แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 6: ดนตรีในการนมัสการ

2 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์ของบทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) ยอมรับเหตุผลในเชิงพระคัมภีร์ ศาสนศาสตร์ และการปฏิบัติสำหรับดนตรีในการนมัสการ

(2) เข้าใจว่าดนตรีพูดกับความนึกคิด จิตใจ ร่างกาย และเจตจำนงได้

(3) ใช้หลักการพระคัมภีร์นำในการเลือกดนตรีในการนมัสการ

(4) ประยุกต์ใช้หลักการพระคัมภีร์กับคำถามในเชิงปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับดนตรีในการนมัสการ

การเตรียมตัวสำหรับบทเรียนนี้

ท่องจำ โคโลสี 3:15-17

บทนำ

มัทธิวอยากลาออกจากตำแหน่งศิษยาภิบาลที่คริสตจักรของเขา เขาเคยมาถึงที่คริสตจักรเลคไซด์ เฟิร์ช เชิร์ช ด้วยความตื่นเต้นและมีความหวัง เขารักการศึกษาและเตรียมเทศนา เขาชอบเยี่ยมเยียนผู้คนและปลอบใจคนที่กำลังบอบช้ำ เขาตื่นเต้นที่มีโอกาสแบ่งปันข่าวประเสริฐกับคนที่ไม่เชื่อ สมาชิกคริสตจักรของเขาชอบคำเทศนาของเขา คนใหม่กำลังเข้ามาร่วม มัทธิวควรตื่นเต้นในการเป็นศิษยาภิบาล แต่มีบางอย่างผิดปกติ ทุกอย่างลงเอยด้วยความขัดแย้งเรื่องดนตรี

ทุกเข้าวันจันทร์ โยสิยาห์จะโทรไปที่สำนักงานคริสตจักรบอกว่า “อาจารย์ เมื่อวานดนตรีแย่มาก! ผมไม่รู้จักเพลงสุดท้ายเลย คีย์บอร์ดก็เล่นดังเกิน ยืนฟังไม่ได้เลย อาจารย์ต้องทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับดนตรีในคริสตจักรนี้นะครับ!”

จากนั้นทุกวันอังคาร มัทธิวจะพบกับผู้จัดการดนตรีที่ชื่อว่า โธมัส โธมัสมีคำบ่นว่าที่ต่างออกไป “อาจารย์ ทำไมเรายังร้องเพลงเก่า ๆ อยู่อีก? คณะนักร้องเบื่อที่ร้องเพลงพวกนี้แล้ว วันอาทิตย์เราร้องเพลงเก่าสองเพลงกับเพลงใหม่แค่เพลงเดียว ทำไมเราถอดเพลงสรรเสริญพวกนี้ออกไปไม่ได้หรือครับ? คริสตจักรใหญ่ ๆ เขาเปลี่ยนกันหมดแล้ว ขอยอมให้ผมเปลี่ยนแนวดนตรีเถอะครับ!”

ตอนกลางคืนวันอังคาร มัทธิวรู้สึกเหมือนอยากจะเลิกรา ส่วนหนึ่งของคริสตจักรเลคไซด์ เฟิร์ช เชิร์ช ชอบเพลงสรรเสริญเก่า ๆ พวกเขาบ่นทุกครั้งที่มีเพลงใหม่เข้ามา และส่วนหนึ่งของคริสตจักรเลคไซด์ เฟิร์ช เชิร์ช เกลียดเพลงสรรเสริญเก่า ๆ พวกเขาอยากให้ร้องเพลงสรรเสริญนมัสการแนวใหม่เท่านั้น มัทธิวหาทางออกไม่ได้

► คุณจะให้คำแนะนำกับศิษยาภิบาลมัทธิวอย่างไร? ดนตรีในคริสตจักรของเขาจะเป็นพระพรต่อคนแต่ละกลุ่มในคริสตจักรของเขาได้อย่างไร?

เหตุผลที่ดนตรีมีความสำคัญในการนมัสการ

ในการสัมภาษณ์เกี่ยวกับดนตรีในคริสตจักร ศิษยาภิบาลคนหนึ่งเคยพูดว่า “เราไม่จำเป็นต้องมีดนตรีในการนมัสการ ถ้าหากเราเทศนาพระวจนะของพระเจ้าอย่างเกิดผล การร้องเพลงก็ไม่จำเป็น” ศิษยาภิบาลคนนี้ไม่เห็นคุณค่าของดนตรีในการนมัสการ

► คุณจะตอบศิษยาภิบาลคนนี้อย่างไร? ทำไมดนตรีจึงมีความสำคัญในการนมัสการของเรา?

คริสเตียนคือกลุ่มคนที่ร้องเพลง มุสลิมไม่ได้รวมตัวกันเพื่อร้องเพลง ชาวพุทธก็ไม่ได้รวมตัวกันเพื่อร้องเพลง ฮินดูก็ไม่ได้รวมตัวกันเพื่อร้องเพลง แต่คริสเตียนรวมตัวกันเพื่อร้องเพลง ไม่ใช่คริสเตียนทุกคนที่เทศนา นำอธิษฐาน หรืออ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม แต่คริสเตียนทุกคนสามารถและควรร้องเพลง มีเหตุผลบางประการที่ดนตรีมีความสำคัญในการนมัสการของคริสเตียน

เหตุผลในพระคัมภีร์สำหรับดนตรีในการนมัสการ

ดนตรีสำคัญในการนมัสการเพราะดนตรีสำคัญในพระคัมภีร์ ในพระคัมภีร์มีเกือบ 600 คำกล่าวอ้างอิงถึงการร้องเพลงและดนตรี มีสี่สิบสี่พระธรรมในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงดนตรี

บทเพลงในพระคัมภีร์เกี่ยวข้องกับหลากหลายเหตุการณ์:

  • อิสราเอลสรรเสริญพระเจ้าสำหรับชัยชนะเหนือกองทัพของฟาโรห์ (อพยพ 15)

  • อิสราเอลสรรเสริญพระเจ้าหลังจากชัยชนะของเดโบราห์เหนือยาบิน (ผู้วินิจฉัย 5)

  • คณะนักร้องนมัสการในการมอบถวายพระวิหาร (2 พงศาวดาร 5:11-14)

  • คณะนักร้องนำนมัสการในการสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ (เอสรา 3:10-12)

  • พระธรรมสดุดีคือชุดบทเพลงสรรเสริญที่ใช้ในการนมัสการของคนยิวและของคริสเตียน

  • พระเยซูกับพวกสาวกร้องบทเพลงสรรเสริญช่วงอาหารมื้อสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า (มัทธิว 26:30)

  • เปาโลและสิลาสร้องเพลงสรรเสริญในคุก (กิจการ 16:22-25)

  • ยอห์นเห็นว่าการร้องเพลงเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการในสวรรค์ (วิวรณ์ 4 และ 5)

เหตุผลทางศาสนศาสตร์สำหรับดนตรีในการนมัสการ

ผู้นมัสการชาวยิวร้องเพลงขณะที่พวกเขานมัสการ คริสเตียนในยุคแรกร้องเพลงด้วยความขอบคุณต่อพระเจ้า (โคโลสี 3:16) ดนตรีเป็นส่วนสำคัญของการนมัสการของคริสเตียน

น่าเสียดายที่ในช่วงยุคกลาง บทบาทของดนตรีในการนมัสการเปลี่ยนไป คริสตจักรต่างๆ ไม่ค่อยให้ที่ประชุมร้องเพลงสรรเสริญ แต่จะให้ที่ประชุมดูและฟังนักร้องวงประสานเสียงที่ได้รับการฝึกฝนร้องเพลงสรรเสริญอันลึกซึ้งซับซ้อนแทน

มาร์ติน ลูเธอร์ นำดนตรีนมัสการกลับคืนสู่ที่ประชุมคริสตจักร ดนตรีในที่ประชุมแสดงออกถึงหลักศาสนศาสตร์เรื่องความเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อ หลักการนี้สอนว่าคริสเตียนทุกคนสามารถเข้าหาพระเจ้าโดยตรงได้ เราไม่จำเป็นต้องมีปุโรหิตที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางแล้ว นี่หมายความว่าผู้เชื่อทุกคนมีสิทธิพิเศษและความรับผิดชอบในสิ่งต่อไปนี้

  • อธิษฐานต่อพระเจ้าโดยตรง

  • ฟังพระเจ้าตรัสผ่านทางพระวจนะของพระองค์

  • ร้องเพลงในการนมัสการ

มาร์ติน ลูเธอร์ เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการอ่านพระคัมภีร์กับการร้องเพลง เขาพูดว่า “ให้พระเจ้าตรัสโดยตรงกับผู้คนผ่านทางพระวจนะ และให้ผู้คนตอบสนองด้วยบทเพลงสรรเสริญขอบคุณ”[1]

หลักศาสนศาสตร์อย่างที่สองที่แสดงออกทางดนตรีคือความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร คำกล่าวอ้างอิงส่วนใหญ่ในพระคัมภีร์กล่าวถึงการร้องเพลงว่าเป็นการร้องเพลงในที่ประชุม การร้องเพลงของคนทั้งหมด เปาโลสั่งให้คริสเตียนในยุคแรกสั่งสอนและเตือนสติกันและกันด้วยบทเพลง (โคโลสี 3:16) เมื่อคริสตจักรร้องเพลงร่วมกัน เราแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร


[1]อ้างอิงใน David Jeremiah, Worship (CA: Turning Point Outreach, 1995), 52.

