แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 3: การนมัสการในพันธสัญญาเดิม

1 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) เห็นคุณค่าพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้การนมัสการเป็นไปได้

(2) เข้าสู่การนมัสการด้วยใจเชื่อฟัง

(3) รู้บทบาทของพิธีกรรมในการนมัสการ

(4) ฝึกปฏิบัติให้การสรรเสริญเป็นองค์ประกอบสำคัญของการนมัสการ

(5) ยอมรับความสำคัญของการประกาศพระวจนะของพระเจ้าในการนมัสการ

(6) หลีกเลี่ยงอันตรายจากการไม่สมดุลในการนมัสการ

การเตรียมตัวสำหรับบทเรียนนี้

ท่องจำ มีคาห์ 6:6-8

บทนำ

มีกลุ่มศิษยาภิบาลมาพบปะกันแต่ละเดือนเพื่อพูดคุยกันถึงประเด็นต่าง ๆ ในคริสตจักรของพวกเขา เมื่อไม่นานมานี้พวกเขาพูดคุยกันเรื่องการนมัสการ มีการให้ความหมายที่แตกต่างกันท่ามกลางศิษยาภิบาลเหล่านี้เกี่ยวกับหัวข้อเรื่องการนมัสการ ถึงแม้พวกเขาแบ่งปันหลักข้อเชื่อเดียวกัน แต่พวกเขาก็มีรูปแบบการนมัสการที่แตกต่างกันมาก

เจมส์เป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรที่ทำตามประเพณีนมัสการ เอโนครับใช้คริสตจักรที่กำลังเติบโตซึ่งใช้แนวคิดร่วมสมัยมากมายในการนมัสการ กิเดโอนยังคงพยายามหารูปแบบของการนมัสการที่เหมาะสมกับคริสตจักรของเขามากที่สุด ศิษยาภิบาลเหล่านี้ได้ใช้เวลามากในการพูดคุยเกี่ยวกับการนมัสการ แต่พวกเขาต้องผิดหวังกับการพยายามเห็นด้วยกันในหลักการพื้นฐานสำหรับการนมัสการ

วันนี้เจสันพูดว่า “เราอาจมองเรื่องนี้ผิดกันอยู่ เรามัวแต่ถามว่า ‘เราชอบรูปแบบการนมัสการอย่างไหน? เราอยากนมัสการแบบไหน?’ จริงแล้วเราน่าจะถามว่า ‘พระเจ้าอยากให้เรานมัสการแบบไหน? พระเจ้าชอบการนมัสการแบบไหน? ถ้าพระเจ้าออกแบบการนมัสการ มันจะออกมาเป็นอย่างไร?’ ถ้าเราเรียนรู้การนมัสการในพระคัมภีร์ว่าเป็นอย่างไร นั่นอาจช่วยเราให้รู้ต้นแบบสำหรับการนมัสการในวันนี้”

► ถ้าพระเจ้าออกแบบการนมัสการ มันจะออกมาเป็นอย่างไร? สรุปสิ่งที่คุณรู้แล้วเกี่ยวกับการนมัสการในพระคัมภีร์

บทนำ: พระเจ้าประสงค์การนมัสการที่ถูกต้องเหมาะสม

ในบทที่ 2 เราเห็นจากพระธรรมวิวรณ์ว่าการนมัสการที่แท้จริงนั้นคือ การนมัสการพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ เราเห็นจากสดุดีบทที่ 15 ว่าพระเจ้าประสงค์ให้ผู้นมัสการของพระองค์บริสุทธิ์ ในบทที่ 3 นี้เราถามว่า “ผู้นมัสการจะเข้าหาพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร?”

มีบางคนพูดว่าพระเจ้าไม่ใส่ใจกับวิธีการนมัสการของเรา พระองค์เพียงแค่ใส่ใจกับหัวใจที่ถูกต้องเท่านั้น เป็นความจริงที่หัวใจเป็นรากของการนมัสการ อย่างไรก็ตามเราพยานมากพอจากพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าใส่ใจอย่างมากเกี่ยวกับวิธีการที่พระองค์ได้รับการนมัสการ

รูปแบบการนมัสการสำคัญเพราะการนมัสการของเรามีผลกระทบต่อความเข้าใจของเราเกี่ยวกับพระเจ้า ในบทเรียนก่อนหน้า เราเห็นว่าภาพที่บิดเบือนเกี่ยวกับพระเจ้านำไปสู่การนมัสการที่บิดเบือน เช่นเดียวกันเป็นความจริงด้วยที่การนมัสการที่บิดเบือนก็ภาพที่เรามองเกี่ยวกับพระเจ้า เมื่ออิสราเอลนมัสการพระเยโฮวาห์ด้วยวิถีการนมัสการพระต่าง ๆ ของชาวคานาอัน ไม่ช้านานพวกเขาก็เชื่อว่าพระลักษณะของพระเจ้าเป็นเหมือนพระต่าง ๆ ของชาวคานาอัน พวกเขาเริ่มเชื่อว่าพระเจ้าผูกพยาบาทและพึ่งไม่ได้ เหมือนกับพระต่าง ๆ ของชาวคานาอัน[1]

รูปแบบการนมัสการสำคัญเพราะวิธีที่เรานมัสการมักจะสะท้อนถึงเหตุผลที่เรานมัสการ หัวใจที่มีความรักก็ปลาบปลื้มในการนมัสการที่ถวายเกียรติพระเจ้า หัวใจที่อิจฉาไม่เชื่อฟังก็อยากนมัสการด้วยวิธีการของตัวเองแทนที่จะด้วยวิธีการของพระเจ้า

ชั้นเรียนในวิทยาลัยหลายแห่งมีข้อกำหนดบางประการสำหรับรูปแบบของเอกสารการวิจัย พวกเขาต้องการใบปะหน้า เชิงอรรถ และระยะขอบที่แน่นอน รายละเอียดเหล่านี้ไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุดของเอกสาร เนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่างไรก็ตาม ครูหลายคนสังเกตเห็นว่านักเรียนที่ใส่ใจในรายละเอียดมักจะใส่ใจเกี่ยวกับเนื้อหา พวกเขาต้องการทำให้ดีที่สุด ในทางกลับกัน นักเรียนที่เพิกเฉยต่อข้อกำหนดเหล่านี้มักละเลยเนื้อหา รูปแบบของเอกสารมักจะสะท้อนถึงเนื้อหาในเอกสาร วิธีที่เรานมัสการมักจะสะท้อนทัศนคติของหัวใจของเรา วิธีที่เรานมัสการมักเกี่ยวข้องกับเหตุผลในการนมัสการ ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงใส่ใจวิธีการที่เรานมัสการ

  • คาอินนำของถวายมาให้พระเจ้า คาอินเป็นคนทำงานกับผืนดิน เขาเอาผลของผืนดินมาถวาย แต่พระเจ้าไม่ยกย่องนับถือคาอินและของถวายของเขา ความล้มเหลวของคาอินในการนมัสการอย่างถูกต้องเหมาะสมแสดงให้เห็นถึงทัศนคติในใจของเขา ของถวายของคาอินคือความสะดวกของตัวเขาเอง แต่พระเจ้าไม่ยอมรับการนมัสการของเขา (ปฐมกาล 4:1-5)

  • อาโรนสร้างวัวทองคำเพื่อใช้ในการนมัสการพระเยโฮวาห์ เขากล่าวว่า “พรุ่งนี้จะเป็นวันเทศกาลเลี้ยงถวายเกียรติพระยาห์เวห์” (อพยพ 32:1-5) เป็นไปได้ว่าอาโรนเชื่อมั่นในตัวเองว่าเขาสามารถนมัสการพระเจ้าด้วยวิธีที่ทำให้ประชาชนพอใจ แต่พระเจ้าไม่ยอมรับการนมัสการของเขา

  • [2]นาดับและอาบีฮูเห็นพระเจ้าของอิสราเอลบนภูเขาซีนาย (อพยพ 24:1-11) พวกเขาเคยใกล้ชิดพระเจ้ามากกว่าใคร ๆ นอกจากโมเสส แต่วันแรกในการทำงานเป็นปุโรหิตในพลับพลา พวกเขาถวายไฟต้องห้ามแด่พระเจ้า พระเจ้าตอบสนองด้วยการให้ไฟจากพระเจ้าเผาผลาญพวกเขา โมเสสอธิบายถึงการพิพากษาของพระเจ้าให้กับบิดาของพวกเขาที่กำลังโศกเศร้าฟังว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ท่ามกลางผู้ที่อยู่ใกล้เรา เราจะสำแดงความบริสุทธิ์ของเรา ต่อหน้าประชาชนทั้งปวง เราจะต้องได้รับการยกย่อง’” (เลวีนิติ 10:1-7) พวกปุโรหิตถวายเครื่องหอมบูชาด้วยวิธีการของตัวเอง แทนที่จะทำตามคำสั่งของพระเจ้า พระเจ้าไม่ยอมรับการนมัสการของพวกเขา

