คำว่า นมัสการ ที่ปรากฏในพันธสัญญาใหม่ ครึ่งหนึ่งอยู่ในพระกิตติคุณ พระกิตติคุณแสดงให้เห็นว่าพระเยซูคือความสมบูรณ์สูงสุดของการนมัสการ พระองค์ทำให้การนมัสการสมบูรณ์ในสองทางคือ...
1. ด้วยความถ่อมใจของพระเยซู พระองค์เป็นต้นแบบของการนมัสการ
2. ด้วยความเป็นพระเจ้าของพระเยซู พระองค์ได้รับการนมัสการ
ด้วยความถ่อมใจของพระเยซู พระองค์เป็นต้นแบบสูงสุดของการนมัสการ
พระเยซูเป็นต้นแบบของการนมัสการที่แท้จริง พระเยซูบอกกับหญิงชาวสะมาเรียว่าพระเจ้ากำลังแสวงหาคนที่นมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยอห์น 4:24) ในการนมัสการของพระองค์เอง (การอ่านพระคัมภีร์ การอธิษฐาน การเข้าร่วมในธรรมศาลาและในพระวิหาร) พระเยซูแสดงให้เห็นว่าการนมัสการที่แท้จริงที่เป็นการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงนั้นมีลักษณะอย่างไร
พระเยซูรักสถานนมัสการ
ลูกาแสดงให้เห็นถึงความรักของพระเยซูที่มีต่อสถานนมัสการ แม้ว่ายังเป็นเด็ก พระเยซูตระหนักว่าพระวิหารคือบ้านของพระบิดา (ลูกา 2:41-49) พระองค์มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะให้การนมัสการในพระวิหารบริสุทธิ์สะอาด พระองค์ขับไล่พวกคนที่ข่มเหงพระวิหารถึงสองครั้ง[1]
ในช่วงต้นของการทำพันธกิจกับสาธารณชน พระเยซูไปที่ธรรมศาลาในเมืองนาซาเรธตอนวันสะบาโตตามที่พระองค์ทำเป็นประจำ (ลูกา 4:16) ตลอดช่วงการทำพันธกิจบนโลกนี้ พระเยซูไปที่ธรรมศาลาบ่อยครั้ง
พระเยซูปฏิเสธการนมัสการคนใดหรือสิ่งใด แต่นมัสการพระเจ้าเท่านั้น
ในถิ่นทุรกันดาร พระเยซูปฏิเสธการลองใจให้นมัสการเทียมเท็จ
► อ่าน มัทธิว 4:9-10
การลองใจให้นมัสการสิ่งที่ถูกสร้างแทนที่จะนมัสการพระผู้สร้างเป็นหัวข้อที่มีตลอดทั้งพระคัมภีร์ นี่คือรากของการกราบไหว้รูปเคารพในพันธสัญญาเดิม วิวรณ์แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการนมัสการพญานาคและสัตว์ร้าย กับการนมัสการพระเจ้าและลูกแกะของพระเจ้า พระเยซูปฏิเสธที่จะนมัสการสิ่งที่ถูกสร้าง[2]
พระเยซูอธิษฐานจนเป็นลักษณะนิสัย
การอธิษฐานมีความสำคัญต่อพันธกิจของพระเยซูตลอดทุกเวลา พระกิตติคุณนำเสนอว่าพระเยซูได้อธิษฐานสิบห้าครั้ง ในบางโอกาสเหล่านี้ พระองค์ใช้เวลาตลอดคืนตามลำพังกับพระบิดา ก่อนเลือกอัครทูตสิบสองคน พระองค์ใช้เวลาอธิษฐานในยามค่ำคืน (ลูกา 6:12) ในช่วงเวลาสุดท้ายกับพวกสาวกของพระองค์ พระเยซูอธิษฐานเผื่อสาวกและสำหรับทุกคนที่จะมาเชื่อพระองค์ในภายหลัง (ยอห์น 17) ในการต้องเผชิญหน้ากับไม้กางเขน พระองค์ไปที่สวนเกทเสมนี (มัทธิว 26:36-42) การอธิษฐานมีความสำคัญต่อการนมัสการของพระเยซู
พระเยซูอธิบายถึงการนมัสการที่แท้จริง
นอกจากการเป็นต้นแบบของการนมัสการผ่านทางการกระทำแล้ว พระเยซูยังสอนเกี่ยวกับการนมัสการอย่างต่อเนื่อง พระองค์สอนหญิงชาวสะมาเรียเรื่องการนมัสการที่แท้จริง พระเยซูสอนรูปแบบการอธิษฐานให้กับพวกสาวกและสอนเรื่องการอธิษฐานโดยใช้อุปมาต่าง ๆ (ลูกา 11:5-8 ลูกา 18:1-14)
► อ่าน ลูกา 11:1-4
รูปแบบการอธิษฐานของพระเยซูแสดงให้เห็นว่าการอธิษฐานต้องมาจากใจแห่งการนมัสการ คำอธิษฐานเริ่มต้นด้วย “ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ” การสักการะคือการให้เกียรติในความบริสุทธิ์ ในคำอธิษฐานเรายอมรับว่าพระเจ้าบริสุทธิ์
พระเยซูประณามการนมัสการเทียมเท็จ
ถ้าการนมัสการที่แท้จริงคือการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง การนมัสการเทียมเท็จคืออะไรก็ตามที่ไม่ตรงกับสิ่งนี้ พระเยซูปฏิเสธ...
