เราเริ่มต้นบทเรียนนี้ด้วยเรื่องราวความขัดแย้งเรื่องดนตรีนมัสการ ถ้าหากคุณเป็นศิษยาภิบาลที่เผชิญกับความขัดแย้งลักษณะนี้ ขอให้รู้ว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหม่! ในทุกยุคทุกสมัย คริสตจักรต้องต่อสู้กับการกำหนดรูปแบบดนตรีที่เหมาะสมสำหรับการนมัสการ เพราะในหลายคริสตจักร ดนตรีกลายเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งแทนที่จะเป็นวิธีการนมัสการที่แท้จริง
ดนตรีเป็นศูนย์กลางของการประชุมนมัสการ ในหลายคริสตจักร ครึ่งหนึ่งของการประชุมนมัสการเกี่ยวข้องกับดนตรี เช่น เพลงเตรียมใจ การร้องเพลงในที่ประชุม เพลงพิเศษ การวิงวอน และดนตรีบรรเลงเบา ๆ ช่วงอธิษฐาน เนื่องจากดนตรีมีความสำคัญในการนมัสการ ความขัดแย้งทางดนตรีจึงเป็นเรื่องรุนแรง
ผู้คนมีความชอบอย่างมากสำหรับแนวดนตรี คนมากมายไม่อยากทนต่อแนวดนตรีที่พวกเขาไม่ชื่นชอบ
ความขัดแย้งเกิดขึ้นจากความแตกต่างทางความคิดเห็นเรื่องจริยธรรมของแนวดนตรี มีสามมุมมองพื้นฐานในเรื่องนี้
1. บางคนเชื่อว่าแนวดนตรีอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วร้าย พวกเขาเลือกใช้แนวดนตรีที่พวกเขาเชื่อว่าบริสุทธิ์สะอาด
2. บางคนเชื่อว่าแนวดนตรีไม่สามารถดีหรือชั่วได้ ด้วยเหตุนี้ทุกแนวดนตรีจึงเป็นที่ยอมรับ คนหล่านี้มักจะอยากใช้แนวดนตรีตามวัฒนธรรมในการนมัสการ
3. บางคนเชื่อว่าแนวดนตรีเป็นกลางทางศีลธรรม แต่มีความสัมพันธ์ทางอารมณ์และวัฒนธรรมซึ่งส่งผลต่อประโยชน์ในการนมัสการ คนเหล่านี้ประเมินดนตรีแต่ละแนวเพื่อพิจารณาว่าจะช่วยให้การนมัสการในที่ประชุมไปในทางที่ถวายเกียรติพระเจ้าหรือไม่
[1] ในตอนนี้ เราจะศึกษาหลักการในพระคัมภีร์ที่พูดถึงดนตรีในการนมัสการ
เนื้อหาของดนตรีในการนมัสการต้องสื่อสารความจริงอย่างชัดเจน
จุดเน้นสำคัญของพระคัมภีร์คือเนื้อหาของเพลง ไม่ใช่แนวของดนตรี
โดยไม่คำนึงถึงแนวดนตรี บทเพลงที่มีคำสอนผิด (หรือไม่มีคำสอนอะไร) ก็ไม่เหมาะสมสำหรับการนมัสการ วาร์เร็น วายส์บี เตือนว่าเนื้อหาจำนวนมาก “คลุมเครือและทำให้อารมณ์อ่อนไหว แต่ไม่ใช่ศาสนศาสตร์”[2] การทดสอบอย่างหนึ่งสำหรับเนื้อหาทางดนตรีของเราคือ “คนที่นับถือศาสนาฮินดูหรือมุสลิมสามารถร้องเพลงนี้ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนคำได้ไหม?” ถ้าคุณใช้ชื่อพระพุทธเจ้าแทนโดยไม่ต้องเปลี่ยนเนื้อหาของเพลง เพลงนั้นก็ไม่เหมาะสมต่อการนมัสการแล้ว ถ้าเพลงไม่ได้พูดความจริงอย่างชัดเจน เราควรตั้งคำถามว่ามันควรค่าที่จะนำมาใช้นมัสการไหม เพลงของเราควรแสดงออกถึงความเชื่อของเรา ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เพลงของเราก็จะไม่ได้นำผู้นมัสการให้พุ่งเป้าไปหาพระเจ้า
ฟังเพลงจากพระคัมภีร์
สรรเสริญพระยาห์เวห์!