  • อุสซียาห์เป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่ เขาทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระเจ้า ใน 2 พงศาวดารสรุปการปกครองของเขาดังนี้ “…เพราะพระองค์ทรงได้รับความช่วยเหลืออย่างอัศจรรย์จนเข้มแข็ง” (2 พงศาวดาร 26:15) น่าเศร้าที่นี่ไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวของอุสซียาห์ “แต่เมื่อทรงเข้มแข็งแล้ว พระองค์ก็มีพระทัยผยองขึ้นจนทำให้เสื่อมลง เพราะพระองค์ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ และทรงเข้าไปเผาเครื่องหอมบนแท่นบูชาในพระวิหารของพระยาห์เวห์” (2 พงศาวดาร 26:16) เขาพยายามนมัสการพระเจ้าด้วยวิธีการของตัวเองและถูกลงโทษให้เป็นโรคเรื้อน (2 พงศาวดาร 26:1-21) พระเจ้าไม่ยอมรับการนมัสการของเขา

  • พวกคนยิวหลังจากการเนรเทศได้นำเครื่องบูชาที่ไม่ถูกต้องมาถวายในพระวิหาร ความล้มเหลวของพวกเขาในการนำเครื่องบูชาที่ถูกต้องเหมาะสม แสดงให้เห็นถึงท่าทีในใจคือความไม่ใส่ใจ พวกเขาไม่ได้รักพระเจ้าอย่างแท้จริง ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ยอมรับการนมัสการของพวกเขา (มาลาคี 1:6-14)

พระเจ้าใส่ใจเกี่ยวกับวิธีที่พระองค์ได้รับการนมัสการ ตัวอย่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า หากเราทำสิ่งใดด้วยกำลังและสติปัญญาของเราเอง เราก็จะไม่เข้าหาพระเจ้าด้วยวิธีที่ถวายเกียรติพระองค์ อะไรที่ดูเหมือนถูกต้องเหมาะสมสำหรับเราก็อาจไม่เป็นที่ยอมรับต่อพระเจ้าก็ได้ เราต้องมีการทรงนำของพระองค์สำหรับการนมัสการของเรา

เนื่องจากการนมัสการหมายถึงการถวายเกียรติแด่พระเจ้า ดังนั้นการนมัสการของเราจึงต้องถูกกำหนดจากพระลักษณะของพระเจ้าแทนที่จะจากความปรารถนาของเราเอง เราไม่สามารถกำหนดได้เองว่าสิ่งใดที่พระเจ้าพอพระทัย เราต้องดูที่พระวจนะของพระเจ้าเพื่อเรียนรู้วิธีการนมัสการอย่างที่พระเจ้าพอใจ


[1]ในมีคาห์ 6:6-7 พวกผู้นำศาสนาพยายามติดสินบนพระเยโฮวาห์ด้วยการบูชายัญเด็กเล็ก พวกเขาคิดว่าพระเยโฮวาห์คาดหวังให้มีการบูชายัญเด็กเล็กเหมือนอย่างพระโมเลคต้องการ
[2]

“ถ้าคุณเป็นปุโรหิตในพันธสัญญาเดิม และคุณรับใช้พระเจ้าเหมือนกับที่คุณรับใช้พระองค์ตอนนี้ จะนานแค่ไหนก่อนที่พระเจ้าจะทรงสังหารคุณ?”

- วาร์เรน วายส์บี (Warren Wiersbe)
(เรื่องความจริงจังของการนมัสการ)

การเดินไปกับพระเจ้า: การนมัสการในฐานะที่เป็นความสัมพันธ์แห่งพระคุณ

ภาพแรกในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการนมัสการอยู่ในสวนเอเดน “เวลาเย็นวันนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงพระยาห์เวห์พระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน...” (ปฐมกาล 3:8) นี่แสดงให้เห็นถึงอุดมคติของพระเจ้าสำหรับการนมัสการคือ การสามัคคีธรรมที่มั่นคงระหว่างมนุษย์กับพระผู้สร้างของเขา ก่อนการล้มลง การสามัคคีธรรมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าไม่ได้ถูกความบาปขัดขวาง การนมัสการในสวนนั้นเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน

ในสวนนั้น เราเห็นว่าพระเจ้าปรารถนาการสามัคคีธรรมกับสิ่งทรงสร้างทั้งหลาย ก่อนจะล้มลงในบาป มนุษย์มีความสุขกับการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ หลังจากทำบาปนั่นเองที่ทำให้ธรรมชาติของมนุษย์เสื่อมลงจนมนุษย์ต้องซ่อนตัวจากพระเจ้า

ตลอดพันธสัญญาเดิม คำว่า เดินไปกับพระเจ้าถูกใช้เพื่อแสดงว่าการนมัสการนั้นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับพระเจ้า เอโนคเดินไปกับพระเจ้า โนอาห์เดินไปกับพระเจ้า อับราฮัมเดินไปกับพระเจ้า (ปฐมกาล 5:24 ปฐมกาล 6:9 ปฐมกาล 17:1) แต่ละตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงบุคคลที่สร้างความสัมพันธ์โดยการใช้เวลากับพระเจ้า การนมัสการที่ถูกต้องตั้งบนพื้นฐานของการมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า

ปฐมกาล 3:8 แสดงให้เห็นว่าการนมัสการตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ และยังแสดงให้เห็นว่าการนมัสการเป็นไปได้โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น พระของคนต่างชาติคาดหวังให้มนุษย์หาหนทางสู่การนมัสการอย่างเหมาะสมเพื่อเอาใจพวกพระนั้น ในทางตรงกันข้าม พระเยโฮวาห์มีพระคุณโดยจัดเตรียมวิธีการที่เหมาะสมเพื่อนมัสการ มีภาพตัวอย่างสามภาพที่อธิบายเรื่องนี้

พระเจ้าสร้างการนมัสการให้เป็นไปได้สำหรับอาดัมและเอวา

หลังจากการล้มลงในบาป พระเจ้าไม่จำเป็นต้องแสวงหาหรือแม้แต่ยอมรับการนมัสการจากอาดัมและเอวา พวกเขาฝ่าฝืนกฎบัญญัติของพระเจ้า พวกเขาทำให้สิ่งทรงสร้างของพระองค์เสียหาย พวกเขาไม่สมควรได้รับอะไรเลยนอกจากการพิพากษา

หลังจากพวกเขาทำบาป อาดัมและเอวาซ่อนตัวเองจากการสถิตอยู่ด้วยจองพระเจ้า (ปฐมกาล 3:8) ไม่มีการปฏิบัติอย่างอื่นสำหรับอาดัมและเอวา พวกเขาสามารถคาดหวังได้เฉพาะการตายเท่านั้น การตอบสนองอย่างเดียวที่พวกเขารู้คือต้องซ่อนตัวจากผู้ออกกฎ แต่โดยพระคุณ พระเจ้าองค์เจ้านายได้เรียกอาดัม การนมัสการถูกทำให้เป็นไปได้โดยพระคุณของพระเจ้า โดยตัวของเราเองแล้ว เราไม่มีวิธ๊การใดที่จะเข้าถึงพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ได้ โดยผ่านทางพระคุณของพระองค์เท่านั้นที่เราถูกเรียกให้มานมัสการ

พระเจ้าสร้างการนมัสการให้เป็นไปได้สำหรับอับราฮัม

► อ่านปฐมกาล 18:1-8

ในบทที่ 1 เรามองเห็นว่าหนึ่งในคำภาษาฮีบรูสำหรับการนมัสการ (Shachah) หมายถึง “ก้มลงกราบ” หรือ “นมัสการ” คำนี้ถูกใช้ครั้งแรกใน ปฐมกาล 18:2 องค์พระผู้เป็นเจ้าและทูตสวรรค์สองตนปรากฏขณะที่อับรามนั่งตรงประตูเต็นท์ของเขา อับรามวิ่งจากประตูเต็นท์ไปพบพวกเขาและก้มกราบลงที่ดิน อับรามฮัมก้มตัวลงกราบ นั่นคือเขานมัสการ