การนมัสการที่อันตราย: การสูญเสียบทเพลงในที่ประชุม

บทเพลงสรรเสริญอันไพเราะของ ไอแซค วัทส์ (Isaac Watts) กล่าวว่า “ผู้ไม่รักพระเยซู ก็ไม่รู้เพลงของเรา แต่เราผู้เป็นบุตรของพระเจ้า ร้องเพลงด้วยความยินดี!”[1]

มาร์ติน ลูเธอร์ กล่าวว่า “หากใครไม่ร้องเพลงและพูดถึงสิ่งที่พระคริสต์ได้ทำเพื่อเรา เขาก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เชื่ออย่างแท้จริง”[2] สิทธิพิเศษของการร้องเพลงในที่ประชุมที่สูญหายไปในยุคกลางได้ถูกนำกลับคืนมาโดยกลุ่มปฏิรูป พวกเขาเชื่อว่าการนมัสการด้วยบทเพลงเป็นของผู้คน น่าเสียดายที่ในหลายคริสตจักร สิทธิพิเศษนี้กลับสูญหายไปอีก

การแสดงออกทางดนตรีถึงความเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อถูกคุกคามโดยดนตรีที่นักร้องธรรมดาเข้าถึงไม่ได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อคณะนักร้องที่ได้รับการฝึกฝนร้องเพลงที่ยากเกินกว่าคนส่วนใหญ่จะร้องได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อทีมสรรเสริญร้องเพลงบทใหม่ที่มีน้อยคนจะร้องได้ เราไม่ควรอนุญาตให้คนกลุ่มเล็กมาแทนที่บทเพลงในที่ประชุม

การแสดงออกทางดนตรีถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักรถูกคุกคามในคริสตจักรต่าง ๆ ที่แบ่งที่ประชุมตามรอบนมัสการที่มีรูปแบบการนมัสการที่แตกต่างกันหรือวัยแตกต่างกัน เป็นเรื่องยากที่จะเห็นคริสตจักรเป็นกายเดียวกันเมื่อสมาชิกที่เป็นผู้ใหญ่กว่าไม่เคยเห็นสมาชิกที่อ่อนวัยกว่า

ลองนึกถึงคำแนะนำของเปาโลต่อคริสตจักรที่เอเฟซัสโดยแปลใหม่สำหรับคริสตจักรสมัยใหม่ดังนี้

  • คนที่ร้องเพลงสดุดีให้มาพบกันวันอาทิตย์เวลา 8:30 น.

  • คนที่ร้องบทเพลงสรรเสริญให้มาพบกันวันอาทิตย์เวลา 11:00 น.

  • คนที่ร้องเพลงฝ่ายจิตวิญญาณให้มาพบกันวันอาทิตย์เวลา 19:00 น.

ไม่ใช่! เปาโลกำลังพูดถึงสมาชิกคริสตจักรทั้งหมดเมื่อกำชับให้พวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ ให้ปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ คือร้องเพลงและสดุดีจากใจถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า (เอเฟซัส 5:18-19)

ในทางปฏิบัติ สิ่งนี้มีความหมายว่าอวัยวะแต่ละส่วนในพระกายของพระคริสต์ยอมสละความชอบของตนเพื่อเห็นแก่ความเป็นหนึ่งเดียวกันในพระกาย วัยรุ่นร้องบทเพลงสรรเสริญที่ท่วงทำนองไม่ได้ตื่นเต้นมาก ทำไมหรือ? เพราะเขาเป็นอวัยวะในพระกาย และพระกายกำลังร้องบทเพลงสรรเสริญแบบดั้งเดิม ผู้เชื่อที่อายุมากกว่าก็ร่วมร้องเพลงสรรเสริญบทใหม่ซึ่งเธอไม่ค่อยชอบ ทำไมหรือ? เพราะเธอเป็นอวัยวะในพระกาย และพระกายกำลังร้องเพลงบทใหม่

นักดนตรีที่ได้รับการฝึกฝนในคริสตจักรเล็ก ๆ ในชนบทร้องเพลงที่ไม่มีความท้าทายทางดนตรี ทำไมหรือ? เพราะเขาเป็นอวัยวะของพระกาย และพระกายประกอบไปด้วยสมาชิกที่ไม่ได้ให้คุณค่ากับดนตรีชั้นยอด สมาชิกคริสตจักรที่ไม่ได้ฝึกฝนอาจพูดว่า “อาเมน” ตอบท้ายของเพลงที่ร้องในแบบที่เธอไม่ได้ซาบซึ้ง ทำไมหรือ? เพราะเธอเป็นอวัยวะของพระกาย และพระกายประกอบไปด้วยสมาชิกที่ร้องเพลงซึ่งเกินจากความซาบซึ้งของเธอ

หลักการนี้ใช้ได้มากกว่าเรื่องดนตรี ศิษยาภิบาลทำให้คำเทศนาของเขาง่ายขึ้นเพื่อให้เด็ก ๆ และผู้เชื่อใหม่เข้าใจได้ ผู้เชื่อใหม่ศึกษาเพื่อทำความเข้าใจข้อความในคำเทศนาที่ขยายขอบเขตความรู้ที่จำกัดของพวกเขาเกี่ยวกับพระคัมภีร์

วัยรุ่นนั่งในการประชุมนมัสการที่ดูเหมือนใช้เวลานาน ทำไมหรือ? เพราะพวกเขาเป็นอวัยวะของพระกายและรู้ว่าบางแง่มุมของการประชุมนมัสการอาจเหนือความเข้าใจของพวกเขา ผู้เชื่อที่เป็นผู้ใหญ่ใจดีกับทารกที่กำลังร้องเสียงดังในที่ประชุมนมัสการ ทำไมหรือ? เพราะพวกเขาเป็นอวัยวะของพระกาย และพวกเขาชื่มชมยินดีที่พระกายมีคนหนุ่มสาวที่เสียงดัง

นี่คือส่วนของการนมัสการหรือไม่? ใช่แน่นอน! ศาสนศาสตร์ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการนมัสการรวมถึงการเห็นคุณค่าความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร นี่หมายถึงการละทิ้งความชอบส่วนตัวเพื่อประโยชน์ของพระกาย หมายถึงการร้องเพลงที่คุณไม่ชอบ สำหรับผู้นำ นั่นหมายถึงการเลือกบทเพลงที่รับใช้ทุกส่วนของพระกายได้ ไม่ใช่เลือกแต่เพลงสรรเสริญที่ชอบเท่านั้น บทเพลงในที่ประชุมต้องรับใช้ทั้งคริสตจักร ไม่ใช่แค่กลุ่มจำกัดเท่านั้น

► คิดถึงดนตรีที่คุณใช้ในการนมัสการช่วงสี่สัปดาห์ที่ผ่านมา คุณร้องเพลงที่พูดกับทุกคนในที่ประชุมไหม? ในฐานะผู้นำ คุณเต็มใจที่จะไม่เลือกเพลงที่คุณชอบเท่านั้น แต่เลือกเพลงที่พูดกับที่ประชุมไหม? ดนตรีของคุณแสดงให้เห็นความเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อและความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักรโดยหนุนใจให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมไหม?


[1]แปลจากภาษาอังกฤษสำหรับหนังสือเล่มนี้ Isaac Watts, “เราเดินไปเมืองซีโยน” เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ 12 มกราคม 2023 https://library.timelesstruths.org/music/Were_Marching_to_Zion/
[2]อ้างอิงใน Ronald Allen และ Gordon Borror, Worship: Rediscovering the Missing Jewel (Colorado Springs: Multnomah Publishers, 1982), 165.

เหตุผลต่าง ๆ ที่ดนตรีมีความสำคัญในการนมัสการ (ต่อเนื่อง)

เหตุผลในเชิงปฏิบัติสำหรับดนตรีในการนมัสการ

ควบคู่กับเหตุผลในพระคัมภีร์และในทางศาสนศาสตร์ มีเหตุผลในเชิงปฏบัติที่จะให้คุณค่าแก่ดนตรีในการนมัสการ พลังของดนตรีมาจากความสามารถของดนตรีที่พูดสื่อสารกับทุกแง่มุมของชีวิตเราได้

ดนตรีพูดสื่อสารกับความนึกคิด

ครูที่สอนในโรงเรียนรู้ดีว่าการเอาหลักไวยากรณ์ทางภาษามาใส่ท่วงทำนองเข้าไปจะทำให้เด็กท่องจำได้ง่ายกว่า การร้องเพลงที่เป็นเนื้อหาพระคัมภีร์ทำให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น บางคนที่บอกว่า “ฉันท่องจำพระคัมภีร์ไม่ได้” ก็ได้รู้ข้อพระคัมภีร์มากมาย พวกเขาร้องข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นในเพลงสรรเสริญ เพลงสรรเสริญที่ดีที่สุดบางเพลงคือข้อพระคัมภีร์ที่ใส่ท่วงทำนองเพลงที่น่าจดจำเข้าไป

หลักการสำคัญสองประการที่เกี่ยวข้องกับดนตรีและความนึกคิด

(1) ดนตรีควรพูดสื่อสารกับความนึกคิด ไม่ใช่กับอารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น

ดนตรีมีอิทธิพลต่ออารมณ์ นั่นคือพลังของดนตรี พลังของดนตรีที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ดนตรีต้องพูดสื่อสารกับความนึกคิดด้วย

ผู้นมัสการบางคนคิดว่าพวกเขาสามารถปิดกั้นความนึกคิดได้ในขณะที่ร้องเพลง กีตาร์เสียงดัง จังหวะหนักแน่น ดนตรีเร้าอารมณ์ พวกเขาทึกทักว่าตัวเองกำลังนมัสการ เราต้องไม่ลืมสิ่งที่เปาโลพูดไว้ว่า “ข้าพเจ้าจะจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณและด้วยความคิด” (1 โครินธ์ 14:15)