(1) การนมัสการด้วยความหน้าซื่อใจคด
ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูเตือนว่า เป็นไปได้ที่จะทำสิ่งถูกต้องด้วยเหตุผลที่ผิด การให้แก่คนยากจน การอธิษฐาน และการอดอาหาร ล้วนเป็นลักษณะของการนมัสการ พระเยซูต่อว่าพวกคนที่ทำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้คนอื่นประทับใจว่าเป็นพวกหน้าซื่อใจคด (มัทธิว 6:1-18) ผู้นมัสการที่แท้จริงปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จากความปรารถนาที่จะถวายการนมัสการแด่พระเจ้า
ในมัทธิว 23 พระเยซูตำหนิพวกผู้นำศาสนาที่สอนสิ่งถูกต้องเกี่ยวกับการนมัสการ แต่ในใจกลับห่างไกลพระเจ้า พระเยซูกล่าวว่าคำสอนของพวกเขาถูกต้อง แต่ใจของพวกเขาผิด พวกเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด
(2) การนมัสการโดยยึดถือเป็นกฎ
อันตรายอย่างหนึ่งคือการนมัสการด้วยความหน้าซื่อใจคด การนมัสการที่ตั้งใจทำให้คนที่ดูประทับใจมากกว่าทำให้พระเจ้าพอใจ อันตรายอีกอย่างคือการยึดถือเป็นกฎ คือการนมัสการที่ตั้งเป้าเพื่อได้รับความโปรดปรานของพระเจ้าผ่านการทำตามข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด เมื่อเราพยายามที่จะได้รับความโปรดปรานของพระเจ้าผ่านกิจแห่งการนมัสการ เราก็สูญเสียความเป็นจริงของการนมัสการที่แท้จริง การนมัสการกลายเป็นการงานที่เราทำเพื่อจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าแทนที่จะเป็นการตอบสนองด้วยความยินดีต่อความดีของพระเจ้า
พระเยซูทำให้พวกผู้นำศาสนาไม่พอใจเมื่อพระองค์ฝ่าฝืนประเพณีของพวกเขา[3] พระเยซูไม่ได้ละเมิดกฎบัญญัติหรือแม้แต่จิตวิญญาณของกฎบัญญัติ แต่พระองค์ขัดขืนต่อประเพณีของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีตามกฎเกณฑ์ของพวกฟาริสี สำหรับพวกฟาริสี ประเพณีเหล่านี้มีความสำคัญเทียบเท่ากฎบัญญัติ พวกเขาเชื่อว่าการยึดถือกฎบัญญัติทำให้ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า สิ่งนี้ให้คำนิยามแก่การยึดถือกฎ คือความพยายามที่จะได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าโดยการทำตามข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด พระเยซูปฏิเสธการยึดถือกฎเท่ากับที่ปฏิเสธความหน้าซื่อใจคด
ในความเป็นพระเจ้าของพระเยซู พระองค์ได้รับการนมัสการ
หลังจากการตายและฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซู พระองค์นั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดาและได้รับการนมัสการอย่างสมเกียรติ (ว ิวรณ์ 5:12-14) เปาโลเขียนถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ในฟิลิปปีบทที่ 2 เนื่องจากการยอมถ่อมพระองค์ บัดนี้พระองค์ได้รับการยกย่องนมัสการ
เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด และประทานพระนามเหนือนามทั้งหมดแก่พระองค์ 10 เพื่อที่ว่าเพราะพระนามของพระเยซูนั้น ทุกชีวิต1 ในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก และใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงกราบพระองค์ 11 และเพื่อที่ว่าทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา (ฟิลิปปี 2:9-11)
ในมัทธิว 18:20 พระเยซูพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์สมควรแก่การนมัสการ ในประเพณีของคนยิว จะต้องมีสมาชิกผู้ชาย 10 คนก่อนที่จะมีการพบปะกันเพื่อนมัสการในธรรมศาลา พระเยซูพูดเรื่องนี้กับพวกสาวกของพระองค์ว่า “เพราะว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขาที่นั่น” ในคริสตจักร สิ่งที่เป็นตัวกำหนดการนมัสการไม่ใช่จำนวนคน แต่คือการสถิตอยู่ด้วยของพระเยซู
โดยทางอิทธิพลของพระองค์ต่อฝูงชนที่ได้เห็นการอัศจรรย์ พระเยซูแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงสมควรแก่การนมัสการ เมื่อพวกเขาเห็นการอัศจรรย์ของพระองค์ ผู้คนถวายเกียรติแด่พระเจ้าซึ่ งเป็นกิจแห่งการนมัสการ ผู้คนที่เห็นการรักษาโรคของพระองค์ต่างประหลาดใจ (มาระโก 1:23-27)
ในคืนสุดท้ายที่พระเยซูอยู่กับพวกสาวก พระองค์รับประทานปัสกา ในขณะที่อาหารมื้อนี้ทำตามแบบแผนประเพณีปัสกาของชาวยิว พระเยซูให้ความหมายใหม่เมื่อพระองค์บอกกับพวกสาวกว่าขนมปังนี้ “เป็นกายของเราซึ่งให้ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย” และถ้วยนี้ “เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา” (ลูกา 22:19-20)
► อ่าน ลูกา 22:13-20
พระองค์สั่งพวกขาให้ทำสิ่งนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงพระองค์ อาหารมื้อสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้าจดจ่อที่พระคริสต์ ผู้เป็นปัสกาที่สมบูรณ์แบบ
[1] ยอห์น 2:13-16 เล่าถึงการชำระครั้งแรก ในมัทธิว 21:12-27 ในมาระโก 11:15-17 และในลูกา 19:45-46 รายงานถึงการชำระครั้งที่สองช่วงสัปดาห์สุดท้ายของพันธกิจของพระองค์บนโลกนี้.
[2] พระเยซูไม่เหมือนกับพวกคนที่ถูกกล่าวถึงใน โรม 1:25
[3] มัทธิว 12:1-14 ลูกา 13:10-17 และยอห์น 5:8-18 จากตอนอื่น ๆ
Previous
Next