สังเกตได้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ริเริ่มในเรื่องนี้ คือพระองค์มาหาอับราฮัม พระเจ้าทำให้การนมัสการเป็นไปได้ ในพันธสัญญาเดิมเหมือนกับในพันธสัญญาใหม่ คือการนมัสการถูกทำให้เป็นไปได้โดยพระคุณเท่านั้น การถวายเครื่องบูชาในพันธสัญญาเดิมไม่ได้เป็นวิธีการเอาใจพระเจ้าขี้โมโหที่ไม่ปรารถนาความสัมพันธ์ สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีการที่พระเจ้าคิดค้นเองเพื่อทำให้เกิดการคืนดีระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ที่เต็มไปด้วยบาป แม้ในพันธสัญญาเดิม การนมัสการก็ถูกทำให้เป็นไปได้โดยผ่านทางพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น โดยตัวของเราเอง เราไม่มีความสามารถอะไรที่จะนมัสการพระเจ้าอย่างเหมาะสมได้

พระเจ้าสร้างการนมัสการให้เป็นไปได้สำหรับยาโคบ

► อ่าน ปฐมกาล 28:10-22 เรื่องนี้เปิดเผยอะไรเกี่ยวกับบทบาทของพระเจ้าในการนมัสการ?

หนึ่งในภาพที่น่าประหลาดใจมากที่สุดในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการนมัสการนั้นอยู่ใน ปฐมกาล 28:10-22 ไม่มีสิ่งใดในอดีตของยาโคบที่แสดงถึงคุณสมบัติของผู้นมัสการเลย เขาไม่มีคุณสมบัติตามที่ระบุใน สดุดี 15 เขาไม่ได้แสวงหาพระเจ้า อันที่จริงแล้วเขาวิ่งหนีปัญหาต่าง ๆ ที่ตัวเขาก่อมันขึ้นจากการกระทำที่เป็นการหลอกลวงของเขาเอง ไม่มีหนังสือใดเกี่ยวกับการนมัสการที่บอกว่า “การนมัสการที่พระเจ้ายอมรับมาจากคนโกงที่วิ่งหนีจากผลที่เขาจะได้รับเนื่องจากความบาปของพวกเขาเอง”

อย่างไรก็ตาม พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองแก่ยาโคบโดยไม่คำนึงถึงความไม่คู่ควรของเขา พระคุณของพระเจ้าทำให้การนมัสการเป็นไปได้แม้แต่กับคนที่ไม่คู่ควรอย่างยาโคบ วาร์เรน วายส์บี (Warren Wiersbe) เขียนว่า “โดยพระคุณ พระเจ้าเข้ามาในเราเมื่อเราคาดไม่ถึงหรือแม้กระทั่งสมควรได้รับ เมื่อการนมัสการสิ้นสุดในการเป็นประสบการณ์แห่งพระคุณ มันก็จะเป็นการสิ้นสุดต่อประสบการณ์แห่งพระสิริ”[1]

โดยผ่านทางพระคุณเท่านั้นที่พระเจ้าจะเชิญเราให้เข้าสู่การสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ การนมัสการของเราเป็นการตอบสนองต่อพระคุณของพระองค์ ไม่มีสิ่งที่เราทำในการนมัสการจะคู่ควรกับพระองค์ มีเพียงพระคุณของพระองค์เท่านั้นที่ให้ฤทธิ์เดชแก่เราเพื่อการนมัสการ

เรื่องราวของยาโคบแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างมากอย่างหนึ่งระหว่างการนมัสการพระเยโฮวาห์กับการนมัสการพระเทียมเท็จ ผู้นมัสการพระเทียมเท็จสร้างแท่นบูชาด้วยความพยายามที่จะทำให้พระของพวกเขาพอใจ บนภูเขาคารเมล ผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล “ร้องออกพระนามพระบาอัลตั้งแต่เช้าจนเที่ยง กล่าวว่า “พระบาอัล ขอตอบเราเถิด” แต่ก็ไม่มีเสียงและไม่มีใครตอบ แล้วพวกเขาก็เต้นโขยกเขยกอยู่รอบแท่นซึ่งเขาได้สร้างขึ้นนั้น” (1 พงศ์กษัตริย์ 18:26)

► อ่าน 1 พงศ์กษัตริย์ 18:20-39 เพื่อดูความแตกต่างระหว่างการนมัสการที่แท้จริงกับการนมัสการเทียมเท็จ

[2]ผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลพยายามกระตุ้นให้พระบาอัลสำแดงตนแก่พวกเขา รูปแบบนี้เห็นได้ซ้ำๆ ในการนมัสการรูปเคารพ แท่นบูชาและเครื่องบูชาต่าง ๆ เป็นการพยายามทำให้รูปเคารพพอใจ

ในทางตรงกันข้าม โดยพระคุณ พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองต่อประชากรของพระองค์ในการนมัสการ เอลียาห์สร้างแท่นบูชาด้วยความมั่นใจเต็มที่ว่าพระเจ้าที่เขารับใช้จะตอบคำอธิษฐานของเขา

ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล ขอให้เขาทราบเสียทั่วกันในวันนี้ว่า พระองค์คือพระเจ้าในอิสราเอล และข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ และข้าพระองค์ได้ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นตามพระดำรัสของพระองค์ (1 พงศ์กษัตริย์ 18:36)

ในปฐมกาล หัวหน้าครอบครัวสร้างแท่นบูชาไม่ใช่เพื่อทำให้พระเจ้าสนใจ แต่เป็นอนุสรณ์ ณ สถานที่นั่นที่พระเจ้าสำแดงพระองค์เองแก่เขา แท่นบูชาไม่ได้มีไว้เพื่อทำให้พระเจ้าพอใจ แต่เป็นการเฉลิมฉลองพระคุณของพระเจ้า ยาโคบแสดงให้เราเห็นว่าการนมัสการเป็นไปได้ก็โดยทางพระคุณเท่านั้น เราต้องไม่คิดเลยว่าการนมัสการของเราทำให้เราคู่ควรรับความโปรดปรานจากพระเจ้า เรานมัสการก็เพราะพระคุณ

อะไรเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทำให้การนมัสการเป็นไปได้? ยาโคบได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นเวลา 30 ปีก่อนการเปลี่ยนแปลงนี้จะสมบูรณ์ แต่การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นที่เบธเอล การนมัสการ (แม้เป็นการนมัสการที่ไม่สมบูรณ์แบบจากคนที่ไม่ดีพร้อมเช่นยาโคบ) เปลี่ยนเราและทำสิ่งที่เราไม่สามารถทำเองได้แทนเรา

ตรวจสอบ

ถามตัวเองว่า “ฉันได้รับการเปลี่ยนแปลงจากการนมัสการไหม หรือฉันกำลังเคลื่อนไหวอย่างว่างเปล่า? เมื่อใดที่ฉันเปลี่ยนแปลงการกระทำ ความเชื่อ หรือท่าทีครั้งล่าสุดเนื่องจากการเผชิญหน้ากับพระเจ้าในการนมัสการ?”


[1]Warren W. Wiersbe, Real Worship, (Grand Rapids: Baker Books, 2000), 72
[2]

ในการนมัสการเทียมเท็จ คนสร้างแท่นบูชา
เพื่อทำให้รูปเคารพพอใจ (การงาน)

ในการนมัสการที่แท้จริง คนสร้างแท่นบูชาเพื่อเฉลิมฉลองความโปรดปรานของพระเจ้า (พระคุณ)

อับราฮัม: การนมัสการต้องการการเชื่อฟัง

► อ่าน ปฐมกาล 22:1-19 อะไรคือข้อกำหนดสำหรับการนมัสการในเรื่องราวนี้?