จงสรรเสริญพระยาห์เวห์จากฟ้าสวรรค์
จงสรรเสริญพระองค์ในที่สูง!
ทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระองค์ จงสรรเสริญพระองค์
กองทัพทั้งสิ้นของพระองค์ จงสรรเสริญพระองค์
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จงสรรเสริญพระองค์
ดาวทั้งสิ้นที่ส่องแสง จงสรรเสริญพระองค์
ฟ้าสวรรค์ที่สูงสุด จงสรรเสริญพระองค์
รวมทั้งน้ำทั้งหลายเหนือฟ้าสวรรค์ด้วย
ให้สิ่งเหล่านั้นสรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์
เพราะพระองค์ทรงบัญชา สิ่งเหล่านั้นก็ถูกเนรมิตขึ้นมา
และพระองค์ทรงสถาปนาสิ่งเหล่านั้นไว้เป็นนิตย์นิรันดร์… (สดุดี 148)
เปรียบเทียบกับเพลงยอดนิยมไม่นานมานี้
“ไม่เป็นไรที่จะเต้น เมื่อคุณเต้นในนามของพระเยซู
ไม่เป็นไรที่จะเต้นรำ เมื่อคุณกำลังเต้นรำเพื่อพระเจ้า…”[3]
เพลงไหนที่ประกาศพระวจนะของพระเจ้า? เปาโลตักเตือนเกี่ยวกับการนมัสการที่เข้าใจไม่ได้ เปาโลพูดว่า “ข้าพเจ้าจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณและด้วยความคิด” (1 โครินธ์ 14:15) เมื่อเราศึกษาบทเพลงของพระคัมภีร์ เราพบว่าบทเพลงเหล่านั้นสอนด้วยความชัดเจน เนื้อหาในดนตรีนมัสการของเราต้องสื่อสารความจริงจากพระคัมภีร์
แบบประเมินบทเพลง [4]
น้อย
กลาง
มาก
เ นื้อหาเป็นความจริงตามหลักคำสอนไหม?
เนื้อหาสัตย์ซื่อต่อประสบการณ์ของคริสเตียนไหม?
ที่ประชุมจะเข้าใจเนื้อหาไหม?
แนวดนตรีเข้ากันกับถ้อยคำไหม?
โทนเสียงง่ายต่อการร้องของที่ประชุมไหม?
ตรวจสอบ
เพลงนมัสการของคุณเป็นจริงตามพระคัมภีร์ไหม? ผู้เชื่อใหม่จะรู้จักพระเจ้าของพระคัมภีร์ในเพลงที่คริสตจักรของคุณหรือไม่?
แนวดนตรีนมัสการอาจแตกต่างกัน
พระเจ้าคือพระเจ้าที่มีความหลากหลายอย่างไม่จำกัด พระองค์ดลใจให้มีการบันทึกพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มในพันธสัญญาใหม่ ไม่ใช่เล่มเดียว พระองค์ตรัสผ่านทางบุคลิกที่เจาะจงของผู้เขียนแต่ละคน พระองค์สร้างสายพันธุ์ปลานับหลายพัน ไม่ใช่สายพันธุ์เดียว พระองค์สร้างดวงตาของมนุษย์ให้มีความสามารถแยกแยะแปดพันล้านสีที่ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ถูกสร้างสำแดงพระสิริของพระเจ้าในความหลากหลายและงดงาม พระองค์สร้างแต่ละคนให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ใช่สร้างให้มีบุคลิกเดียว พระเจ้าแสดงถึงความหลากหลายอันไม่จำกัด
ดนตรีของเราควรสะท้อนถึงความหลากหลายที่สร้างสรรค์ของพระเจ้าที่เรานมัสการ ในโคโลสี 3:16 เปาโลเขียนถึงรูปแบบของเพลงสามอย่างที่ควรใช้ในการนมัสการคือ เพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ (ดูใน เอเฟซัส 5:19 ด้วยเช่นกัน) เปาโลไม่ได้ให้คำนิยามของทั้งสามรูปแบบเหล่านี้ มีนักเขียนหลายคนให้คำนิยามไว้ดังนี้
เพลงสดุดี อาจหมายถึงพระธรรมสดุดี