[1]เมื่อดนตรีของเราพูดสื่อสารกับอารมณ์โดยไม่พูดต่อความนึกคิด เราก็ตกอยู่ในอันตรายของการนมัสการเทียมเท็จ ไม่มีอะไรผิดกับการที่ดนตรีพูดกับอารมณ์ แต่อันตรายคือดนตรีที่พูดกับอารมณ์โดยไม่พูดกับความนึกคิด ศิษยาภิบาลที่ฉลาดจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าดนตรีนมัสการไม่ได้ข้ามผ่านความนึกคิด

(2) เนื้อหาที่เราร้องต้องเป็นความจริง

ดนตรีพูดสื่อสารกับความนึกคิด ดังนั้นเพลงจึงเป็นอุปกรณ์อันทรงพลังสำหรับการสอนหลักคำสอน

ในศตวรรษที่ 18 พระเจ้าใช้พี่น้องสองคนที่ชื่อว่า ชาร์ลส์และจอห์น เวสเลย์ ให้ประกาศความจริงตามพระคัมภีร์ที่คนจำนวนมากจำเป็นต้องได้ยิน นั่นคือมนุษย์ทุกคนสามารถรับความรอดจากบาปได้ และทุกคนมีความมั่นใจในความรอดได้ สองพี่น้องนี้เผยแพร่ความจริงนี้ด้วยสองวิธีคือ จอห์นกล่าวความจริงในคำเทศนา ในขณะที่ชาร์ลส์เขียนบทเพลงสรรเสริญที่อธิบายความจริงนี้ บทเพลงสรรเสริญของเขาเรียบง่ายชนิดที่ทุกคนร้องได้เพราะดนตรีไม่สลับซับซ้อน คนที่ได้ยินและร้องเพลงสรรเสริญของชาร์ลส์สามารถเข้าใจและจดจำความจริงของพระเจ้าได้ แม้ว่าพวกเขาจะอ่านหนังสือไม่ออกก็ตาม บทเพลงที่เราใช้กันในทุกวันนี้จำเป็นต้องสอนความจริงของพระคัมภีร์อย่างหนักแน่นต่อผู้ขับร้องและผู้ที่ฟัง

ศิษยาภิบาลครับ หากคุณยอมให้ใช้บทเพลงที่ไม่ตรงกับพระคัมภีร์ คุณก็ทำให้พันธกิจของคุณด้อยประสิทธิภาพ ผู้คนจะจดจำบทเพลงไปนานแม้ว่าหลังจากที่พวกเขาลืมโครงเทศนาของคุณไปแล้ว ใช้เวลาวางแผนสำหรับดนตรีเพื่อการประชุมนมัสการ ขอให้แน่ใจว่าบทเพลงที่ใช้สนับสนุนความจริงของคำเทศนา

ตรวจสอบ

เพลงนมัสการของคุณเป็นจริงตามหลักคำสอนในพระคัมภีร์ไหม? หลายคริสตจักรร้องเพลงที่สอนผิดหรือไม่สอนอะไรเลย (คำที่ปราศจากความหมาย) เพลงของคุณสอนความเป็นจริงเรื่องชัยชนะเหนือบาปไหม? เพลงของคุณสอนว่าความรอดมีให้สำหรับทุกคนไหม? บทเพลงของคุณสอนว่าพระเจ้าประสงค์ที่จะมอบใจบริสุทธิ์แก่ผู้เชื่อทุกคนไหม?

ดนตรีพูดสื่อสารกับจิตใจ

โจนาธาน เอ็ดเวอร์ด (Jonathan Edwards) กล่าวว่าเราได้รับคำสั่งให้ร้องเพลงสรรเสริญต่อพระเจ้าเพราะการร้องเพลง “ขับเคลื่อนอารมณ์ของเรา”[2] ในขณะที่การเน้นแต่อารมณ์เพื่อเห็นแก่ตัวเองเป็นเรื่องที่อันตราย แต่อารมณ์ก็เป็นสิ่งปกติและเป็นการตอบสนองที่มีคุณค่าทางดนตรี การร้องเพลงนำให้มีการตอบสนองทางอารมณ์ต่อความจริง ดนตรีพูดกับทั้งความนึกคิดและจิตใจ

คริสเตียนตะวันตกบางคนกลัวดนตรีที่พูดสื่อสารอย่างลึกซึ้งทางอารมณ์ แต่ลักษณะในพระคัมภีร์ของคนที่เข้าไปในการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้ามักจะสัมผัสถึงการตอบสนองทางอารมณ์เสมอ การนมัสการที่ดีที่สุดพูดกับความนึกคิดและต้องการให้มีการตอบสนองจากจิตใจ

► ขอให้พิจารณาชุดบทเพลงสรรเสริญในภาษาของคุณ ค้นหาตัวอย่างของบทเพลงที่เขียนไว้เป็นดั่งคำอธิษฐานส่วนตัวเพื่อยอมจำนนต่อพระเจ้า

ดนตรีพูดสื่อสารกับร่างกาย

ลองเฝ้าดูเด็กคนหนึ่งในคอนเสิร์ต ถ้าดนตรีมีจังหวะระทึก พวกเขาก็จะขยับตัวตาม ดนตรีพูดกับร่างกาย

ดนตรีที่พูดกับร่างกายเท่านั้นเป็นเพียงการกระตุ้นให้รู้สึก อย่างไรก็ตามเมื่อพระคัมภีร์พูดถึงการนมัสการ ก็มักจะพูดถึงส่วนของร่างกายของผู้นมัสการด้วย เช่น ยกมือ คุกเข่า หมอบกราบ และเคลื่อนไหวร่างกาย บางครั้งท่าทางและอากัปกิริยาของเราสื่อสารได้อย่างทรงพลังมากกว่าคำพูด

ในสดุดี 149:3 อิสราเอลถูกเรียกให้ “สรรเสริญพระนามของพระองค์ด้วยการเต้นรำ ร้องเพลงสดุดีพระองค์ด้วยรำมะนาและพิณเขาคู่” ถึงแม้ว่าในวัฒนธรรมสมัยใหม่บางวัฒนธรรมจะเต้นรำในแง่ของการเคลื่อนไหวที่กระตุ้นความรู้สึกเท่านั้น แต่ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเต้นรำเพื่ออธิบายการเคลื่อนไหวทางกายในการนมัสการ ผู้เขียนสดุดีตระหนักว่าแม้แต่ร่างกายก็เกี่ยวข้องในการสรรเสริญ

นี่ไม่ใช่การเต้นรำที่กระตุ้นความรู้สึกในไนต์คลับ แต่ก็ไม่ใช่การนั่งเงียบ ๆ ที่ม้านั่งอย่างเป็นทางการ การเต้นรำในพระคัมภีร์เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวระดับหนึ่งในช่วงเพลงนมัสการ เมื่อเรายกมือในการสรรเสริญหรือขยับไปตามจังหวะดนตรี นั่นก็เป็นสิ่งที่ตรงกับคำว่า เต้นรำ ในพระคัมภีร์

ในขณะที่ความหมายของการเคลื่อนไหวทางร่างกายแตกต่างกันไปในวัฒนธรรมและกับชนรุ่นต่าง ๆ เราต้องไม่ยอมให้การนมัสการอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าตามแบบอย่างการปฏิบัติอันน่ารังเกียจที่มีในวัฒนธรรมรอบตัวเรา

► ทบทวน อพยพ 32 สำหรับการนมัสการที่ผสานระหว่าง “เทศกาลเลี้ยงถวายเกียรติพระยาห์เวห์” (32:5) กับรูปหล่ออันน่ารังเกียจในการนมัสการของอียิปต์ (32:4) และการปฏิบัติอันน่าละอายในวัฒนธรรมของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า (32:25) การนมัสการของเราต้องมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมรอบข้างโดยผ่านทางการประกาศข่าวประเสริฐ วัฒนธรรมรอบข้างต้องไม่กำหนดการปฏิบัติในการนมัสการของเรา

ศิษยาภิบาลและผู้นำที่ฉลาดจะหาดนตรีที่เป็นการดูหมิ่นการนมัสการ แต่หาดนตรีที่พูดกับบุคคล และทำให้ทั้งที่ประชุมนมัสการอย่างแท้จริงด้วยบทเพลง

ตรวจสอบ

ดนตรีเพื่อการนมัสการของคุณพูดสื่อสารกับร่างกายอย่างเหมาะสมต่อการนมัสการไหม? ผู้นมัสการของคุณแสดงออกทางกายในการสรรเสริญและนมัสการ โดยไม่เป็นการดูหมิ่นการนมัสการด้วยการกระทำที่เป็นการกระตุ้นเร้าความรู้สึกไหม?