การที่อับราฮัมถวายลูกชายเป็นเครื่องบูชานั้นเป็นการกระทำที่เป็นการนมัสการสูงสุด ในเรื่องนี้สังเกตจุดเน้นเรื่องการเชื่อฟังของอับราฮัม พระเจ้าตรัสว่า “จงพาบุตรของเจ้า...ไปยัง...และถวายเขา...” มีคำสั่งสามประการ อับราฮัม “พาบุตรชายคืออิสอัค...และลุกขึ้นไป...และยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย” อับราฮัมเชื่อฟังคำสั่งแต่ละประการ

การที่อับราฮัมถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา แสดงให้เห็นว่าการนมัสการที่แท้จริงต้องการการเชื่อฟังเต็มที่ การนมัสการไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรืออารมณ์ การนมัสการไม่ใช่แค่การฟังนักร้องหรือนักเทศน์ การนมัสการคือการกระทำที่ตอบสนองต่อพระเจ้า

ย้อนกลับไปที่เรื่องของอับราฮัมใน ปฐมกาล 18 เมื่อเริ่มต้นของเรื่องราว เราเห็นการนมัสการที่เป็นการรับใช้ด้วยการเชื่อฟัง อับราฮัมเห็นชายแปลกหน้าสามคนมาใกล้ค่ายของเขา เขาก้มกราบลงที่พื้นดิน เขานมัสการ

แล้วเราก็เห็นอับราฮัมสาละวนกับการรับใช้ เขาเอาน้ำมาล้างเท้า เขารีบเข้าไปในเต็นท์เพื่อให้ซาราห์ทำขนม เขาเตรียมอาหารและตั้งไว้ตรงหน้าชายทั้งสามคน ในการทำหน้าที่ของคนรับใช้ที่รอคอย เขายืนข้าง ๆ ใต้ต้นไม้ขณะที่ชายสามคนกินอาหาร นี่คือการสื่อสารของคนรับใช้เพื่อให้การรับใช้ที่ดีที่สุดแก่เจ้านาย ผู้นมัสการที่แท้จริงมีท่าทีเต็มใจรับใช้

การเชื่อฟังเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการนมัสการเห็นชัดได้ตลอดพันธสัญญาเดิม เครื่องบูชาของอาแบลเป็นที่ยอมรับเพราะตรงตามที่พระเจ้ากำหนดไว้สำหรับเครื่องบูชา อาแบลนำแกะหัวปีจากฝูงสัตว์ของเขาพร้อมกับไขมันของสัตว์ (ปฐมกาล 4:4) อาแบลนำสิ่งดีที่สุดมาด้วยการเชื่อฟัง ต่างกันกับคาอินที่อยากทำให้หน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นไปด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดเท่าที่จะง่ายได้

การเชื่อฟังเป็นสิ่งจำเป็นต่อการนมัสการเห็นได้ชัดในชีวิตของซาอูล เมื่อซาอูลไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าให้ทำลายสัตว์ทั้งหมดของคนอามาเลข เขาพยายามแก้ตัวโดยอ้างว่าสัตว์ที่ดีที่สุดก็ถูกแยกไว้เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชา ซามูเอลตอบว่า “พระยาห์เวห์พอพระทัยในเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องสัตวบูชามากเท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์หรือ? ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะเอาใจใส่ก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้” (1 ซามูเอล 15:22)

► อ่าน 1 ซามูเอล 15:1-23

พระเจ้าจะไม่ยอมรับการนมัสการจากใจที่กบฏ

การนมัสการที่แท้จริงดลใจให้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับพระเจ้า ดูในเรื่องราวของอับราฮัมอีกครั้ง ในปฐมกาล 18 เริ่มต้นด้วยงานรับใช้ของอับราฮัมต่อพระเจ้า บทนี้จบลงด้วยความสัมพันธ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าถามว่า “เราจะซ่อนสิ่งซึ่งเราจะทำนั้นไม่ให้อับราฮัมรู้หรือ?” หลังจากได้ยินถึงความตั้งใจของพระเจ้า อับราฮัมกล้าที่จะต่อรองกับพระเจ้าเรื่องการทำลายเมืองโสโดม อะไรเกิดขึ้น? ผู้รับใช้ของพระเจ้าก็เป็นเพื่อนของพระเจ้าด้วย

ในการนมัสการนั้นเองที่เราได้รู้จักพระเจ้าจริง ๆ ในการนมัสการนั้นเองที่เรารู้ใจพระเจ้าจนเรากล้าขอ ในการนมัสการที่เป็นการเชื่อฟังนั้นเองที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าหยั่งรากลึก การนมัสการที่พระเจ้ายอมรับรวมทั้งการเชื่อฟัง (งานรับใช้) และความสัมพันธ์ อับราฮัมคือผู้นมัสการที่เป็นทั้งผู้รับใช้และเพื่อนของพระเจ้า

การนมัสการตามหลักพระคัมภีร์ในปัจจุบัน

คุณเคยแปลกใจไหมว่าทำไมบางคนเข้ามาประชุมนมัสการและถูกนำเข้าไปสู่การสถิตอยู่ด้วยในขณะที่บางคนมาเข้าประชุมเดียวกันแต่ะกลับไม่เห็นอะไรเกี่ยวกับพระเจ้าเลย? บางคนถวายและได้รับพระพร บางคนถวายแล้วไม่มีความสุข สิ่งที่ทำให้แตกต่างคือใจที่เชื่อฟัง

ไม่ว่าการนมัสการจะดีงามสักเพียงใด ไม่สำคัญว่านักดนตรีมีความสามารถขนาดไหน ไม่ว่าคำเทศนาจะมีพลังเพียงใด ถ้าหากการนมัสการไม่ได้มาจากใจที่เชื่อฟัง มันก็เป็นได้แค่การนมัสการของคาอิน การนมัสการของคาอินพูดว่า “ฉันเอาเครื่องบูชามาเองอย่างที่ฉันต้องการ มันดีพอแล้ว” การนมัสการที่แท้จริงมาจากใจที่เชื่อฟัง

ตรวจสอบ

ถามตัวเองว่า “ฉันเป็นผู้นมัสการที่เชื่อฟังไหม? การนมัสการของฉันมาจากใจของอาแบลหรือใจของคาอิน?”

เครื่องบูชา: การนมัสการที่เป็นพิธีกรรม

ก่อนการล้มลงในบาป การนมัสการเกิดขึ้นด้วยการมีความสัมพันธ์แบบเรียบง่ายระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ หลังจากความบาปทำลายธรรมชาติของมนุษย์ให้เสื่อมถอย มนุษย์จำเป็นต้องมีกระบวนการเพื่อเข้ามาในการสถิตอยู่ของพระเจ้า โดยพระคุณพระเจ้าจัดเตรียมระบบถวายเครื่องบูชา เครื่องบูชาได้รับการสถาปนาโดยพระเจ้าในสวนนั้นเมื่อพระองค์ฆ่าสัตว์และใช้หนังของมันทำเสื้อผ้าให้อาดัมเอวาสวมใส่ ในเลวีนิติมีการจัดระบบถวายเครื่องบูชาสำหรับการนมัสการของอิสราเอล (เลวีนิติ 1-7 และ 16)

เมื่อเราอ่านอพยพและเลวีนิติ มีความชัดเจนว่ารายละเอียดของการนมัสการนั้นสำคัญสำหรับพระเจ้า ส่วนคนที่โต้แย้งว่า “พระเจ้าไม่ใส่ใจวิธีที่เรานมัสการตราบเท่าที่เรายังนมัสการ” ในอพยพและเลวีนิติแสดงให้เห็นว่าวิธีที่เรานมัสการนั้นสำคัญต่อพระเจ้า! พระเจ้าให้คำสั่งอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการนมัสการ เช่นเดียวกับการเปิดเผยของพระเจ้าต่ออาดัมและเอวาหลังจากการล้มลงในบาป นี่คือเครื่องหมายแห่งพระคุณของพระเจ้า พระเยโฮวาห์ให้คำสั่งที่ชัดเจน “นี่คือวิธีที่เจ้าจะต้องเข้ามาหาเรา” นี่คือกิจแห่งพระคุณ

สำหรับอิสราเอลแล้ว การนมัสการเริ่มต้นก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในบ้านของพระเจ้า กระบวนการตระเตรียมสำหรับการนมัสการแสดงถึงความเคารพยำเกรงของพวกเขาต่อพระเจ้าและต่อบ้านของพระองค์ บทเพลงแห่ขึ้นแสดงให้เห็นว่าแม้แต่การเดินทางไปเยรูซาเล็มก็ไปเพื่อนมัสการ (สดุดี 120-134) พิธีกรรมต่าง ๆ ในการนมัสการไม่ได้ว่างเปล่า แต่ละแง่มุมของเครื่องบูชาเตือนให้ผู้นมัสการระลึกถึงความสำคัญของการนมัสการที่แท้จริง

เครื่องบูชาแทนถึงการยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง

คริสเตียนบางคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับระบบการถวายเครื่องบูชาในพันธสัญญาเดิม พวกเขานึกถึงระบบที่ชาวอิสราเอลจงใจฝ่าฝืนกฎบัญญัติของพระเจ้า นำเครื่องบูชาที่ไร้ความหมายมา แล้วกลับไปสู่บาปเดิม ๆ ทันทีโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในใจ

เป็นความจริงที่สิ่งนี้เกิดขึ้นในบางสถานการณ์ พระเจ้าตอบสนองโดยการตรัสว่า “เราเกลียด เราชังบรรดาวันเทศกาลเลี้ยงของเจ้า และเราไม่ชอบการประชุมตามพิธีของเจ้าเลย แม้ว่าเจ้าถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและธัญบูชาแก่เรา เราก็จะไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้น” (อาโมส 5:21-22)

อย่างไรก็ตาม นี่คือความล้มเหลวของมนุษย์ ไม่ใช่ของพระเจ้า ระบบการถวายเครื่องบูชาล้มเหลวเมื่อมนุษย์ล้มเหลวที่จะทำตามคำสั่งของพระเจ้า แผนงานของพระเจ้าคือเพื่อให้เครื่องบูชาสะท้อนถึงการใจที่กลับใจใหม่อย่างแท้จริง

พิธีกรรมต่าง ๆ ร่วมกับงานเลี้ยงฉลองแสดงให้อิสราเอลเห็นถึงความสำคัญของการปฏิบัติในการนมัสการ ทุกรายละเอียดสื่อสารถึงความยำเกรงของอิสราเอลต่อพระเยโฮวาห์ การนมัสการของอิสราเอลไม่ได้เป็นพิธีกรรมที่ว่างเปล่า พิธีกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับการยอมจำนนและการเชื่อฟังของพวกเขา โดยการวางมือบนหัวของสัตว์ ผู้นมัสการก็เอาตัวเองร่วมในความตายของสัตวบูชานั้น ในการทำเช่นนั้น เขาก็กำลังสารภาพว่า “นี่สมควรเป็นข้าพเจ้า ความบาปของข้าพเจ้าสมควรรับโทษถึงตาย” (ดูใน เลวีนิติ 1:4)

พระเจ้าให้เกียรติการนมัสการที่แท้จริงโดยการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์

การนมัสการของอิสราเอลได้รับการจัดระเบียบเพิ่มเติมด้วยการสร้างพระวิหาร เช่นเดียวกับพลับพลา รายละเอียดแต่ละอย่างของพระวิหารแสดงถึงความเคารพเชื่อฟังพระเจ้าของอิสราเอล (2 พงศาวดาร 1-7) ความจริงจังในการถวายเครื่องบูชาและการนมัสการในพระวิหารแบบเป็นทางการ ทำให้ชาวอิสราเอลนึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเยโฮวาห์และมีความอ่อนน้อมถ่อมตนในการเข้าหาพระองค์

การวางแผนอย่างละเอียดสำหรับพิธีกรรมต่าง ๆ ในการนมัสการไม่ได้ขัดขวางการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า หนึ่งในงานรับใช้ที่ได้รับการจัดระเบียบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ต้องเป็นการมอบถวายพระวิหาร ดาวิดวางแผนสร้างพระวิหารมาหลายปีก่อนหน้า หลังจากพระวิหารสร้างเสร็จสมบูรณ์ โซโลมอนนำให้มีการมอบถวายด้วยการประชุมอย่างงดงามตามที่อธิบายไว้ใน 2 พงศาวดาร 5 มีนักดนตรีตีฉาบ ดีดพิณใหญ่ และพิณ มีปุโรหิต 120 คนเป่าแตร มีคณะนักร้องร้องเพลงสรรเสริญ เมื่อพวกเขาร้องว่า “แล้วพระนิเวศ คือพระนิเวศของพระยาห์เวห์ก็เต็มไปด้วยเมฆ 14 จนปุโรหิตยืนปรนนิบัติไม่ได้ เพราะเหตุเมฆนั้น เพราะพระสิริของพระยาห์เวห์เต็มพระนิเวศของพระเจ้า” (2 พงศาวดาร 5:13-14)

การนมัสการตามหลักพระคัมภีร์ในปัจจุบัน

มีบางคนตอบสนองด้วยการต่อต้านโครงสร้างหรือรูปแบบใด ๆ ในการนมัสการ พวกเขาเชื่อว่าแผนงานเป็นตัวขัดขวางการสัมผัสทางใจในการนมัสการ อย่างไรก็ตามการนมัสการในพระคัมภีร์มีโครงสร้างชัดเจน

ถ้าหากเราตั้งใจนำสิ่งดีที่สุดมาให้พระเจ้า การนมัสการพระองค์จึงสมควรมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เราวางแผนจัดการประชุมไม่ใช่เพื่อทำให้คนอื่นประทับใจกับความไพเราะงดงาม แต่เพื่อนำสิ่งดีที่สุดมามอบถวายให้พระเจ้าในการนมัสการ

ในพระคัมภีร์ ทั้งโครงสร้างที่ละเอียดในการนมัสการ (เหมือนกับการมอบถวายพระวิหาร) และโครงสร้างที่เล็กน้อยในการนมัสการ (เหมือนกับการประชุมในคริสตจักรบ้านสมัยศตวรรษแรก) ก็ได้รับการอวยพรด้วยการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า และทั้งโครงสร้างการนมัสการอย่างละเอียด (เหมือนการนมัสการในพระวิหารสมัยเยเรมีย์) และโครงสร้างการนมัสการที่เล็กน้อย (เหมือนการนมัสการที่วุ่นวายของชาวโครินธ์) สามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า ประเด็นไม่ได้เกี่ยวกับระดับของโครงสร้าง แต่คือการเชื่อฟังพระเจ้ากับความหิวกระหายการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า

ตรวจสอบ

ถามตัวเองว่า “การนมัสการอย่างเปิดเผยของฉัน (ไม่ว่าจะทางการหรือไม่ทางการ) มาจากใจที่เชื่อฟังหรือไม่?”

สดุดี: การนมัสการด้วยการสรรเสริญ

พระธรรมสดุดีคือพระธรรมแห่งการนมัสการของอิสราเอล เป็นหนังสือบทเพลงสรรเสริญ เป็นชุดคำอธิษฐาน เป็นแนวทางในการนมัสการอย่างถูกต้อง เป็นคู่มือสำหรับการดำเนินชีวิตที่ชอบธรรม พระธรรมสดุดีเป็นศูนย์กลางของการนมัสการของอิสราเอล

[1]การสรรเสริญในการนมัสการ

พระธรรมสดุดีแสดงให้เห็นว่าการนมัสการที่แท้จริงประกอบไปด้วยการเน้นอย่างมากเรื่องการสรรเสริญ ยกเว้นสดุดี 88 สดุดีทุกบทที่เหลือล้วนประกอบไปด้วยถ้อยคำสรรเสริญ พิธีกรรมต่าง ๆ ในเลวีนิติเตือนให้เราคิดถึงการนมัสการที่เอาจริงเอาจังในพระคัมภีร์ สดุดีเตือนให้เราคิดถึงความยินดีในการนมัสการตามหลักพระคัมภีร์ สดุดี 120-134 แสดงให้เห็นถึงความปิติยินดีที่ผู้แสวงบุญชาวยิวมีในขณะที่พวกเขาเดินทางไปนมัสการที่เยรูซาเล็ม การสรรเสริญเป็นศูนย์กลางของการนมัสการ

การสรรเสริญพบได้ในพระธรรมสดุดีที่สะท้อนถึงความปิติยินดีในการนมัสการที่แท้จริง การสรรเสริญแสดงถึงความปิติยินดีของเราในพระเจ้า การนมัสการที่แท้จริงรวมถึงการเฉลิมฉลองพระเจ้าและการงานของพระองค์

การคร่ำครวญในการนมัสการ

สดุดีแห่งการคร่ำครวญแสดงให้เห็นอีกแง่มุมของการนมัสการในพระคัมภีร์ การนมัสการทำให้เกิดความจริงใจโปร่งใสอย่างเต็มที่ระหว่างผู้นมัสการกับพระเจ้า ในสดุดีแห่งการคร่ำครวญ ผู้เขียนสดุดีแสดงความรู้สึกผิดหวังกับความอยุติธรรมในโลกนี้ ในสดุดี 10:1 ผู้เขียนสดุดีถามว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ไฉนทรงยืนอยู่ห่างไกล? ไฉนจึงซ่อนพระองค์เสียในยามลำบาก?” ทำไมพระเจ้ายอมให้คนทำชั่วก่อการกบฏและหยิ่งผยอง เพราะการนมัสการขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับพระเจ้า ผู้นมัสการสามารถพูดด้วยความจริงใจและเปิดเผยกับพระเจ้าได้