เพลงสรรเสริญ อาจหมายถึงเพลงที่มนุษย์แต่งขึ้นมา มีนักเขียนหลายคนที่จำกัดคำนี้ไว้ว่าสำหรับร้องให้พระเจ้าหรือเกี่ยวกับพระเจ้า นี่อาจรวมถึงบทเพลงที่เป็นจริงตามพระคัมภีร์ในตอนอื่นนอกเหนือจากพระธรรมสดุดี
เพลงฝ่ายจิตวิญญาณ ให้คำนิยามได้ยากที่สุด นักเขียนบางคนให้คำนิยามว่าเป็นเพลงที่ไม่เป็นทางการ บางคนถือว่าบทเพลงฝ่ายจิตวิญญาณเป็นเพลงเกี่ยวกับชีวิตคริสเตียนและคำพยานส่วนตัว
โดยไม่คำนึงถึงคำนิยาม ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคริสตจักรร้องเพลงที่มีความหลากหลายในสมัยแรก ๆ
วาร์เร็น วายส์บี พูดถึงหลักการแห่งความถูกต้องของแท้ เขาเขียนไว้ว่า “การแสดงออกถึงการนมัสการต้องเป็นของแท้ เปิดเผยถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมของผู้คน”[5] การนมัสการที่เป็นของแท้พูดถึงพระวจนะที่มีชีวิตของพระเจ้าด้วยภาษาของแต่ละวัฒนธรรม ในทุกยุคสมัย คริสเตียนได้แต่งเพลงที่สื่อสารการสรรเสริญพระเจ้าโดยใช้แนวดนตรีที่มีในวัฒนธรรมของพวกเขา เราไม่ควรทึกทักว่าดนตรีของวัฒนธรรมของเราเท่านั้นที่เป็นดนตรีของแท้ที่ศักดิ์สิทธิ์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น แต่ดนตรีแนวใดที่ไม่ขัดแย้งกับหลักการที่ชัดเจนของพระคัมภีร์ เราต้องยอมให้แต่ละวัฒนธรรมและคนทุกรุ่นสรรเสริญพระเจ้าด้วยภาษาของพวกเขาเอง
ตรวจสอบ
ดนตรีในคริสตจักรของคุณแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายที่สร้างสรรค์ของพระเจ้าไหม?
ไม่ใช่ทุกแนวดนตรีที่จะเหมาะสมกับทุกสถานการณ์
ถึงแม้ว่าคนมากมายได้พยายามกำหนดความหมายของแนวดนตรีที่เป็นจริงตามพระคัมภีร์ แต่พระคัมภีร์ก็ไม่ได้สั่งเกี่ยวกับแนวดนตรีที่เจาะจง หลังจากการศึกษาปรัชญาเบื้องหลังแนวดนตรี ฟรานซิส สแชฟเฟอร์ (Francis Schaeffer) เขียนว่า “ขอผมพูดอย่างหนักแน่นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเป็นแนวของพระเจ้า...”[6]
เสียงดนตรีไม่ได้สื่อสารเนื้อหาด้านจริยธรรม คอร์ดดนตรีไม่มีชอบธรรมหรืออธรรม นี่หมายความว่าทุกแนวดนตรีเหมาะสมกับการนมัสการใช่ไหม? เปล่าเลย บางแนวดนตรีเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมที่เป็นความบาปซึ่งจะไม่ได้สื่อสารเนื้อหาที่ชอบธรรมในการนมัสการ
นักดนตรีและมิชชันนารีได้ค้บพบสิ่งเดียวกันคือ ผู้คนตอบสนองต่อเสียงของดนตรีด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ถ้ามีสองคนกำลังฟังดนตรีอย่างเดียวกัน คนหนึ่งอาจเริ่มต้นร้องไห้เพราะได้รับการสัมผัสจากเพลงนั้น อีกคนอาจไม่รู้สึกต้องตอบสนองอะไรกับเพลงนั้น[7]
บททดสอบขั้นสูงสุดสำหรับดนตรีนมัสการไม่ใช่ “ฉันชอบไหม?” หรือ “มันให้แรงบันดาลใจแก่ฉันไหม?” บททดสอบขั้นสูงสุดคือถวายเกียรติแด่พระเจ้า นี่หมายความว่าเราต้องประเมินสิ่งที่แนวดนตรีสื่อสารในบริบททางวัฒนธรรมของเรา เราต้องถามว่า “ในบริบททางวัฒนธรรมของฉัน ดนตรีแนวนี้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่?”
เราทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งนั้นทำให้เจริญขึ้น (1 โครินธ์ 10:23) ถ้าหากเป้าหมายอย่างหนึ่งของดนตรีนมัสการคือการเสริมสร้างผู้เชื่อ แนวดนตรีที่เราใช้ต้องไม่ขัดขวางเป้าหมายนี้ ดนตรีอย่างเดียวกันอาจช่วยเอื้อในการนมัสการในวัฒนธรรมหนึ่ง และเป็นอุปสรรคในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ผู้นำนมัสการที่รอบคอบจะเลือกดนตรีที่เหมาะสมกับกลุ่มคนที่เขานำนั้น
เราจะตัดสินได้อย่างไรว่าสไตล์เพลงใดเหมาะสม? ในฐานะผู้นำ คุณมีหน้าที่รับผิดชอบในการช่วยคนของคุณทำงานผ่านคำถามนี้ในสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมของคุณ สิ่งที่เหมาะสมในวัฒนธรรมหนึ่งอาจไม่เหมาะสมในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง เนื่องจากคำอธิบายความหมายทางศาสนาถึงแนวดนตรีแนวใดแนวหนึ่ง หรือเนื่องจากแนวดนตรีนั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่เป็นความบาปในวัฒนธรรมรอบข้าง แนวดนตรีนั้นจึงไม่เหมาะสมในการนมัสการ คุณต้องประเมินดนตรีในแง่ของความเหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณ
เปาโลสั่งให้เราพิสูจน์ทุกสิ่งและจากนั้นยึดมั่นในสิ่งที่ดี (1 เธสะโลนิกา 5:21) เราต้องไม่ยอมรับสิ่งใดที่ไม่ได้รับการทดสอบและพิสูจน์ ซึ่งรวมถึงดนตรีที่เราร้องด้วย
ตรวจสอบ
คุณร้องเพลงที่ไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมของคุณไหม? ดนตรีสื่อการกระตุ้นทางอารมณ์หรือแนวของโลกในวัฒนธรรมของคุณไหม ? เนื้อหาดนตรีขัดแย้งกับเนื้อหาของพระคัมภีร์ไหม?
ควรมีความสมดุลในดนตรีนมัสการของเรา
พระธรรมสดุดีแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าให้คุณค่ากับความหลากหลายในการนมัสการ พระธรรมสุดดีบรรจุคำสรรเสริญ คร่ำครวญ การร้องขอความช่วยเหลือ และการขอบพระคุณสำหรับการช่วยกู้ สดุดีพูดถึงความจำเป็นในการนมัสการของผู้นมัสการทุกคน
เครื่องหมายหนึ่งของความเป็นผู้ใหญ่ในคริสตจักรคือความหลากหลาย (1 โครินธ์ 12 :4-6) พระกายของพระคริสต์ประกอบด้วยวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ภาษาที่แตกต่างกัน บุคลิกภาพที่แตกต่างกัน และของประทานที่แตกต่างกัน การนมัสการของเรา รวมถึงดนตรีของเราควรพูดกับสมาชิกทุกคนในพระกายของพระคริสต์ อันที่จริง การนมัสการของเราควรพูดนอกเหนือไปจากตัวคริสตจักรเองเพื่อประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้ที่ไม่เชื่อ เพลงในพระคัมภีร์พูดกับผู้ฟังสามคน[8]
ดนตรีควรประกาศคำสรรเสริญต่อพระเจ้า: “ร้องเพลงสรรเสริญและสดุดีจากใจของท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า” (เอเฟซัส 5:19)
► อ่านสดุดี 91
สดุดี 91 แสดงให้เห็นว่าเราร้องเพลงแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ดนตรีควรแสดงออกถึงการสรรเสริญพระเจ้า จากบทเพลงสรรเสริญใน อพยพ 15 ถึงบทเพลงสวรรค์ในวิวรณ์ บทเพลงในพระคัมภีร์สรรเสริญพระเจ้าสำหรับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ แนวดนตรีหลักในพระคัมภีร์คือการสรรเสริญ สดุดีคร่ำครวญ ร้องขอ หรือสรรเสริญมักจะกล่าวถึงพระเจ้า
ร้องเพลงผ่านทางพระธรรมสดุดีและคุณจะร้องว่า...