ดนตรีพูดสื่อสารกับเจตจำนง

ดนตรีมักเรียกให้มีการตอบสนองของเจตจำนง เปาโลสั่งให้ชาวโคโลสีเตือนสติกันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ (โคโลสี 3:16) การเตือนสติคือการแก้ไขข้อผิดพลาด การว่ากล่าวประสงค์การตอบสนอง การแก้ไขประสงค์ให้บุคคลหนึ่งเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เปาโลคาดหวังให้ดนตรีเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลง ดนตรีเรียกให้เจตจำนงตอบสนอง

► ขอให้พิจารณาชุดบทเพลงสรรเสริญในภาษาของคุณ ค้นหาตัวอย่างของบทเพลงที่เป็นคำอุทิศและถวายตัวของบุคคลต่อพระเจ้า

ดนตรีในการนมัสการมีความสำคัญเพราะดนตรีนั้นพูดกับทั้งบุคคล ด้วยเหตุนี้ ดนตรีจึงมีทั้งคุณและโทษ ดนตรีมีคุณเพราะสามารถนำเสนอความจริงได้อย่างทรงพลัง แต่มันมีโทษเพราะสามารถทำให้คำสอนเท็จมีความดึงดูดใจ วาร์เร็น วายส์บี (Warren Wiersbe) เตือนไว้ว่า “ผมเชื่อมั่นว่าที่ประชุมเรียนรู้ศาสนศาสตร์ (ทั้งดีและไม่ดี) จากบทเพลงที่พวกเขาร้องได้มากกว่าจากคำเทศนาที่พวกเขาฟัง... [ดนตรี] เป็นอุปกรณ์อันยอดเยี่ยมในมือของพระวิญญาณหรือเป็นอาวุธร้ายแรงในมือของปฏิปักษ์ก็ได้ ที่ประชุมที่ใสซื่อสามารถร้องเพลงที่เป็นทางเข้าสู่ศาสนานอกรีตได้ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น”[3]

ดนตรีนั้นทรงพลัง จงใช้อย่างฉลาด

ตรวจสอบ

คิดถึงเพลงที่คุณเคยร้องในช่วงสี่สัปดาห์ที่ผ่านมา คุณร้องเพลงที่พูดกับทั้งบุคคลไหม?

  • บอกชื่อเพลงที่สอนหลักคำสอนให้กับที่ประชุมของคุณ

  • บอกชื่อเพลงที่พูดสื่อสารกับอารมณ์ของที่ประชุมของคุณได้อย่างลึกซึ้ง

  • บอกชื่อเพลที่ท้าทายที่ประชุมของคุณให้อุทิศตัวต่อพระเจ้ามากขึ้น


[1]

เหตุผลที่ผู้เชื่อควรร้องเพลงคือ
เพื่อกระตุ้นการอุทิศตัวของพวกเขาต่อพระเจ้า
เพื่อเสริมกำลังความเชื่อให้เข้มแข็ง
เพื่อดลใจความหวัง
และเพื่อเพิ่มพูนความรักของพวกเขา
ต่อพระเจ้าและต่อผู้อื่น

- ดัดแปลงจาก จอห์น เวสเลย์

[2]ถอดความจาก Bob Kauflin, Worship Matters (Wheaton: Crossway Books, 2008), 98
[3]Warren Wiersbe, Real Worship (Grand Rapids: Baker Books, 2000), 136 เพิ่มจุดเน้น

หลักการเลือกดนตรีเพื่อการนมัสการ

เราเริ่มต้นบทเรียนนี้ด้วยเรื่องราวความขัดแย้งเรื่องดนตรีนมัสการ ถ้าหากคุณเป็นศิษยาภิบาลที่เผชิญกับความขัดแย้งลักษณะนี้ ขอให้รู้ว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหม่! ในทุกยุคทุกสมัย คริสตจักรต้องต่อสู้กับการกำหนดรูปแบบดนตรีที่เหมาะสมสำหรับการนมัสการ เพราะในหลายคริสตจักร ดนตรีกลายเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งแทนที่จะเป็นวิธีการนมัสการที่แท้จริง

ดนตรีเป็นศูนย์กลางของการประชุมนมัสการ ในหลายคริสตจักร ครึ่งหนึ่งของการประชุมนมัสการเกี่ยวข้องกับดนตรี เช่น เพลงเตรียมใจ การร้องเพลงในที่ประชุม เพลงพิเศษ การวิงวอน และดนตรีบรรเลงเบา ๆ ช่วงอธิษฐาน เนื่องจากดนตรีมีความสำคัญในการนมัสการ ความขัดแย้งทางดนตรีจึงเป็นเรื่องรุนแรง

ผู้คนมีความชอบอย่างมากสำหรับแนวดนตรี คนมากมายไม่อยากทนต่อแนวดนตรีที่พวกเขาไม่ชื่นชอบ

ความขัดแย้งเกิดขึ้นจากความแตกต่างทางความคิดเห็นเรื่องจริยธรรมของแนวดนตรี มีสามมุมมองพื้นฐานในเรื่องนี้

1. บางคนเชื่อว่าแนวดนตรีอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วร้าย พวกเขาเลือกใช้แนวดนตรีที่พวกเขาเชื่อว่าบริสุทธิ์สะอาด

2. บางคนเชื่อว่าแนวดนตรีไม่สามารถดีหรือชั่วได้ ด้วยเหตุนี้ทุกแนวดนตรีจึงเป็นที่ยอมรับ คนหล่านี้มักจะอยากใช้แนวดนตรีตามวัฒนธรรมในการนมัสการ

3. บางคนเชื่อว่าแนวดนตรีเป็นกลางทางศีลธรรม แต่มีความสัมพันธ์ทางอารมณ์และวัฒนธรรมซึ่งส่งผลต่อประโยชน์ในการนมัสการ คนเหล่านี้ประเมินดนตรีแต่ละแนวเพื่อพิจารณาว่าจะช่วยให้การนมัสการในที่ประชุมไปในทางที่ถวายเกียรติพระเจ้าหรือไม่

[1]ในตอนนี้ เราจะศึกษาหลักการในพระคัมภีร์ที่พูดถึงดนตรีในการนมัสการ

เนื้อหาของดนตรีในการนมัสการต้องสื่อสารความจริงอย่างชัดเจน

จุดเน้นสำคัญของพระคัมภีร์คือเนื้อหาของเพลง ไม่ใช่แนวของดนตรี

โดยไม่คำนึงถึงแนวดนตรี บทเพลงที่มีคำสอนผิด (หรือไม่มีคำสอนอะไร) ก็ไม่เหมาะสมสำหรับการนมัสการ วาร์เร็น วายส์บี เตือนว่าเนื้อหาจำนวนมาก “คลุมเครือและทำให้อารมณ์อ่อนไหว แต่ไม่ใช่ศาสนศาสตร์”[2] การทดสอบอย่างหนึ่งสำหรับเนื้อหาทางดนตรีของเราคือ “คนที่นับถือศาสนาฮินดูหรือมุสลิมสามารถร้องเพลงนี้ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนคำได้ไหม?” ถ้าคุณใช้ชื่อพระพุทธเจ้าแทนโดยไม่ต้องเปลี่ยนเนื้อหาของเพลง เพลงนั้นก็ไม่เหมาะสมต่อการนมัสการแล้ว ถ้าเพลงไม่ได้พูดความจริงอย่างชัดเจน เราควรตั้งคำถามว่ามันควรค่าที่จะนำมาใช้นมัสการไหม เพลงของเราควรแสดงออกถึงความเชื่อของเรา ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เพลงของเราก็จะไม่ได้นำผู้นมัสการให้พุ่งเป้าไปหาพระเจ้า

ฟังเพลงจากพระคัมภีร์

สรรเสริญพระยาห์เวห์!

จงสรรเสริญพระยาห์เวห์จากฟ้าสวรรค์

จงสรรเสริญพระองค์ในที่สูง!

ทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระองค์ จงสรรเสริญพระองค์

กองทัพทั้งสิ้นของพระองค์ จงสรรเสริญพระองค์

ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จงสรรเสริญพระองค์

ดาวทั้งสิ้นที่ส่องแสง จงสรรเสริญพระองค์

ฟ้าสวรรค์ที่สูงสุด จงสรรเสริญพระองค์

รวมทั้งน้ำทั้งหลายเหนือฟ้าสวรรค์ด้วย

ให้สิ่งเหล่านั้นสรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์

เพราะพระองค์ทรงบัญชา สิ่งเหล่านั้นก็ถูกเนรมิตขึ้นมา

และพระองค์ทรงสถาปนาสิ่งเหล่านั้นไว้เป็นนิตย์นิรันดร์… (สดุดี 148)

เปรียบเทียบกับเพลงยอดนิยมไม่นานมานี้

“ไม่เป็นไรที่จะเต้น เมื่อคุณเต้นในนามของพระเยซู
ไม่เป็นไรที่จะเต้นรำ เมื่อคุณกำลังเต้นรำเพื่อพระเจ้า…”[3]

เพลงไหนที่ประกาศพระวจนะของพระเจ้า? เปาโลตักเตือนเกี่ยวกับการนมัสการที่เข้าใจไม่ได้ เปาโลพูดว่า “ข้าพเจ้าจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณและด้วยความคิด” (1 โครินธ์ 14:15) เมื่อเราศึกษาบทเพลงของพระคัมภีร์ เราพบว่าบทเพลงเหล่านั้นสอนด้วยความชัดเจน เนื้อหาในดนตรีนมัสการของเราต้องสื่อสารความจริงจากพระคัมภีร์

แบบประเมินบทเพลง[4]

  น้อย กลาง มาก
นื้อหาเป็นความจริงตามหลักคำสอนไหม?      
เนื้อหาสัตย์ซื่อต่อประสบการณ์ของคริสเตียนไหม?      
ที่ประชุมจะเข้าใจเนื้อหาไหม?      
แนวดนตรีเข้ากันกับถ้อยคำไหม?      
โทนเสียงง่ายต่อการร้องของที่ประชุมไหม?      

ตรวจสอบ

เพลงนมัสการของคุณเป็นจริงตามพระคัมภีร์ไหม? ผู้เชื่อใหม่จะรู้จักพระเจ้าของพระคัมภีร์ในเพลงที่คริสตจักรของคุณหรือไม่?