สดุดี 10 จบลงด้วยการประกาศถึงความไว้วางใจในพระเจ้า

พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์อยู่เป็นนิตย์นิรันดร์ บรรดาประชาชาติจะพินาศไปจากแผ่นดินของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์จะทรงฟังความปรารถนาของผู้ถูกข่มเหง พระองค์จะทรงเสริมกำลังใจเขา และจะเงี่ยพระกรรณฟัง เพื่อประทานความยุติธรรมแก่ลูกกำพร้าและคนที่ถูกบีบบังคับ เพื่อมนุษย์บนแผ่นดินโลกจะไม่ทำให้เขาหวาดกลัวอีกต่อไป (สดุดี 10:16-18)

คำประกาศนี้ตั้งอยู่บนความไว้วางใจพระเจ้า ถึงแม้ว่าคนทำชั่วกระทำอย่างอยุติธรรมต่อไป ผู้เขียนสดุดีกล่าวด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าจะทำสิ่งที่ถูกต้อง

เราเห็นความโปร่งใสจริงใจอย่างเดียวกันในพระธรรมโยบ ความโปร่งใสจริงใจเช่นนั้นตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและสนิทสนมกับพระเจ้า นี่คือการนมัสการที่แท้จริง การนมัสการที่พระเจ้ายอมรับ


[1]

“อย่าลืมรักษาความปีติยินดี
ในพระเจ้าอยู่เสมอ”

- ริชาร์ด แบกซ์เตอร์
(Richard Baxter)

การนมัสการตามหลักพระคัมภีร์ในปัจจุบัน

สดุดีประกอบไปด้วยการสรรเสริญสองลักษณะ ดนตรีในคริสตจักร ของเราควรมีทั้งสองลักษณะนี้

  การสรรเสริญยกย่อง การสรรเสริญพรรณนา
คำนิยาม การสรรเสริญหรือคำสั่งให้สรรเสริญโดยไม่เจาะจง การสรรเสริญที่เจาะจงสำหรับพระลักษณะและกิจอันมีฤทธิ์ของพระเจ้า
ประโยคตัวอย่าง “สรรเสริญพระยาห์เวห์ จงร้องเพลงบทใหม่ถวายพระยาห์เวห์ ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ในที่ชุมนุมของผู้จงรักภักดี”
(สดุดี 149:1).
“พระองค์คือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา คำพิพากษาของพระองค์อยู่ทั่วทั้งแผ่นดินโลก” (สดุดี 105:7).
ประโยชน์ของการสรรเสริญ
ลักษณะนี้
เชิญชวนผู้นมัสการให้เทิดทูนพระเจ้า พระลักษณะอันเป็นธรรมชาติของพระเจ้า
ตัวอย่างจากสดุดี สดุดีเหล่านี้เป็นคำสั่งให้สรรเสริญโดยไม่ได้มีเหตุผลเจาะจง ได้แก่ สดุดี 148-150 สดุดีเหล่านี้อธิบายถึงเหตุผลที่เจาะจงสำหรับการสรรเสริญ ได้แก่ สดุดี 19, 105, และ 136

► ขอให้พิจารณาแต่ละบทของสดุดีทั้งหกบทข้างต้นแล้วเปรียบเทียบลักษณะของการสรรเสริญที่เห็นในแต่ละบทนั้น

► ขอให้พิจารณาชุดบทเพลงสรรเสริญในภาษาของคุณแล้วค้นหาตัวอย่างลักษณะของการสรรเสริญมาชุดละ 2-3 ตัวอย่าง

ตรวจสอบ

การสรรเสริญของผู้เขียนสดุดีแสดงให้เห็นถึงความปิติยินดีในพระเจ้า ถามตัวเองว่า “ฉันปิติยินดีในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?”

ผู้เผยพระวจนะ: การนมัสการด้วยคำประกาศ

กฎของการถวายเครื่องบูชา พลับพลา และพระวิหารแสดงถึงคุณค่าของพิธีกรรมในการนมัสการ อย่างไรก็ตามผู้เผยพระวจนะแสดงให้เห็นว่าพิธีกรรมที่ไม่ได้มาจากใจแห่งการนมัสการก็ว่างเปล่า เมื่อคนอิสราเอลเริ่มต้นทำตามพิธีกรรมต่าง ๆ โดยไม่ได้มีใจเชื่อฟัง ผู้เผยพระวจนะนำถ้อยคำแห่งการพิพากษาของพระเจ้ามา พวกผู้เผยพระวจนะให้คำประกาศว่าพระเจ้าไม่ยอมรับเครื่องบูชาของชนชาติที่ละทิ้งพระเจ้าอีกต่อไป

ผู้เผยพระวจนะแสดงให้เห็นว่าคำประกาศถ้อยคำของพระเจ้าคือการนมัสการ ในการรับใช้ของเรา เราไม่ควรแยกการนมัสการออกจากการเทศนา คำประกาศพระวจนะคือการนมัสการในความจริง การเทศนายืนยันถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้าเหนือเราและสติปัญญาของพระองค์สำหรับชีวิตของเรา นี่คือการนมัสการ เป็นการถวายเกียรติพระเจ้า

ถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ

พิธีกรรมที่ปราศจากความเป็นจริงไม่ใช่การนมัสการ

อาโมสประกาศว่าพระเจ้าได้ปฏิเสธเครื่องบูชาของอิสราเอล เพราะอะไรหรือ? เพราะลักษณะการดำเนินชีวิตของผู้นมัสการเต็มไปด้วยความบาป (อาโมส 5:21-22) อิสยาห์ประกาศว่างานเลี้ยงของอิสราเอลเป็นภาระที่เหน็ดเหนื่อยสำหรับพระเจ้า ทำไมหรือ? เพราะมือของเธอเต็มไปด้วยเลือด

ก่อนการนมัสการ ผู้นมัสการได้รับคำสั่งให้ “จงชำระตัว และทำตัวเจ้าให้สะอาด จงเอาความชั่วของเจ้าไปให้พ้นจากสายตาเรา จงเลิกทำชั่ว จงฝึกทำดี จงเสาะหาความเป็นธรรม จงแก้ไขการบีบบังคับ จงแก้ต่างให้ลูกกำพร้าพ่อ จงสู้ความเพื่อหญิงม่าย” (อิสยาห์ 1:13-17)

พระเจ้าไม่ประทับใจกับพิธีกรรมที่ไม่สะท้อนให้เห็นสภาพที่แท้จริงของใจ

การนมัสการที่แท้จริงต้องการให้เราถวายส่วนดีที่สุด

อับราฮัมถวายบุตรชายของเขาแด่พระเจ้า เขาให้ส่วนดีที่สุดของเขา อาแบลนำลูกหัวปีจากฝูงสัตว์ของเขามาถวาย เขาให้ส่วนดีที่สุดของเขา เลวีนิติกำหนดให้สัตว์ตัวที่ดีที่สุดเป็นเครื่องบูชา ดาวิดปฏิเสธที่จะถวายสิ่งที่เขาไม่ได้สละอะไรเลย (2 ซามูเอล 24:24) ในแต่ละกรณี การนมัสการต้องการให้เราถวายส่วนดีที่สุดของเรา

เรื่องนี้ต่อเนื่องมาในหมวดผู้เผยพระวจนะ มาลาคีเตือนไม่ให้นำสัตว์ที่มีความบกพร่องมาถวายเป็นเครื่องบูชา (มาลาคี 1:6-8) ฮักกัยเตือนถึงการพิพากษาเพราะประชาชนใส่ใจกับบ้านของตัวเองยิ่งกว่าใส่ใจต่อบ้านของพระเจ้า (ฮักกัย 1:8-11) การนมัสการที่แท้จริงต้องการให้เราถวายส่วนดีที่สุดของเรา

การนมัสการที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับชีวิตทุกด้าน

อาโมสตอบสนองในเชิงปฏิบัติต่อการละทิ้งความเชื่อของอิสราเอล วิธีแก้ไขปัญหาไม่ใช่การถวายเครื่องบูชาอีก แต่เป็นชีวิตที่ชอบธรรม “แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่งไหลลงอย่างน้ำ และให้ความชอบธรรมเป็นอย่างลำธารที่ไหลอยู่เป็นนิตย์” (อาโมส 5:24) ผู้เผยพระวจนะไม่ได้ต่อต้านการนมัสการและเครื่องบูชาในพระวิหาร[1] พวกเขาต่อต้านการนมัสการที่ไม่ได้มาพร้อมกับชีวิตที่ชอบธรรม

ตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เราเห็นว่าการนมัสการที่แท้จริงนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตทุกด้าน ในหนังสือหมวดเบญจบรรณ กฎบัญญัติเกี่ยวกับการนมัสการอยู่ถัดมาจากกฎบัญญัติเกี่ยวกับการประพฤติในทางศีลธรรม ทั้งสองอย่างนี้ไม่ได้แยกออกจากกัน ในหมวดประวัติศาสตร์ การไม่เชื่อฟังของอิสราเอลในชีวิตประจำวันส่งผลให้เกิดการทำลายล้างสถานนมัสการของอิสราเอลคือพระวิหาร พวกผู้เผยพระวจนะประกาศว่าพระเจ้าได้ปฏิเสธการนมัสการของอิสราเอลเพราะการไม่เชื่อฟังของเธอ ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูเตือนพวกฟาริสีให้ระลึกว่าการปฏิบัติในการนมัสการ อย่างเช่นการรักษาสะบาโต จะนับว่าไม่มีความหมายอะไรเลยหากปราศจากชีวิตที่มีความเมตตา (มัทธิว 12:7)

ตัวอย่างของผู้เผยพระวจนะ: การเทศนาและกล่าวคำประกาศคือการนมัสการ

พวกผู้เผยพระวจนะแสดงให้เห็นว่าการกล่าวคำประกาศพระวจนะของพระเจ้าคือการนมัสการ ลองนึกภาพความไร้เหตุผลของเยเรมีย์ที่ไปยืนต่อหน้าพระวิหารและกล่าวว่า “จงเข้าไปในพระวิหาร ร้องเพลงสดุดี และถวายเครื่องบูชาของเจ้า นั่นจะเป็นการนมัสการ เมื่อพวกเจ้าทำสิ่งนี้แล้ว เราจึงจะเทศนาถ้อยคำของพระเจ้าให้เจ้าฟัง” ไม่ใช่แบบนั้น! การกล่าวคำประกาศของเยเรมีย์เองที่เป็นกิจแห่งการนมัสการ เยเรมีย์เทศนาว่าพระเจ้าได้ปฏิเสธการนมัสการของอิสราเอลเพราะชีวิตที่เต็มไปด้วยความบาปของพวกเขา นี่คือการนมัสการ มันคือการตระหนักถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ มันคือการตระหนักถึงคุณค่าของพระเจ้า


[1]นักวิชาการบางคนกล่าวว่าผู้เผยพระวจนะปฏิเสธระบบวิหาร อย่างไรก็ตาม ผู้เผยพระวจนะหลายคนมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพระวิหาร อิสยาห์เห็นพระเจ้าในพระวิหาร เอเสเคียลพยากรณ์ถึงพระวิหารที่ได้รับการบูรณะซึ่งเต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ฮักกัยสนับสนุนให้เศรุบบาเบลสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ ผู้เผยพระวจนะไม่ได้ปฏิเสธเครื่องบูชา พวกเขาปฏิเสธการใช้เครื่องบูชาในทางที่ผิด

การนมัสการตามหลักพระคัมภีร์ในปัจจุบัน

บางคริสตจักรแยกการนมัสการและเทศนาออกจากกัน พวกเขาประกาศว่า “เราจะเริ่มต้นด้วยการนมัสการ” หลังจากนมัสการเสร็จ พวกเขาจึงเทศนา การทำแบบนี้มีอันตรายสองอย่าง คือ

1. เป็นการให้ความหมายว่าการนมัสการจำกัดอยู่แค่การใช้ดนตรี ซึ่งทำให้การนมัสการจดจ่ออยู่กับที่อารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น การนมัสการที่แท้จริงไม่ได้มีเพียงแค่ดนตรีและบทเพลง

2. เป็นการแยกการกล่าวคำประกาศออกจาการนมัสการ ทุกสิ่งที่เราทำในรอบนมัสการของคริสตจักรควรเป็นการนมัสการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ดนตรี การอธิษฐาน พระวจนะ คำเทศนา และแม้แต่การถวายทรัพย์ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ

ตรวจสอบ

ถามตัวเองว่า “การเทศนาของฉันเป็นกิจแห่งการนมัสการไหม? เมื่อฉันเทศนา ฉันกล่าวในฐานะผู้สื่อสารของพระเจ้าที่ยกย่องคุณค่าของพระเจ้าหรือไม่?”

การนมัสการที่อันตราย: ความไม่สมดุลในการนมัสการ

(1) อันตรายของการนมัสการแบบเป็นกันเองมากเกินไป

เมื่อเราลืมว่าการนมัสการตามหลักพระคัมภีร์เรียกร้องให้เรายอมจำนน เราก็สามารถปฏิบัติต่อพระเจ้าแบบเป็นกันเองในฐานะเพื่อนที่ไม่ต้องให้ความเคารพ การนมัสการที่ไม่เป็นทางการมากเกินไปทำให้เกิดทัศนคติเช่นนี้ได้ เราต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้น่าเกรงขามที่ประสงค์การเชื่อฟังอย่างเต็มที่ พระองค์คือ “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ ผู้เป็นองค์อมตะ และไม่ทรงปรากฏแก่ตา ผู้เป็นพระเจ้าแต่เพียงองค์เดียว” (1 ทิโมธี 1:17) บางคริสตจักรลืมความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ทำให้การนมัสการดีกว่าการดื่มกาแฟกับเพื่อนเก่าเพียงเล็กน้อย

(2) อันตรายของการนมัสการแบบทางการมากเกินไป

เมื่อเราลืมว่าการนมัสการตามหลักพระคัมภีร์คือการนมัสการพระเจ้าผู้ปรารถนาสร้างความสัมพันธ์กับเรา เราสามารถเริ่มต้นปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะองค์ศักดิ์สิทธิที่อยู่ห่างไกล การนมัสการแบบทางการมากเกินไปทำให้เกิดทัศนคติเช่นนี้ได้ บางคริสตจักรไม่เปิดโอกาสให้ผู้เชื่อมีความสนิทสนมกับพระเจ้า จุดเน้นทั้งหมดคือความยิ่งใหญ่และทรงบารมีของพระองค์

ในการนมัสการ เราควรพบกับสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเหนือสิ่งทรงสร้างของพระองค์ และพบกับความสนิทสนมกับบรรดาลูกของพระองค์

ตรวจสอบ

ย้อนคิดถึงรอบนมัสการครั้งล่าสุดของคุณ ถามตัวเองว่า “ส่วนไหนของรอบนมัสการที่หนุนใจให้ผู้นมัสการยกย่องความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า? พวกเขากลับไปด้วยความรู้สึกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่หรือไม่?” จากนั้นถามตัวเองว่า “ส่วนใดของรอบนมัสการที่หนุนใจผู้นมัสการให้มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับพระเจ้าแบบเพื่อน? พวกเขากลับไปโดยรู้ว่าพระเจ้ารักพวกเขาอย่างลึกซึ้งไหม?”

สรุป: คำพยานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อุทิศถวายพระวิหาร

การอยู่ในเหตุการณ์ที่มีการอุทิศถวายพระวิหารจะเป็นแบบไหน? บางทีอาจแสดงออกดังนี้

“ฉันอยู่ที่นั่นที่มีการอุทิศถวายพระวิหาร ฉันจะไม่มีวันลืมวันนั้นเลย เราตั้งตารอคอยการนมัสการนั้นมาหลายปี”

“หลายปีหรือ? ใช่ หลายปี! กษัตริย์ดาวิดได้วางแผนสร้างพระวิหารและส่งต่อให้กับโซโลมอนก่อนเขาตาย ตอนนี้พระวิหารสร้างเสร็จแล้ว และการนมัสการเพื่ออุทิศถวายที่รอคอยกันมานานก็เกิดขึ้น”

“ช่างเป็นการนมัสการที่จัดอย่างสวยงามและตื่นตา ลองนึกถึง...