“ข้าพระองค์ร้องเสียงดังต่อพระเจ้า...”
“ขอตอบเมื่อข้าพระองค์ร้องทูล โอ พระเจ้าแห่งความชอบธรรมของข้าพระองค์!”
“ข้าพระองค์จะขอบคุณพระเจ้าด้วยสุดใจ”
“ข้าพระองค์จะร้องเพลงถวายแด่พระเจ้า”
“โอ พระเจ้า ข้าพระองค์รักพระองค์”
ดนตรีควรประกาศความจริงต่อคริสตจักร: “สอนและเตือนสติกันและกัน” (โคโลสี 3:16)
ผู้นำนมัสการหลายคนพูดว่า “เราไม่ควรร้องเพลงให้กับผู้ฟังคนอื่น เราร้องให้พระเจ้าฟังเท่านั้น” อย่างไรก็ตาม เพลงสดุดีหลายเพลงร้องให้กับอิสราเอล ขณะที่เป็นความจริงว่าเพลงในพระคัมภีร์หลายเพลงร้องต่อพระเจ้า แต่ก็เป็นความจริงด้วยที่หลายเพลงก็ร้องต่อที่ประชุม
ในเอเฟซัส 5:19 กำชับให้ผู้เชื่อปราศรัยกันด้ว ยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ ในโคโลสี 3:16 เจาะจงมากขึ้นเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการร้องเพลงของเรา “จงให้พระวจนะของพระคริสต์อยู่ในพวกท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้ว ยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณด้วยการขอบพระคุณพระเจ้าในใจของท่าน”
เปาโลแสดงให้เห็นถึงถ้อยคำของพระคริสต์ที่ถูกประกาศผ่านทางการร้องเพลงของคริสตจักร เมื่อเราร้องเพลง เรากล่าวความจริงของพระเจ้าต่อผู้นมัสการร่วมกันกับเรา โดยผ่านทางบทเพลง คริสตจักรสอนกันและกัน โดยทางบทเพลง ผู้เชื่อได้รับการเสริมสร้างขึ้นและพระกายของพระคริสต์ก่อกันขึ้น
ดนตรีควรประกาศข่าวประเสริฐต่อโลกนี้: “จงเล่าถึงพระสิริของพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ…” (สดุดี 96:3)
ผู้เขียนสดุดีเรียกให้เราร้องเพลงเพื่อเป็นดั่งคำพยานต่อชนชาติต่าง ๆ
“จงร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่พระยาห์เวห์
แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเอ๋ย จงร้องเพลงถวายแด่พระยาห์เวห์
จงร้องเพลงถวายแด่พระยาห์เวห์ จงถวายสาธุการแด่พระนามของพระองค์
จงประกาศการช่วยกู้ของพระองค์ทุกๆ วัน
จงเล่าถึงพระสิริของพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
และการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ท่ามกลางชนทุกชาติ” (สดุดี 96:1-3)
► อ่าน 1 พงศ์กษัตริย์ 8:41-43
เมื่อพระเจ้าได้รับการสรรเสริญ ข่าวประเสริฐก็ถูกประกาศต่อชนชาติต่าง ๆ ในการมอบถวายพระวิหาร โซโลมอนอธิษฐานว่า แม้แต่คนต่างชาติจะมานมัสการที่พระวิหารนั้น เขาอธิษฐานว่า พระนามของพระเจ้าจะเป็นที่รู้จักท่ามกลางประชาชาติทั้งสิ้นบนโลกนี้ เมื่อเรานมัสการ ข่าวประเสริฐก็ได้รับการประกาศต่อโลกที่กำลังเฝ้าดูเราอยู่