แนวดนตรีนมัสการอาจแตกต่างกัน

พระเจ้าคือพระเจ้าที่มีความหลากหลายอย่างไม่จำกัด พระองค์ดลใจให้มีการบันทึกพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มในพันธสัญญาใหม่ ไม่ใช่เล่มเดียว พระองค์ตรัสผ่านทางบุคลิกที่เจาะจงของผู้เขียนแต่ละคน พระองค์สร้างสายพันธุ์ปลานับหลายพัน ไม่ใช่สายพันธุ์เดียว พระองค์สร้างดวงตาของมนุษย์ให้มีความสามารถแยกแยะแปดพันล้านสีที่ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ถูกสร้างสำแดงพระสิริของพระเจ้าในความหลากหลายและงดงาม พระองค์สร้างแต่ละคนให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ใช่สร้างให้มีบุคลิกเดียว พระเจ้าแสดงถึงความหลากหลายอันไม่จำกัด

ดนตรีของเราควรสะท้อนถึงความหลากหลายที่สร้างสรรค์ของพระเจ้าที่เรานมัสการ ในโคโลสี 3:16 เปาโลเขียนถึงรูปแบบของเพลงสามอย่างที่ควรใช้ในการนมัสการคือ เพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ (ดูใน เอเฟซัส 5:19 ด้วยเช่นกัน) เปาโลไม่ได้ให้คำนิยามของทั้งสามรูปแบบเหล่านี้ มีนักเขียนหลายคนให้คำนิยามไว้ดังนี้

  • เพลงสดุดี อาจหมายถึงพระธรรมสดุดี

  • เพลงสรรเสริญ อาจหมายถึงเพลงที่มนุษย์แต่งขึ้นมา มีนักเขียนหลายคนที่จำกัดคำนี้ไว้ว่าสำหรับร้องให้พระเจ้าหรือเกี่ยวกับพระเจ้า นี่อาจรวมถึงบทเพลงที่เป็นจริงตามพระคัมภีร์ในตอนอื่นนอกเหนือจากพระธรรมสดุดี

  • เพลงฝ่ายจิตวิญญาณ ให้คำนิยามได้ยากที่สุด นักเขียนบางคนให้คำนิยามว่าเป็นเพลงที่ไม่เป็นทางการ บางคนถือว่าบทเพลงฝ่ายจิตวิญญาณเป็นเพลงเกี่ยวกับชีวิตคริสเตียนและคำพยานส่วนตัว

โดยไม่คำนึงถึงคำนิยาม ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคริสตจักรร้องเพลงที่มีความหลากหลายในสมัยแรก ๆ

วาร์เร็น วายส์บี พูดถึงหลักการแห่งความถูกต้องของแท้ เขาเขียนไว้ว่า “การแสดงออกถึงการนมัสการต้องเป็นของแท้ เปิดเผยถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมของผู้คน”[5] การนมัสการที่เป็นของแท้พูดถึงพระวจนะที่มีชีวิตของพระเจ้าด้วยภาษาของแต่ละวัฒนธรรม ในทุกยุคสมัย คริสเตียนได้แต่งเพลงที่สื่อสารการสรรเสริญพระเจ้าโดยใช้แนวดนตรีที่มีในวัฒนธรรมของพวกเขา เราไม่ควรทึกทักว่าดนตรีของวัฒนธรรมของเราเท่านั้นที่เป็นดนตรีของแท้ที่ศักดิ์สิทธิ์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น แต่ดนตรีแนวใดที่ไม่ขัดแย้งกับหลักการที่ชัดเจนของพระคัมภีร์ เราต้องยอมให้แต่ละวัฒนธรรมและคนทุกรุ่นสรรเสริญพระเจ้าด้วยภาษาของพวกเขาเอง

ตรวจสอบ

ดนตรีในคริสตจักรของคุณแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายที่สร้างสรรค์ของพระเจ้าไหม?

ไม่ใช่ทุกแนวดนตรีที่จะเหมาะสมกับทุกสถานการณ์

ถึงแม้ว่าคนมากมายได้พยายามกำหนดความหมายของแนวดนตรีที่เป็นจริงตามพระคัมภีร์ แต่พระคัมภีร์ก็ไม่ได้สั่งเกี่ยวกับแนวดนตรีที่เจาะจง หลังจากการศึกษาปรัชญาเบื้องหลังแนวดนตรี ฟรานซิส สแชฟเฟอร์ (Francis Schaeffer) เขียนว่า “ขอผมพูดอย่างหนักแน่นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเป็นแนวของพระเจ้า...”[6]

เสียงดนตรีไม่ได้สื่อสารเนื้อหาด้านจริยธรรม คอร์ดดนตรีไม่มีชอบธรรมหรืออธรรม นี่หมายความว่าทุกแนวดนตรีเหมาะสมกับการนมัสการใช่ไหม? เปล่าเลย บางแนวดนตรีเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมที่เป็นความบาปซึ่งจะไม่ได้สื่อสารเนื้อหาที่ชอบธรรมในการนมัสการ

นักดนตรีและมิชชันนารีได้ค้บพบสิ่งเดียวกันคือ ผู้คนตอบสนองต่อเสียงของดนตรีด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ถ้ามีสองคนกำลังฟังดนตรีอย่างเดียวกัน คนหนึ่งอาจเริ่มต้นร้องไห้เพราะได้รับการสัมผัสจากเพลงนั้น อีกคนอาจไม่รู้สึกต้องตอบสนองอะไรกับเพลงนั้น[7]

บททดสอบขั้นสูงสุดสำหรับดนตรีนมัสการไม่ใช่ “ฉันชอบไหม?” หรือ “มันให้แรงบันดาลใจแก่ฉันไหม?” บททดสอบขั้นสูงสุดคือถวายเกียรติแด่พระเจ้า นี่หมายความว่าเราต้องประเมินสิ่งที่แนวดนตรีสื่อสารในบริบททางวัฒนธรรมของเรา เราต้องถามว่า “ในบริบททางวัฒนธรรมของฉัน ดนตรีแนวนี้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่?”

เราทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งนั้นทำให้เจริญขึ้น (1 โครินธ์ 10:23) ถ้าหากเป้าหมายอย่างหนึ่งของดนตรีนมัสการคือการเสริมสร้างผู้เชื่อ แนวดนตรีที่เราใช้ต้องไม่ขัดขวางเป้าหมายนี้ ดนตรีอย่างเดียวกันอาจช่วยเอื้อในการนมัสการในวัฒนธรรมหนึ่ง และเป็นอุปสรรคในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ผู้นำนมัสการที่รอบคอบจะเลือกดนตรีที่เหมาะสมกับกลุ่มคนที่เขานำนั้น

เราจะตัดสินได้อย่างไรว่าสไตล์เพลงใดเหมาะสม? ในฐานะผู้นำ คุณมีหน้าที่รับผิดชอบในการช่วยคนของคุณทำงานผ่านคำถามนี้ในสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมของคุณ สิ่งที่เหมาะสมในวัฒนธรรมหนึ่งอาจไม่เหมาะสมในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง เนื่องจากคำอธิบายความหมายทางศาสนาถึงแนวดนตรีแนวใดแนวหนึ่ง หรือเนื่องจากแนวดนตรีนั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่เป็นความบาปในวัฒนธรรมรอบข้าง แนวดนตรีนั้นจึงไม่เหมาะสมในการนมัสการ คุณต้องประเมินดนตรีในแง่ของความเหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณ

เปาโลสั่งให้เราพิสูจน์ทุกสิ่งและจากนั้นยึดมั่นในสิ่งที่ดี (1 เธสะโลนิกา 5:21) เราต้องไม่ยอมรับสิ่งใดที่ไม่ได้รับการทดสอบและพิสูจน์ ซึ่งรวมถึงดนตรีที่เราร้องด้วย

ตรวจสอบ

คุณร้องเพลงที่ไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมของคุณไหม? ดนตรีสื่อการกระตุ้นทางอารมณ์หรือแนวของโลกในวัฒนธรรมของคุณไหม? เนื้อหาดนตรีขัดแย้งกับเนื้อหาของพระคัมภีร์ไหม?

ควรมีความสมดุลในดนตรีนมัสการของเรา

พระธรรมสดุดีแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าให้คุณค่ากับความหลากหลายในการนมัสการ พระธรรมสุดดีบรรจุคำสรรเสริญ คร่ำครวญ การร้องขอความช่วยเหลือ และการขอบพระคุณสำหรับการช่วยกู้ สดุดีพูดถึงความจำเป็นในการนมัสการของผู้นมัสการทุกคน

เครื่องหมายหนึ่งของความเป็นผู้ใหญ่ในคริสตจักรคือความหลากหลาย (1 โครินธ์ 12:4-6) พระกายของพระคริสต์ประกอบด้วยวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ภาษาที่แตกต่างกัน บุคลิกภาพที่แตกต่างกัน และของประทานที่แตกต่างกัน การนมัสการของเรา รวมถึงดนตรีของเราควรพูดกับสมาชิกทุกคนในพระกายของพระคริสต์ อันที่จริง การนมัสการของเราควรพูดนอกเหนือไปจากตัวคริสตจักรเองเพื่อประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้ที่ไม่เชื่อ เพลงในพระคัมภีร์พูดกับผู้ฟังสามคน[8]

ดนตรีควรประกาศคำสรรเสริญต่อพระเจ้า: “ร้องเพลงสรรเสริญและสดุดีจากใจของท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า” (เอเฟซัส 5:19)

► อ่านสดุดี 91

สดุดี 91 แสดงให้เห็นว่าเราร้องเพลงแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ดนตรีควรแสดงออกถึงการสรรเสริญพระเจ้า จากบทเพลงสรรเสริญใน อพยพ 15 ถึงบทเพลงสวรรค์ในวิวรณ์ บทเพลงในพระคัมภีร์สรรเสริญพระเจ้าสำหรับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ แนวดนตรีหลักในพระคัมภีร์คือการสรรเสริญ สดุดีคร่ำครวญ ร้องขอ หรือสรรเสริญมักจะกล่าวถึงพระเจ้า

ร้องเพลงผ่านทางพระธรรมสดุดีและคุณจะร้องว่า...

