกับดนตรีในที่ประชุม การอ่านพระคัมภีร์ร่วมกันในพระกายแสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวของคริสตจักร คริสตจักรทั้งหมดร่วมกันกล่าวพระวจนะของพระเจ้า คำอธิษฐานเช่นสดุดี 124 เหมาะสำหรับการอ่านพร้อมเพรียงกัน
เรื่องราวในเนหะมีย์เกี่ยวกับการอ่านธรรมบัญญัติของเอสราแสดงให้เห็นผลกระทบเมื่อพระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเรา
► อ่านเนหะมีย์บทที่ 8 อีกครั้งถ้าหากคุณจำเป็นต้องทบทวนเรื่องราวนี้
สังเกตรายละเอียดขณะอ่าน
เอสราเปิดหนังสือต่อหน้าคนทั้งปวง มีการเชื่อมโยงทางสายตากับพระวจนะ
เอสรายืนอยู่สูงกว่าคนทั้งปวง ผู้อ่านสามารถเห็นและได้ยินอย่างชัดเจน
เมื่อเอสราเริ่มอ่าน ทุกคนก็ยืนขึ้น มีการตอบสนองทางร่างกายต่อพระวจนะ
ขณะที่เอสราอ่าน ทุกคนตอบว่า “อาเมน อาเมน” ยกมือขึ้น ก้มศีรษะลง นมัสการพระเจ้าซบหน้าลงกับพื้น พวกเขายอมจำนนต่อพระวจนะของพระเจ้า
คนเลวีอ่านธรรมบัญญัติของพระเจ้าอย่างชัดเจน และช่วยให้คนเข้าใจความหมาย เพื่อผู้คนจะเข้าใจสิ่งที่อ่าน พวกเขาใส่ใจที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า นี่คือเป้าหมายของการเทศนาในปัจจุบันนี้
ประชาชนร้องไห้เมื่อพวกเขาได้ยินถ้อยคำจากธรรมบัญญัติ เนหะมีย์สั่งให้พวกเขาชื่นชมยินดี “เพราะความชื่นบานของตนในพระยาห์เวห์เป็นกำลังของท่าน” พระวจนะของพระเจ้าดลใจให้เกิดการกลับใจใหม่และมีความยินดี
แม้ว่ารายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับโอกาสพิเศษนี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำในการประชุมนมัสการของเรา แต่เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจของพระคัมภีร์ เราต้องให้พระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเรา
ตรวจสอบ
คนในที่ประชุมของคุณเห็นความสำคัญของการอ่านพระคัมภีร์ในการนมัสการหรือไม่? อธิบายพฤติกรรมและการตอบสนองบางอย่างที่คุณเห็นเมื่อคุณมองไปรอบๆ ที่ประชุมระหว่างการอ่านพระคัมภีร์
โดยเฉลี่ยแล้วในวันอาทิตย์ คนในที่ประชุมของคุณได้ยินข้อพระคัมภีร์ตอนต่าง ๆ มากน้อยแค่ไหน? ผู้นมัสการรู้ไหมว่าทำไมพระคัมภีร์แต่ละตอนจึงต้องรวมอยู่ในการนมัสการ?
การเทศนาพระวจนะของพระเจ้าควรเป็นศูนย์กลางในการนมัสการของเรา
เหมือนกับแนวดนตรีที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกยุคสมัย รูปแบบการเทศนาก็เปลี่ยนไปตามความต้องการของแต่ละชนรุ่น พระคัมภีร์ไม่ได้กำหนดว่าแนวดนตรีใดแนวหนึ่งเป็นแนวตามพระคัมภีร์สำหรับการนมัสการ พระคัมภีร์ไม่ได้กำหนดวิธีการเทศนาอย่างใดอย่างหนึ่งว่าเป็นรูปแบบตามพระคัมภีร์ในการเทศนา
รูปแบบเปลี่ยนได้จากรุ่นสู่รุ่นและจากวัฒนธรรมสู่วัฒนธรรม เนื้อหาต้องไม่เปลี่ยน พระคัมภีร์ไม่ได้กำหนดแนวดนตรี แต่กำหนดเนื้อหา ในทำนองเดียวกัน รูปแบบการเทศนาก็เปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น แต่เนื้อหาต้องไม่เปลี่ยน
คำเทศนาในพระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าการประกาศพระวจนะของพระเจ้าเป็นความรับผิดชอบหลักของผู้เทศนาที่ยืนต่อหน้าที่ประชุม จุดเน้นตรงพระวจนะของพระเจ้าต้องยังคงเป็นศูนย์กลางในการเทศนาแบบร่วมสมัย การเปลี่ยนเทคนิคและรูปแบบการเรียนรู้อาจส่งผลกระทบต่อรูปแบบการเทศนา เนื้อหาต้องยังคงต้องลงลึกในพระคัมภีร์
การถือว่าการเทศนาเป็นการนมัสการ: ความหมายในเชิงปฏิบัติ
อะไรคือความหมายเชิงปฏิบัติของการถือว่าการเทศนาเป็นการนมัสการ? สิ่งนี้จะส่งผลต่อวิธีการเทศนาของเราอย่างไร?