ดนตรีนมัสการของเราควรพูดกับพระเจ้าและเกี่ยวกับพระเจ้า ดนตรีนมัสการของเราควรพูดกับคริสตจักร ดนตรีนมัสการของเราควรประกาศข่าวประเสริฐต่อโลกนี้
เมื่อเราลืมผู้ฟังคนใดคนหนึ่งไป การนมัสการของเราก็ล้มเหลวที่จะทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับคริสตจักรสำเร็จได้ เมื่อเราลืมว่าพระเจ้าคือผู้ฟังสูงสุดในการนมัสการ การนมัสการของเราก็ล้มเหลวที่จะพูดกับพระเจ้าเป็นหลัก เมื่อเราลืมว่าคริสตจักรคือผู้ฟังในการนมัสการ เราก็ล้มเหลวที่จะสอนและเตือนสติกันในการนมัสการ เมื่อเราลืมว่าการนมัสการควรประกาศข่าวประเสริฐต่อโลก เราก็ล้มเหลวที่จะประกาศข่าวประเสริฐและทำให้พระมหาบัญชาสำเร็จ
ตรวจสอบ
ในบทเพลงของคุณ คุณพูดกับพระเจ้า พูดกับคริสตจักร และพูดกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าไหม? ไม่ใช่ทุกเพลงที่จะพูดกับแต่ละคนเหล่านี้ แต่โดยผ่านการประชุมนมัสการ เราควรพูดกับแต่ละคนที่เป็นผู้ฟังเหล่านี้
นำมาสู่การปฏิบัติ
เราได้เห็นแล้วว่าทำไมดนตรีจึงมีความสำคัญในการนมัสการ เราได้ตรวจสอบหลักการในพระคัมภีร์เกี่ยวกับดนตรีในการนมัสการ เราจะจบบทเรียนนี้โดยดูแนวคิดที่ใช้ได้จริงสำหรับดนตรีในการนมัสการ คุณสามารถปรับสิ่งเหล่านี้ให้เหมาะกับที่ประชุมและคริสตจักรของคุณ
ในการตอบสนองต่อหลักการข้างต้น นักศึกษาคนหนึ่งถามว่า “หากแนวดนตรีนมัสการมีความแตกต่างกัน และแนวดนตรีก็ไม่ได้ดีหรือเลวโดยเนื้อแท้ ดังนั้นมีแนวทางใดบ้างที่ช่วยในการเลือกเพลงสำหรับคริสตจักรของเรา?”
ใช่ มีแนวทางปฏิบัติที่ช่วยเราได้ คุณต้องกำหนดวิธีการใช้สิ่งเหล่านี้กับสถานการณ์เฉพาะของคุณ แต่หลักการพื้นฐานบางอย่างควรเป็นแนวทางในการตัดสินใจของเราเกี่ยวกับดนตรีของคริสตจักร
สิ่งสำคัญที่สุดของดนตรีคริสตจักรคือการร้องเพลงในที่ประชุม
เนื่องจากดนตรีคริสตจักรแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักรและความเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อ สิ่งสำคัญมากที่สุดเกี่ยวกับดนตรีของเราคือการร้องเพลงในที่ประชุม ในขณะที่นักร้องประสานเสียง นักร้องเดี่ยว ทีมสรรเสริญ กลุ่มเครื่องดนตรี และดนตรีพิเศษอื่น ๆ มีคุณค่า ดนตรีในที่ประชุมก็มีความสำคัญมากที่สุดในการนมัสการของคริสเตียน มีขั้นตอนในเชิงปฏิบัติบางประการที่เราสามารถพัฒนาการร้องเพลงในที่ประชุมได้
สิ่งที่ต้องจดจำ
1 ดนตรีที่คลอเสียงไม่ควรมีลูกเล่นแพรวพราวหรือเล่นดังจนกลบความสนใจในการร้อง ในพันธสัญญาใหม่ การร้องเพลงเป็นดนตรีหลักของคริสตจักร คนเล่นออร์แกน เปียโน กีตาร์ ตีกลอง ไม่ได้เป็นดนตรีหลักของคริสตจักร จงยอมให้คริสตจักรร้องเพลง!