  • “ข้าพระองค์ร้องเสียงดังต่อพระเจ้า...”

  • “ขอตอบเมื่อข้าพระองค์ร้องทูล โอ พระเจ้าแห่งความชอบธรรมของข้าพระองค์!”

  • “ข้าพระองค์จะขอบคุณพระเจ้าด้วยสุดใจ”

  • “ข้าพระองค์จะร้องเพลงถวายแด่พระเจ้า”

  • “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์รักพระองค์”

ดนตรีควรประกาศความจริงต่อคริสตจักร: “สอนและเตือนสติกันและกัน” (โคโลสี 3:16)

ผู้นำนมัสการหลายคนพูดว่า “เราไม่ควรร้องเพลงให้กับผู้ฟังคนอื่น เราร้องให้พระเจ้าฟังเท่านั้น” อย่างไรก็ตาม เพลงสดุดีหลายเพลงร้องให้กับอิสราเอล ขณะที่เป็นความจริงว่าเพลงในพระคัมภีร์หลายเพลงร้องต่อพระเจ้า แต่ก็เป็นความจริงด้วยที่หลายเพลงก็ร้องต่อที่ประชุม

ในเอเฟซัส 5:19 กำชับให้ผู้เชื่อปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ ในโคโลสี 3:16 เจาะจงมากขึ้นเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการร้องเพลงของเรา “จงให้พระวจนะของพระคริสต์อยู่ในพวกท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณด้วยการขอบพระคุณพระเจ้าในใจของท่าน”

เปาโลแสดงให้เห็นถึงถ้อยคำของพระคริสต์ที่ถูกประกาศผ่านทางการร้องเพลงของคริสตจักร เมื่อเราร้องเพลง เรากล่าวความจริงของพระเจ้าต่อผู้นมัสการร่วมกันกับเรา โดยผ่านทางบทเพลง คริสตจักรสอนกันและกัน โดยทางบทเพลง ผู้เชื่อได้รับการเสริมสร้างขึ้นและพระกายของพระคริสต์ก่อกันขึ้น

ดนตรีควรประกาศข่าวประเสริฐต่อโลกนี้: “จงเล่าถึงพระสิริของพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ…” (สดุดี 96:3)

ผู้เขียนสดุดีเรียกให้เราร้องเพลงเพื่อเป็นดั่งคำพยานต่อชนชาติต่าง ๆ

“จงร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่พระยาห์เวห์
แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเอ๋ย จงร้องเพลงถวายแด่พระยาห์เวห์

จงร้องเพลงถวายแด่พระยาห์เวห์ จงถวายสาธุการแด่พระนามของพระองค์
จงประกาศการช่วยกู้ของพระองค์ทุกๆ วัน

จงเล่าถึงพระสิริของพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
และการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ท่ามกลางชนทุกชาติ” (สดุดี 96:1-3)

► อ่าน 1 พงศ์กษัตริย์ 8:41-43

เมื่อพระเจ้าได้รับการสรรเสริญ ข่าวประเสริฐก็ถูกประกาศต่อชนชาติต่าง ๆ ในการมอบถวายพระวิหาร โซโลมอนอธิษฐานว่า แม้แต่คนต่างชาติจะมานมัสการที่พระวิหารนั้น เขาอธิษฐานว่า พระนามของพระเจ้าจะเป็นที่รู้จักท่ามกลางประชาชาติทั้งสิ้นบนโลกนี้ เมื่อเรานมัสการ ข่าวประเสริฐก็ได้รับการประกาศต่อโลกที่กำลังเฝ้าดูเราอยู่

ดนตรีนมัสการของเราควรพูดกับพระเจ้าและเกี่ยวกับพระเจ้า ดนตรีนมัสการของเราควรพูดกับคริสตจักร ดนตรีนมัสการของเราควรประกาศข่าวประเสริฐต่อโลกนี้

เมื่อเราลืมผู้ฟังคนใดคนหนึ่งไป การนมัสการของเราก็ล้มเหลวที่จะทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับคริสตจักรสำเร็จได้ เมื่อเราลืมว่าพระเจ้าคือผู้ฟังสูงสุดในการนมัสการ การนมัสการของเราก็ล้มเหลวที่จะพูดกับพระเจ้าเป็นหลัก เมื่อเราลืมว่าคริสตจักรคือผู้ฟังในการนมัสการ เราก็ล้มเหลวที่จะสอนและเตือนสติกันในการนมัสการ เมื่อเราลืมว่าการนมัสการควรประกาศข่าวประเสริฐต่อโลก เราก็ล้มเหลวที่จะประกาศข่าวประเสริฐและทำให้พระมหาบัญชาสำเร็จ

ตรวจสอบ

ในบทเพลงของคุณ คุณพูดกับพระเจ้า พูดกับคริสตจักร และพูดกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าไหม? ไม่ใช่ทุกเพลงที่จะพูดกับแต่ละคนเหล่านี้ แต่โดยผ่านการประชุมนมัสการ เราควรพูดกับแต่ละคนที่เป็นผู้ฟังเหล่านี้

นำมาสู่การปฏิบัติ

เราได้เห็นแล้วว่าทำไมดนตรีจึงมีความสำคัญในการนมัสการ เราได้ตรวจสอบหลักการในพระคัมภีร์เกี่ยวกับดนตรีในการนมัสการ เราจะจบบทเรียนนี้โดยดูแนวคิดที่ใช้ได้จริงสำหรับดนตรีในการนมัสการ คุณสามารถปรับสิ่งเหล่านี้ให้เหมาะกับที่ประชุมและคริสตจักรของคุณ

ในการตอบสนองต่อหลักการข้างต้น นักศึกษาคนหนึ่งถามว่า “หากแนวดนตรีนมัสการมีความแตกต่างกัน และแนวดนตรีก็ไม่ได้ดีหรือเลวโดยเนื้อแท้ ดังนั้นมีแนวทางใดบ้างที่ช่วยในการเลือกเพลงสำหรับคริสตจักรของเรา?”

ใช่ มีแนวทางปฏิบัติที่ช่วยเราได้ คุณต้องกำหนดวิธีการใช้สิ่งเหล่านี้กับสถานการณ์เฉพาะของคุณ แต่หลักการพื้นฐานบางอย่างควรเป็นแนวทางในการตัดสินใจของเราเกี่ยวกับดนตรีของคริสตจักร

สิ่งสำคัญที่สุดของดนตรีคริสตจักรคือการร้องเพลงในที่ประชุม

เนื่องจากดนตรีคริสตจักรแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักรและความเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อ สิ่งสำคัญมากที่สุดเกี่ยวกับดนตรีของเราคือการร้องเพลงในที่ประชุม ในขณะที่นักร้องประสานเสียง นักร้องเดี่ยว ทีมสรรเสริญ กลุ่มเครื่องดนตรี และดนตรีพิเศษอื่น ๆ มีคุณค่า ดนตรีในที่ประชุมก็มีความสำคัญมากที่สุดในการนมัสการของคริสเตียน มีขั้นตอนในเชิงปฏิบัติบางประการที่เราสามารถพัฒนาการร้องเพลงในที่ประชุมได้

สิ่งที่ต้องจดจำ

1 ดนตรีที่คลอเสียงไม่ควรมีลูกเล่นแพรวพราวหรือเล่นดังจนกลบความสนใจในการร้อง ในพันธสัญญาใหม่ การร้องเพลงเป็นดนตรีหลักของคริสตจักร คนเล่นออร์แกน เปียโน กีตาร์ ตีกลอง ไม่ได้เป็นดนตรีหลักของคริสตจักร จงยอมให้คริสตจักรร้องเพลง!

2. บางบทเพลงร้องได้ไพเราะที่สุดเมื่อไม่มีเครื่องดนตรี บางครั้งบทเพลงที่เป็นคำอธิษฐานสามารถสื่อสารได้ดีเมื่อร้องแบบเบา ๆ โดยไม่มีเครื่องดนตรี ทำให้ที่ประชุมจดจ่อกับเนื้อหาของเพลงโดยไม่มีอะไรมารบกวน

3. ดนตรีไม่ควรยากหรือใช้เพลงใหม่ซึ่งที่ประชุมร้องไม่ได้ เพลงใหม่มีจุดดี แต่เราควรให้ที่ประชุมได้ฝึกร้องเพลงใหม่หนึ่งเพลงให้ได้ก่อนที่จะเพิ่มเพลงใหม่อื่น ๆ เข้ามาอีก การใช้เพลงใหม่ต่อเนื่องมากเกินไปจะกลายเป็นภาระหนักจนคนไม่สามารถซึมซับความหมายของเพลงได้ แนวทางทั่วไปที่ดีคือการเพิ่มเพลงใหม่ในขณะที่ยังรักษาเพลงที่คุ้นเคยไว้ด้วย

4. ศิษยาภิบาลต้องร้องเพลงร่วมกับที่ประชุม ถ้าหากที่ประชุมกำลังร้องเพลงนมัสการ คุณก็ต้องนมัสการ เมื่อศิษยาภิบาลทำอย่างอื่นในช่วงที่มีการร้องเพลงในที่ประชุม การกระทำของเขากำลังพูดว่า “คำเทศนาของผมเท่านั้นที่สำคัญในการประชุมนมัสการนี้” ศิษยาภิบาลควรเป็นต้นแบบของการนมัสการสำหรับคนที่เหลือในที่ประชุม