การเทศนาต้องเตรียมการอย่างรอบคอบ
หากการเทศนาเป็นการนมัสการ เรามีหน้าที่ต้องเตรียมการอย่างรอบคอบ เราต้องนำของถวายที่ดีที่สุดของเราไปที่แท่นบูชาของพระเจ้า ดาวิดไม่ยอมให้ของที่เขาไม่จ่ายราคา เราไม่ควรนำคำเทศนาที่ไม่ได้เตรียมมาเป็นของถวายแด่พระเจ้า เราควรเตรียมคำเทศนาให้ดีก่อนเริ่มประชุมนมัสการ (2 ซามูเอล 24:24)
การเทศนาต้องมีการตอบสนองจากที่ประชุม
ถ้าการเทศนาคือการนมัสการ ก็จะเป็นต้องมีการตอบสนองจากที่ประชุม ในการนมัสการเราเห็นพระเจ้า เราเห็นตัวเอง และเราเห็นความต้องการของโลกรอบตัวเรา (อิสยาห์ 6:1-8; ดูในบทที่ 1) คำเทศนาของเราควรเปิดเผยพระเจ้าให้ผู้ฟังได้เห็น คำเทศนาของเราควรทำให้ผู้ฟังสำนึกถึงความจำเป็น และคำเทฯของเราควรดลใจคริสตจักรให้ออกไปประกาศกับผู้คนที่หลงหายในโลกนี้ การถือว่าการเทศนาเป็นการนมัสการจะนำการสำนึกผิดไปสู่คนบาปและจะดลใจผู้เชื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ
การเทศนาต้องมีการตอบสนองจากผู้เทศนา
หากการเทศนาคือการนมัสการ เราจะตระหนักว่าการเทศนาต้องการการตอบสนองจากเรา ถ้าหากเราเตรียมเทศนาเหมือนเป็นกิจแห่งการถวายเครื่องบูชาในการนมัสการ เราจะเป็นพระเจ้า เราจะสำนึกถึงความจำเป็นในด้านต่าง ๆ ในชีวิตของเราเอง และเราจะเป็นความจำเป็นของโลกรอบตัวเรา เราจะตอบสนองด้วยการร้องด้วยกันกับอิสยาห์ว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ขอใช้ข้าพระองค์ไป” การเทศนาที่แท้จริงจะเปลี่ยนผู้เทศนา เราต้องไม่นำถ้อยคำของพระเจ้าให้กับที่ประชุมโดยที่พระเจ้ายังไม่พูดกับเราส่วนตัวและเรายังไม่ตอบสนองเองก่อน
พระเยซูไม่ได้ตำหนิพวกธรรมาจารย์ (ผู้เทศนา) ในสมัยของพระองค์ที่มีคำเทศนาไม่ดี พระองค์ตำหนิที่พวกเขาล้มเหลวในการใช้ชีวิตตามอย่างที่พวกเขาเทศน์ พวกเขารู้พระคัมภีร์และรู้วิธีอธิบายพระคัมภีร์ แต่พวกเขาไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระคัมภีร์ พระเยซูตรัสว่า “เพราะพวกเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสอน” (มัทธิว 23:3) ถ้าการเทศนาคือการนมัสการ เราในฐานะศิษยาภิบาลจะได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยความจริงนั้นที่เราเทศนา แล้วพระเจ้าจะพูดผ่านเราเพื่อเปลี่ยนแปลงในใจและในชีวิตของคนที่ฟังเราเทศน์
ผู้เทศนาต้องได้รับฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ถ้าการเทศนาคือการนมัสการ ผู้เทศนาต้องได้รับฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหมือนกับที่ทุกด้านของการนมัสการต้องพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการให้ฤทธิ์เดชที่แท้จริง ผู้เทศนาต้องได้รับการเจิมโดยพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อจะเทศนาอย่างเกิดผลมีพลัง
► อ่าน 2 โครินธ์ 3:3-18
เรานำเครื่องบูชาที่ดีที่สุดคือคำเทศนาที่เตรียมมาอย่างดี อย่างไรก็ตาม หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว ฤทธิ์เดชในการเทศนามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยปราศจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราอาจพูดจากความนึกคิด เราอาจทำให้ที่ประชุมประทับใจ และเราอาจมีเนื้อหาดี แต่ไม่มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง
ตรวจสอบ
การเทศนาของคุณเป็นกิจแห่งการนมัสการที่มีในพระคัมภีร์ไหม? ถ้าบุคคลหนึ่งได้ฟังคำเทศนาของคุณเป็นประจำ พวกเขาได้ยินความจริงจากพระคัมภีร์อย่างสมดุลไหม?
[1] Keith Drury,
The Wonder of Worship, (Fishers, IN: Wesleyan Publishing House, 2002), 35
Previous
Next