2 . บางบทเพลงร้องได้ไพเราะที่สุดเมื่อไม่มีเครื่องดนตรี บางครั้งบทเพลงที่เป็นคำอธิษฐานสามารถสื่อสารได้ดีเมื่อร้องแบบเบา ๆ โดยไม่มีเครื่องดนตรี ทำให้ที่ประชุมจดจ่อกับเนื้อหาของเพลงโดยไม่มีอะไรมารบกวน
3 . ดนตรีไม่ควรยากหรือใช้เพลงใหม่ซึ่งที่ประชุมร้องไม่ได้ เพลงใหม่มีจุดดี แต่เราควรให้ที่ประชุมได้ฝึกร้องเพลงใหม่หนึ่งเพลงให้ได้ก่อนที่จะเพิ่มเพลงใหม่อื่น ๆ เข้ามาอีก การใช้เพลงใหม่ต่อเนื่องมากเกินไปจะกลายเป็นภาระหนักจนคนไม่สามารถซึมซับความหมายของเพลงได้ แนวทางทั่วไปที่ดีคือการเพิ่มเพลงใหม่ในขณะที่ยังรักษาเพลงที่คุ้นเคยไว้ด้วย
4 . ศิษยาภิบาลต้องร้องเพลงร่วมกับที่ประชุม ถ้าหากที่ประชุมกำลังร้องเพลงนมัสการ คุณก็ต้องนมัสการ เมื่อศิษยาภิบาลทำอย่างอื่นในช่วงที่มีการร้องเพลงในที่ประชุม การกระทำของเขากำลังพูดว่า “คำเทศนาของผมเท่านั้นที่สำคัญในการประชุมนมัสการนี้” ศิษยาภิบาลควรเป็นต้นแบบของการนมัสการสำหรับคนที่เหลือในที่ประชุม
ดนตรีต้องรับใช้เนื้อหาของเพลง
เนื่องจากดนตรีนมัสการมีไว้เพื่อประกาศการสรรเสริญพระเจ้า เพื่อพูดความจริงกับที่ประชุม และเพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้กับโลกนี้ ดังนั้นเนื้อเพลงจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงแนวของดนตรี ถ้าหากดนตรีขัดขวางการสื่อสารของเนื้อเพลง เราก็ไม่ได้พูดต่อกันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ
นี่ไม่ได้หมายความว่าเครื่องดนตรีไม่สำคัญ เครื่องดนตรีสามารถช่วยให้เราจดจ่อความคิด อารมณ์ และเจตจำนงกับการนมัสการได้ เครื่องดนตรีมีคุณค่าต่อการนมัสการ แต่การร้องเพลงในที่ประชุมมีจุดเน้นสำคัญคือเนื้อเพลง
ผู้นำต้องช่วยให้ที่ประชุมจดจ่อกับความหมายของเนื้อเพลง
ผู้นำทำให้เนื้อเพลงมีความหมายมากขึ้นได้โดยวิธีการนำของพวกเขา มีสองตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าผู้นำมีอิทธิพลต่อเนื้อหาของเพลงอย่างไร
อำนาจ ไม่ได้คิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเนื้อหาในบทเพลงที่ใช้ในที่ประชุม สัปดาห์ที่แล้วอำนาจนำเพลงสองเพลงเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพ เนื้อเพลงแต่ละย่อหน้าของบทเพลงแรกมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน ย่อหน้าที่ 1 เป็นคำอธิษฐานต่อพระบิดา ย่อหน้าที่ 2 เป็นคำอธิษฐานต่อพระบุตร ย่อหน้าที่ 3 เป็นคำอธิษฐานต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และย่อหน้าที่ 4 เป็นคำอธิษฐานต่อตรีเอกานุภาพ
ก่อนที่พวกเขาจะร้องเพลง อำนาจกล่าวว่า “เราจะร้องย่อหน้าที่ 1, 2, และ 4”
มีอะไรผิดเกี่ยวกับการละเว้นย่อหน้าที่ 3? นี่เป็นเพลงเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพ ความสมบูรณ์ของเนื้อหานั้นจะพร่องไปเมื่อคุณละเว้นย่อหน้าหนึ่ง.