ดนตรีต้องรับใช้เนื้อหาของเพลง

เนื่องจากดนตรีนมัสการมีไว้เพื่อประกาศการสรรเสริญพระเจ้า เพื่อพูดความจริงกับที่ประชุม และเพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้กับโลกนี้ ดังนั้นเนื้อเพลงจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงแนวของดนตรี ถ้าหากดนตรีขัดขวางการสื่อสารของเนื้อเพลง เราก็ไม่ได้พูดต่อกันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ

นี่ไม่ได้หมายความว่าเครื่องดนตรีไม่สำคัญ เครื่องดนตรีสามารถช่วยให้เราจดจ่อความคิด อารมณ์ และเจตจำนงกับการนมัสการได้ เครื่องดนตรีมีคุณค่าต่อการนมัสการ แต่การร้องเพลงในที่ประชุมมีจุดเน้นสำคัญคือเนื้อเพลง

ผู้นำต้องช่วยให้ที่ประชุมจดจ่อกับความหมายของเนื้อเพลง

ผู้นำทำให้เนื้อเพลงมีความหมายมากขึ้นได้โดยวิธีการนำของพวกเขา มีสองตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าผู้นำมีอิทธิพลต่อเนื้อหาของเพลงอย่างไร

อำนาจ ไม่ได้คิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเนื้อหาในบทเพลงที่ใช้ในที่ประชุม สัปดาห์ที่แล้วอำนาจนำเพลงสองเพลงเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพ เนื้อเพลงแต่ละย่อหน้าของบทเพลงแรกมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน ย่อหน้าที่ 1 เป็นคำอธิษฐานต่อพระบิดา ย่อหน้าที่ 2 เป็นคำอธิษฐานต่อพระบุตร ย่อหน้าที่ 3 เป็นคำอธิษฐานต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และย่อหน้าที่ 4 เป็นคำอธิษฐานต่อตรีเอกานุภาพ

ก่อนที่พวกเขาจะร้องเพลง อำนาจกล่าวว่า “เราจะร้องย่อหน้าที่ 1, 2, และ 4”

มีอะไรผิดเกี่ยวกับการละเว้นย่อหน้าที่ 3? นี่เป็นเพลงเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพ ความสมบูรณ์ของเนื้อหานั้นจะพร่องไปเมื่อคุณละเว้นย่อหน้าหนึ่ง.

ในบทเพลงที่สอง มีสามย่อหน้าซึ่งแต่ละย่อหน้าเป็นการนมัสการและสรรเสริญความเป็นบุคคลของตรีเอกานุภาพอย่างเจาะจง อำนาจกล่าวว่า “ให้เราร้องสองย่อหน้า” อีกครั้งที่อำนาจลืมว่าบทเพลงร้องถึงตรีเอกานุภาพนั้นต้องรวมทั้งสามบุคคลของพระเจ้า การละเว้นย่อหน้าใดในบทเพลงสรรเสริญโดยไม่พิจารณาเนื้อหาให้ดีก็เป็นการขัดขวางการนมัสการของผู้คนในที่ประชุม

เสกสรรค์รู้ว่าการร้องเพลงในที่ประชุมมีความสำคัญต่อการนมัสการ ในวันอาทิตย์เมื่อเขานำเพลงสรรเสริญที่ทุกคนไม่รู้จัก เขาเริ่มต้นพูดว่า “นี่คือเพลงใหม่สำหรับพวกเรา ขอให้ฟังสดุดีบทที่ 150 ซึ่งเพลงสรรเสริญแต่งมาจากสดุดีบทนี้” เพียงคำพูดไม่กี่คำ เสกสรรค์ช่วยให้ที่ประชุมจดจ่อกับความหมายของเพลงใหม่เพลงนั้นได้

ต่อมาในการประชุมนมัสการ เสกสรรค์นำเพลงที่อธิบายถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในฐานะกษัตริย์ ก่อนที่พวกเขาจะร้องเพลง เสกสรรค์อ่าน 1 ทิโมธี 1:17 “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ ผู้เป็นองค์อมตะ และไม่ทรงปรากฏแก่ตา ผู้เป็นพระเจ้าแต่เพียงองค์เดียว ขอพระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน” เพลงที่ที่ประชุมเคยร้องมาหลายครั้งแล้วกลับมีความสดใหม่อีกครั้งเมื่อผู้นมัสการได้ยินข้อพระคัมภีร์ที่ดลใจบทเพลงนี้ การเชื่อมโยงบทเพลงสรรเสริญกับรากฐานจากพระคัมภีร์สนับสนุนให้ที่ประชุมนมัสการร่วมกัน

► ขอให้พิจารณาชุดบทเพลงสรรเสริญในภาษาของคุณ เลือกบทเพลงและข้อพระคัมภีร์ตอนที่แนะนำบทเพลงนั้นได้

ถ้าคุณใช้เครื่องฉายเพลง คนที่ฉายเพลงเป็นส่วนหนึ่งของการนำนมัสการ

เนื้อเพลงบนจอภาพช่วยให้ผู้นมัสการจดจ่อกับเนื้อหาหรือถูกเบนความสนใจออกจากเนื้อหาก็ได้ คนที่ฉายเพลงควรระมัดระวังในการนำของพวกเขา ต่อไปนี้คือปัญหาบางอย่างที่ต้องหลีกเลี่ยง

  • คำที่สะกดผิด

  • การเว้นวรรคข้อความไม่ถูกต้อง

  • การแบ่งบรรทัดเนื้อเพลงโดยตัดที่กึ่งกลางวลีแทนที่จะแบ่งวลีต่อวลี

  • วางสไลด์ผิดหน้า

  • เปลี่ยนสไลด์ไม่ทัน

ปัญหาทั้งหมดนี้เบนความสนใจผู้คนออกจากการนมัสการ เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ผู้คนจะคิดเรื่องนั้นแทนที่จะจดจ่อกับการนมัสการ คำที่ปรากฏบนจอภาพมีผลกระทบต่อการร้องเพลงของที่ประชุม

ในดนตรีนมัสการ ดนตรีสนับสนุนเนื้อเพลง เนื่องจากนี่เป็นความจริง ผู้นำนมัสการต้องช่วยให้ที่ประชุมร้องเพลงอย่างมีความหมาย ไม่มีสักสิ่งใดเหล่านี้ที่สร้างการนมัสการ การนมัสการมาจากใจ อย่างไรก็ตาม การขจัดสิ่งรบกวนออกไปกระตุ้นให้ผู้นมัสการมุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายที่แท้จริงของการนมัสการคือพระเจ้า


[1]

กฎยี่สิบปี

“ถ้าใครบางคนเติบโตมากับการร้องเพลงของเราเป็นเวลายี่สิบปี พวกเขาจะรู้จักพระเจ้าดีมากแค่ไหนหรือ? พวกเขาจะรู้ว่าพระเจ้าบริสุทธิ์ มีสติปัญญา มีอำนาจทั้งสิ้น และมีอำนาจสูงสุดไหม? พวกเขาจะเข้าใจถึงสง่าราศีและความเป็นศูนย์กลางของข่าวประเสริฐไหม?”

- บ๊อบ คาวฟลิน (Bob Kauflin)
ใน Worship Matters

[2]Warren Wiersbe, Real Worship (Grand Rapids: Baker Books, 2000), 137
[3]James Roberson, “Everybody Dance!” เข้าถึงวันที่ 10 มกราคม 2023 https://genius.com/James-roberson-everybody-dance-lyrics
[4]ดัดแปลงจาก Constance M. Cherry, The Worship Architect. (Grand Rapids: Baker Academic, 2010), 202-203
[5]Warren Wiersbe, Real Worship (Grand Rapids: Baker Books, 2000), 139
[6]Francis Schaeffer, Art and the Bible (Downers Grove: InterVarsity Press, 1973), 51
[7]Gerardo Marti, Worship across the Racial Divide: Religious Music and the Multiracial Congregation. (England: Oxford University Press, 2012)
[8]ดัดแปลงจาก Herbert Bateman, ผู้เรียบเรียง Authentic Worship (Grand Rapids: Kregel Publications, 2002), 150-155

ขั้นตอนเชิงปฏิบัติสำหรับการพัฒนาเพลงในที่ประชุม

1. สอนถึงความสำคัญของการนมัสการด้วยบทเพลง เหมือนกับที่คริสเตียนต้องได้รับการสอนถึงความสำคัญของการอธิษฐานและวินัยฝ่ายวิญญาณอื่น ๆ พวกเขาต้องได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าประสงค์ให้พวกเขาร้องเพลงอย่างไร

2. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าที่ประชุมรู้ว่าทำไมพวกเขาต้องร้องเพลงนั้น ถ้าหากเป็นการอธิษฐาน ก็ให้เตือนใจพวกเขา ถ้าเป็นบทเพลงอุทิศถวาย ก็ชี้ประเด็นนั้น ถ้าเป็นการสะท้อนคำเทศนา ก็บอกให้ชัดเจน ผู้คนจะร้องด้วยความกระตือรือร้นมากขึ้นหากพวกเขารู้ว่าทำไมจะต้องร้องเพลงนั้น

3. เลือกเพลงสำหรับที่ประชุมมากกว่าเลือกเพลงเพื่อแสดง เพลงที่ใช้ในที่ประชุมจะมีท่วงทำนองที่ร้องง่ายและจดจำได้ง่ายกว่า ถ้าหากคุณอยากให้ทุกคนร้องเพลงได้ ขอให้พิจารณาว่า “เด็กเล็กร้องเพลงนี้ขณะที่กำลังกลับบ้านได้ไหม?”