  • เครื่องบูชาคือวัว 22,000 ตัว และแกะ 120,000 ตัว

  • คณะนักร้องหลายร้อยคนร้องเพลงสดุดีของดาวิด

  • วงดนตรีออเครสตาประกอบไปด้วยฉิ่ง พิณใหญ่ พิณ และแตร 120 ชิ้น

  • พวกปุโรหิตและคนเลวีสวมชุดผ้าลินินสีขาว

  • หนึ่งในอาคารที่งดงามที่สุดที่เคยถูกสร้างมา

  • ภาชนะทองคำและเงินสำหรับประกอบกิจแห่งการนมัสการแต่ละอย่าง”

“เป็นการนมัสการที่งดงาม แต่ความงดงามของรายการไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการจดจำของฉัน สิ่งที่ฉันจดจำคือเมื่อนักดนตรีเริ่มต้นบรรเลงและร้องเพลง ‘พระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็เต็มทั่วทั้งพระนิเวศของพระเจ้า’ การสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าเต็มพระวิหารจนพวกปุโรหิตไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้ การนมัสการถวายแด่พระเจ้าถูกควบคุมโดยพระเจ้า!”

“เป็นเวลาหลายปีแล้วนับจากการนมัสการอันน่าจดจำนั้นเกิดขึ้น ฉันไม่ได้บอกว่าทุกการนมัสการที่ฉันเข้าร่วมนับจากวันนั้นจะมีหมายสำคัญที่มองเห็นได้อย่างเดียวกันถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า นั่นเป็นวันพิเศษ อย่างไรก็ตามในทุกการนมัสการที่ฉันเข้าร่วม ฉันเฝ้ารอการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า”

“บางครั้ง การสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ก็ตื่นเต้นเร้าใจ แต่บางครั้งก็เงียบสงบ บางครั้งการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์สัมผัสได้ผ่านการร้องเพลง บางครั้งพระองค์ตรัสผ่านคำเทศนา บางครั้งอารมณ์ความรู้สึกของฉันได้รับการสัมผัส บางครั้งความจริงของพระองค์พูดกับความนึกคิดและความตั้งใจของฉัน บางครั้งฉันกลับมาโดยได้รับกำลังใจ บางครั้งฉันก็สำนึกผิด”

“ไม่ว่าพระเจ้าจะเลือกเปิดเผยพระองค์แบบไหน ฉันเห็นคุณค่าการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ ฉันอาจไม่ได้เห็นการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าอันน่าทึ่งแบบตาเห็นได้อย่างนั้นอีก แต่ฉันสามารถเข้าไปในการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ทุกครั้งที่ฉันนมัสการ”

► เพื่อประยุกต์ใช้บทเรียนนี้ในเชิงปฏิบัติ ขอให้อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับบทความต่อไปนี้

เอสเธอร์เป็นคริสเตียนที่จริงใจคนหนึ่ง เธอชอบเข้าร่วมรอบนมัสการในหมู่บ้านของเธอ ดนตรีที่ตื่นเต้นมีพลังกับการสามัคคีธรรมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่ายินดีจากที่ต้องเจอความยากลำบากต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เธอชอบความรู้สึกและอารมณ์ของเธอขณะที่นมัสการพระเจ้าด้วยสุดใจ อย่างไรก็ตาม เอสเธอร์พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะรักษาความตื่นเต้นและพลังอย่างเดียวกันกับที่มีในการนมัสการเช้าวันอาทิตย์ ให้คงอยู่ในชีวิตสมรสและในหน้าที่การงานแต่ละวันได้ คุณจะให้คำปรึกษาแก่เอสเธอร์อย่างไร?

ทบทวนบทที่ 3

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) พระเจ้าใส่ใจวิธีที่เรานมัสการเพราะ...

  • รูปแบบการนมัสการของเรามีผลกระทบต่อความเข้าใจของเราเกี่ยวกับพระเจ้า

  • รูปแบบการนมัสการของเราแสดงให้เห็นว่าทำไมเราจึงนมัสการ

(2) การนมัสการคือความสัมพันธ์ - การเดินไปกับพระเจ้า

  • พระเจ้าเตรียมวิธีการนมัสการให้กับอาดัมและเอวา

  • พระเจ้าเป็นฝ่ายเริ่มต้นทำให้การนมัสการเป็นไปได้สำหรับอับราฮัม

  • พระคุณของพระเจ้าทำให้การนมัสการเป็นไปได้สำหรับยาโคบ

  • เมื่อเราเดินไปกับพระเจ้า ชีวิตของเราได้รับการเปลี่ยนแปลง

(3) การนมัสการเริ่มต้นจากการเชื่อฟัง

  • การนมัสการไม่ได้เป็นเพียงแค่อารมณ์ความรู้สึก

  • การนมัสการเป็นการตอบสนองอย่างกระตือรือร้นต่อคำสั่งของพระเจ้า

  • การเชื่อฟังพระเจ้าทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ลึกซึ้ง

(4) การนมัสการเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม (การถวายเครื่องบูชาในพันธสัญญาเดิม)

  • การถวายเครื่องบูชาแทนถึงการยอมจำนนอย่างสิ้นเชิงต่อพระเจ้า (โรม 12:1)

  • พระเจ้าให้เกียรติการนมัสการที่แท้จริงโดยการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ (2 พงศาวดาร 5)

  • พิธีกรรมภายนอกต้องมาจากใจที่เชื่อฟัง

(5) การนมัสการเกี่ยวข้องกับการสรรเสริญ (สดุดี)

  • พระธรรมสดุดีแสดงให้เห็นว่าการนมัสการเกี่ยวข้องกับการสรรเสริญ

  • พระธรรมสดุดีแสดงให้เห็นว่าการนมัสการเกี่ยวข้องกับการคร่ำครวญ

(6) การนมัสการเกี่ยวข้องกับการกล่าวคำประกาศ (ผู้เผยพระวจนะ)

  • การนมัสการไม่ได้เป็นเพียงแค่การสรรเสริญ แต่เป็นการกล่าวคำประกาศความจริง การเทศนาคือการนมัสการ

  • ผู้เผยพระวจนะสอนว่าพิธีกรรมที่ปราศจากความเป็นจริงไม่ใช่การนมัสการ

  • ผู้เผยพระวจนะสอนว่าการนมัสการที่แท้จริงต้องการให้เราถวายส่วนดีที่สุด

  • ผู้เผยพระวจนะสอนว่าการนมัสการที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับชีวิตทุกด้าน

งานมอบหมายบทที่ 3

(1) เขียนหลักการนมัสการสามประการในพันธสัญญาเดิมที่คุณได้เรียนรู้จากบทเรียนนี้ เขียนหนึ่งหน้ากระดาษเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติจากหลักการแต่ละอย่างที่คุณได้อภิปรายร่วมกันเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในคริสตจักรของคุณ

(2) เมื่อเริ่มต้นชั่วโมงเรียนถัดไป คุณจะต้องทำแบบทดสอบของบทเรียนนี้ ขอให้เตรียมตัวด้วยการศึกษาคำถามของแบบทดสอบอย่างละเอียด

แบบทดสอบบทที่ 3

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) จากบทเรียนนี้ เขียนตัวอย่างของการนมัสการในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าปฏิเสธมาสองตัวอย่าง

(2) คำว่าเดินไปกับพระเจ้าแสดงให้เห็นว่าการนมัสการเกี่ยวข้องกับ __________ กับพระเจ้า

(3) จากบทเรียนนี้ เขียนชื่อคนที่ไม่สมควรแต่พระเจ้าทำให้เขานมัสการพระองค์ได้ด้วยพระคุณของพระองค์

(4) เครื่องบูชาของอับราฮัมคือ อิสอัค แสดงให้เห็นว่าการนมัสการที่แท้จริงต้องการ __________อย่างสิ้นเชิง

(5) ความแตกต่างระหว่างการนมัสการของอาแบลกับการนมัสการของคาอินคืออะไร?

(6) การที่ผู้นมัสการวางมือของตนบนหัวของสัตว์ที่เป็นเครื่องบูชามีความหมายว่าอย่างไร?

(7) เขียนคำนิยามของการสรรเสริญยกย่องและการสรรเสริญพรรณนา

(8) พวกผู้เผยพระวจนะแสดงให้เห็นว่าคำ __________ ถ้อยคำของพระเจ้าคือการนมัสการ

(9) เขียนลักษณะสามประการจากถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะเกี่ยวกับการนมัสการ

(10) เขียนอันตรายสองประการของความไม่สมดุลในการนมัสการ

(11) เขียน มีคาห์ 6:6-8 จากการท่องจำ

Next Lesson