ในบทเพลงที่สอง มีสามย่อหน้าซึ่งแต่ละย่อหน้าเป็นการนมัสการและสรรเสริญความเป็นบุคคลของตรีเอกานุภาพอย่างเจาะจง อำนาจกล่าวว่า “ให้เราร้องสองย่อหน้า” อีกครั้งที่อำนาจลืมว่าบทเพลงร้องถึงตรีเอกานุภาพนั้นต้องรวมทั้งสามบุคคลของพระเจ้า การละเว้นย่อหน้าใดในบทเพลงสรรเสริญโดยไม่พิจารณาเนื้อหาให้ดีก็เป็นการขัดขวางการนมัสการของผู้คนในที่ประชุม
เสกสรรค์รู้ว่าการร้องเพลงในที่ประชุมมีความสำคัญต่อการนมัสการ ในวันอาทิตย์เมื่อเขานำเพลงสรรเสริญที่ทุกคนไม่รู้จัก เขาเริ่มต้นพูดว่า “นี่คือเพลงใหม่สำหรับพวกเรา ขอให้ฟังสดุดีบทที่ 150 ซึ่งเพลงสรรเสริญแต่งมาจากสดุดีบทนี้” เพียงคำพูดไม่กี่คำ เสกสรรค์ช่วยให้ที่ประชุมจดจ่อกับความหมายของเพลงใหม่เพลงนั้นได้
ต่อมาในการประชุมนมัสการ เสกสรรค์นำเพลงที่อธิบายถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในฐานะกษัตริย์ ก่อนที่พวกเขาจะร้องเพลง เสกสรรค์อ่าน 1 ทิโมธี 1 :17 “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ ผู้เป็นองค์อมตะ และไม่ทรงปรากฏแก่ตา ผู้เป็นพระเจ้าแต่เพียงองค์เดียว ขอพระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน” เพลงที่ที่ประชุมเคยร้องมาหลายครั้งแล้วกลับมีความสดใหม่อีกครั้งเมื่อผู้นมัสการได้ยินข้อพระคัมภีร์ที่ดลใจบทเพลงนี้ การเชื่อมโยงบทเพลงสรรเสริญกับรากฐานจากพระคัมภีร์สนับสนุนให้ที่ประชุมนมัสการร่วมกัน
► ขอให้พิจารณาชุดบทเพลงสรรเสริญในภาษาของคุณ เลือกบทเพลงและข้อพระคัมภีร์ตอนที่แนะนำบทเพลงนั้นได้
ถ้าคุณใช้เครื่องฉายเพลง คนที่ฉายเพลงเป็นส่วนหนึ่งของการนำนมัสการ
เนื้อเพลงบนจอภาพช่วยให้ผู้นมัสการจดจ่อกับเนื้อหาหรือถูกเบนความสนใจออกจากเนื้อหาก็ได้ คนที่ฉายเพลงควรระมัดระวังในการนำของพวกเขา ต่อไปนี้คือปัญหาบางอย่างที่ต้องหลีกเลี่ยง
ปัญหาทั้งหมดนี้เบนความสนใจผู้คนออกจากการนมัสการ เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ผู้คนจะคิดเรื่องนั้นแทนที่จะจดจ่อกับการนมัสการ คำที่ปรากฏบนจอภาพมีผลกระทบต่อการร้องเพลงของที่ประชุม
ในดนตรีนมัสการ ดนตรีสนับสนุนเนื้อเพลง เนื่องจากนี่เป็นความจริง ผู้นำนมัสการต้องช่วยให้ที่ประชุมร้องเพลงอย่างมีความหมาย ไม่มีสักสิ่งใดเหล่านี้ที่สร้างการ นมัสการ การนมัสการมาจากใจ อย่างไรก็ตาม การขจัดสิ่งรบกวนออกไปกระตุ้นให้ผู้นมัสการมุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายที่แท้จริงของการนมัสการคือพระเจ้า
[1]
กฎยี่สิบปี
“ถ้าใครบางคนเติบโตมากับการร้องเพลงของเราเป็นเวลายี่สิบปี พวกเขาจะรู้จักพระเจ้าดีมากแค่ไหนหรือ? พวกเขาจะรู้ว่าพระเจ้าบริสุทธิ์ มีสติปัญญา มีอำนาจทั้งสิ้น และมีอำนาจสูงสุดไหม? พวกเขาจะเข้าใจถึงสง่าราศีและความเป็นศูนย์กลางของข่าวประเสริฐไหม?”
- บ๊อบ คาวฟลิน (Bob Kauflin)
ใน Worship Matters
[2] Warren Wiersbe,
Real Worship (Grand Rapids: Baker Books, 2000), 137
[4] ดัดแปลงจาก Constance M. Cherry,
The Worship Architect. (Grand Rapids: Baker Academic, 2010), 202-203
[5] Warren Wiersbe,
Real Worship (Grand Rapids: Baker Books, 2000), 139
[6] Francis Schaeffer,
Art and the Bible (Downers Grove: InterVarsity Press, 1973), 51
[7] Gerardo Marti,
Worship across the Racial Divide: Religious Music and the Multiracial Congregation. (England: Oxford University Press, 2012)
[8] ดัดแปลงจาก Herbert Bateman, ผู้เรียบเรียง
Authentic Worship (Grand Rapids: Kregel Publications, 2002), 150-155
Previous
Next