4. เบาเสียงของดนตรีประกอบ อย่าปล่อยให้กีตาร์ ออร์แกน กลอง หรือนักร้องประสานเสียงกลบเสียงของที่ประชุม เสียงที่ดังที่สุดในห้องควรเป็นเสียงของที่ประชุม

5. หาจุดสมดุลระหว่างเพลงใหม่กับเพลงเก่า

6. ใช้เพลงที่แทนถึงประสบการณ์ของคริสเตียนที่หลากหลาย ถ้าดนตรีมีแต่ความชื่นชมยินดี คุณก็ไม่ได้พูดกับสมาชิกที่กำลังทุกข์ใจ เหมือนกับสดุดี บทเพลงสรรเสริญของเราควรมีถ้อยคำให้กับคริสเตียนที่มีความสุข คริสเตียนที่เศร้า คริสเตียนที่ถูกลองใจ และคริสเตียนที่ทุกข์ใจ

7. ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรควรเป็นแบบอย่างในการร้องเพลงอย่างกระตือรือร้น แม้เมื่อพวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าร้องเพลงได้ดี ร้องเพลงผิดคีย์ก็ดีกว่าไม่ร้องเลย ศิษยาภิบาลที่กำลังดูบันทึกคำเทศนาในช่วงที่มีการร้องเพลงก็กำลังสื่อสารว่า “การร้องเพลงนมัสการไม่สำคัญมากนัก”

8. เตือนให้ที่ประชุมระลึกว่าพวกเขาคือเครื่องดนตรีสำคัญในการนมัสการร่วมกัน ถ้าผู้คนไม่ร้องเพลงด้วยความกระตือรือร้น ดนตรีในที่ประชุมก็ล้มเหลวต่อจุดประสงค์ที่มี ที่ประชุมต้องได้รับการสอนว่าการร้องเพลงในการนมัสการเป็นสิทธิพิเศษและความรับผิดชอบของพวกเขา

บทสรุป: คำพยานของกลอเรีย

พระเจ้าพูดผ่านดนตรีนมัสการไหม? ฟังคำพยานของศิษยาภิบาลในใต้หวัน

เมื่อกลอเรียเดินเข้าไปในคริสตจักรของเรา เธอไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐมาก่อน เธอไม่ได้มองหาคำเทศนา เธอไม่สนใจที่จะมาเป็นคริสเตียน กลอเรียไม่ได้มองหาพระเจ้า แต่พระเจ้ากำลังมองหากลอเรีย!

กลอเรียไปเยี่ยมที่คริสตจักรของเราเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ เธอได้ยินว่าคริสตจักรของเรามีชั้นเรียนภาษาอังกฤษที่เรียนฟรี เธอจึงมาเพื่อเรียนภาษาอังกฤษ ในการมาครั้งแรก กลอเรียมาสาย เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องนมัสการ คริสตจักรกำลังร้องเพลงง่าย ๆ จากพระธรรมสดุดี 42:1 “จิตวิญญาณข้ากระหายพระเจ้า ดุจดังกวางน้อยกระหายหาน้ำ”

หนึ่งปีต่อมาเมื่อเธอรับบัพติศมา กลอเรียเป็นพยานว่า...

“ฉันจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเพลงที่พวกคุณกำลังร้องตอนที่ฉันนั่งลงในห้องประชุมนมัสการนั้น เมื่อฉันฟังเพลงนั้น ฉันเริ่มร้องไห้ เป็นเวลา 30 ปีที่ฉันกระหายหาพระเจ้าเหมือนกับกวางกระหายหาน้ำ แต่ฉันไม่รู้จักสิ่งที่ฉันกระหายหา ฉันพยายามขยันเรียน ฉันหาเงิน ฉันหมกมุ่นกับสิ่งบันเทิง ฉันลองทุกสิ่ง แต่ฉันก็ยังว่างเปล่า ฉันตัดสินใจที่จะลองเรียนภาษาอังกฤษ ก็เลยมาที่คริสตจักรของคุณ

แทนที่จะได้เรียนภาษาอังกฤษ ฉันกลับได้พบน้ำที่ฉันกระหาย เมื่อฉันนั่งในการประชุมนมัสการ ฉันร้องไห้ด้วยการตระหนักว่าพระเจ้าคือความอิ่มใจที่ฉันปรารถนา พระองค์เป็นผู้ให้ความยินดีอย่างแท้จริง ในวันนั้น ฉันตัดสินใจมอบใจของฉันให้กับพระเจ้า วันนี้พระองค์คือแก้วตาดวงใจของฉัน”

ทบทวนบทที่ 6

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) ดนตรีมีความสำคัญในการนมัสการของเรา

  • เพราะดนตรีมีความสำคัญในการนมัสการในพระคัมภีร์

  • เพราะดนตรีแสดงออกถึงหลักศาสนศาสตร์ความเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อ

  • เพราะดนตรีแสดงออกถึงหลักศาสนศาสตร์เรื่องความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร

(2) ดนตรี

  • พูดสื่อสารกับความนึกคิด ดังนั้นเนื้อหาที่เราร้องต้องเป็นความจริง

  • พูดสื่อสารกับใจและสัมผัสอารมณ์

  • พูดสื่อสารกับร่างกายและไม่ควรลอกเลียนแบบการปฏิบัติที่เป็นการดูหมิ่น

  • พูดสื่อสารกับเจตจำนงและเรียกให้มีการตอบสนอง

  • พูดสื่อสารกับทั้งบุคคล สิ่งนี้ทำให้มีคุณค่าเมื่อสอนความจริงและเป็นอันตรายเมื่อสอนคำสอนนอกรีต

(3) หลักการพระคัมภีร์สำหรับดนตรีนมัสการประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้

  • เนื้อหาในดนตรีนมัสการต้องสื่อสารความจริงชัดเจน

  • แนวดนตรีนมัสการอาจแตกต่างกัน เปาโลกล่าวถึงเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ ตั้งแต่ยุคแรก คริสตจักรร้องเพลงด้วยแนวดนตรีที่หลากหลาย

  • ไม่ใช่ทุกแนวดนตรีมีความเหมาะสมต่อทุกสถานการณ์ เราควรถามว่า “ในบริบททางวัฒนธรรมของฉัน แนวดนตรีนี้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่?”

(4) ดนตรีควรพูดกับผู้ฟังสามคน

  • ดนตรีควรประกาศการสรรเสริญแด่พระเจ้า

  • ดนตรีควรประกาศความจริงต่อคริสตจักร

  • ดนตรีควรประกาศข่าวประเสริฐต่อโลกนี้

(5) หลักการต่าง ๆ สำหรับดนตรีคริสตจักรประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้

  • ดนตรีคริสตจักรที่มีความสำคัญมากที่สุดคือบทเพลงสำหรับร้องในที่ประชุม

  • ดนตรีต้องสนับสนุนเนื้อเพลง

งานมอบหมายบทที่ 6

(1) เพื่อเห็นคุณค่าของความหลากหลายทางดนตรีที่ใช้ได้ในการนมัสการ ให้เขียนรายชื่อเพลงอย่างน้อยสี่เพลงที่พูดถึงแต่ละหัวข้อต่อไปนี้ รายชื่อของคุณจะใช้ในการวางแผนการประชุมนมัสการในบทเรียนถัดไป ให้หาเพลงที่พูดสื่อสารกับความนึกคิด ใจ และเจตจำนง

  • 4 เพลงเกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้า

  • 4 เพลงเกี่ยวกับพระเยซูและการตายกับการฟื้นพระชนม์ของพระองค์

  • 4 เพลงเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์และคริสตจักร

  • 4 เพลงที่เรียกให้ประชากรของพระเจ้ายอมจำนน มีชีวิตที่บริสุทธิ์

  • 4 เพลงเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐและมิชชัน

ถ้าหากคุณกำลังศึกษาเป็นกลุ่ม ขอให้แบ่งปันรายชื่อเพลงและอภิปรายร่วมกัน “มีกี่เพลงในรายชื่อเหล่านี้ที่เราเคยร้องเมื่อปีที่ผ่านมา? เรากำลังประกาศข่าวประเสริฐทั้งหมดในการร้องเพลงของเราไหม?”

(2) ในช่วงเริ่มต้นของบทเรียนถัดไป คุณจะต้องทำแบบทดสอบของบทนี้ ขอให้เตรียมตัวด้วยการศึกษาคำถามของแบบทดสอบอย่างละเอียด

แบบทดสอบบทที่ 6

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) เขียนรายชื่อเพลงจากพระคัมภีร์สามเพลง

(2) ความเชื่ออะไรที่นำให้สภาแห่งเลาดีเซียห้ามไม่ให้ที่ประชุมร้องเพลง?

(3) เขียนหลักศาสนศาสตร์สองประการที่ควรแสดงให้เห็นในดนตรีนมัสการ

(4) เขียนเหตุผลในเชิงปฏิบัติสี่ประการสำหรับดนตรีในการนมัสการ

(5) เขียนหลักการสี่ประการที่ควรนำการเลือกดนตรีสำหรับนมัสการของเรา

(6) รูปแบบเพลงสามรูปแบบที่เปาโลเขียนไว้ใน โคโลสี 3:16 มีอะไรบ้าง?

(7) บททดสอบสูงสุดสำหรับดนตรีนมัสการของเราคืออะไร?

(8) ตามบทเพลงที่มีในพระคัมภีร์ เขียนสามวิธีที่ดนตรีควรพูดกับผู้ฟังที่แตกต่างกัน

(9) โคโลสี 3:16 สอนอะไรเกี่ยวกับจุดประสงค์ของดนตรีนมัสการ?

(10) เขียน โคโลสี 3:15-17 จากการท่องจำ

Next Lesson