แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 4: การนมัสการในพันธสัญญาใหม่

1 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) เข้าใจวิธีที่พระเยซูทำให้การนมัสการสมบูรณ์

(2) จากพระกิตติคุณ กิจการและวิวรณ์ ตระหนักถึงรูปแบบการนมัสการเทียมเท็จ

(3) อุทิศตัวต่อทั้งการนมัสการและการประกาศข่าวประเสริฐ

(4) จากจดหมายฝาก รู้ถึงองค์ประกอบพื้นฐานของการนมัสการในคริสตจักรยุคแรก

(5) มีประสบการณ์ในการนมัสการที่จดจ่อกับพระเจ้า

การเตรียมตัวสำหรับบทเรียนนี้

ท่องจำ โรม 12:1-2

บทนำ

[1]ศิษยาภิบาลเจมส์ เอโนค กิเดโอน และเจสัน มาพบปะกันอีกครั้งเพื่อพูดคุยถึงสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการนมัสการในพันธสัญญาเดิม

เจมส์ผู้ให้คุณค่าการนมัสการตามแบบประเพณีพูดว่า “ผมคิดว่าพันธสัญญาเดิมพิสูจน์ให้เห็นว่าคริสตจักรของผมนมัสการอย่างถูกต้องแล้ว การนมัสการในพระวิหารเป็นทางการและมีระเบียบแบบแผน นั่นคือสิ่งที่เราพยายามทำอยู่”

เอโนคหัวเราะและพูดว่า “ก็จริงอยู่ แต่คุณไม่ได้อ่านที่ผู้เพยพระวจนะบอกหรือ? การนมัสการที่เป็นทางการในพระวิหารไม่ได้มีความหมายอะไรเลย! การนมัสการที่พระเจ้าพอใจคือการนมัสการจากหัวใจ นั่นคือสิ่งที่เราทำกันในการนมัสการแบบร่วมสมัย เรากำลังแตะหัวใจชนรุ่นใหม่”

กิเดโอนพูดด้วยความหงุดหงิดว่า “เราไม่ได้ไปไกลกว่าตอนที่เราเริ่มต้นศึกษาเรื่องนมัสการเลย ทำไมพระเจ้าถึงไม่แค่พูดว่า ‘นี่คือวิธีที่เจ้าต้องนมัสการเราล่ะ?”

เจสันพูดขึ้นมาว่า “อย่าท้อแท้ เราเป็นคริสเตียนพันธสัญญาใหม่ ในพันธสัญญาใหม่อาจให้คำตอบแก่พวกเรา ให้เราศึกษาการนมัสการในพันธสัญญาใหม่และดูว่าพันธสัญญาใหม่พูดเรื่องนี้อย่างไร”

► การนมัสการในพันธสัญญาใหม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? การนมัสการในคริสตจักรยุคแรกแตกต่างจากการนมัสการในพลับพลาและพระวิหารอย่างไร? สรุปสิ่งที่คุณรู้แล้วเกี่ยวกับการนมัสการในพันธสัญญาใหม่


[1]

“การนมัสการเป็นกิจกรรมสูงสุดและขาดไม่ได้ในคริสตจักรของคริสเตียน การนมัสการเป็นสิ่งเดียวที่จะคงอยู่...ไปจนถึงสวรรค์ เมื่อนั้นทุกกิจกรรมอื่น ๆ ของคริสตจักรจะจบสิ้นไป”

- ดับบลิว นิโคลส์ (W. Nicholls)

พระกิตติคุณ: การนมัสการสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์

คำว่า นมัสการ ที่ปรากฏในพันธสัญญาใหม่ ครึ่งหนึ่งอยู่ในพระกิตติคุณ พระกิตติคุณแสดงให้เห็นว่าพระเยซูคือความสมบูรณ์สูงสุดของการนมัสการ พระองค์ทำให้การนมัสการสมบูรณ์ในสองทางคือ...

1. ด้วยความถ่อมใจของพระเยซู พระองค์เป็นต้นแบบของการนมัสการ

2. ด้วยความเป็นพระเจ้าของพระเยซู พระองค์ได้รับการนมัสการ

ด้วยความถ่อมใจของพระเยซู พระองค์เป็นต้นแบบสูงสุดของการนมัสการ

พระเยซูเป็นต้นแบบของการนมัสการที่แท้จริง พระเยซูบอกกับหญิงชาวสะมาเรียว่าพระเจ้ากำลังแสวงหาคนที่นมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยอห์น 4:24) ในการนมัสการของพระองค์เอง (การอ่านพระคัมภีร์ การอธิษฐาน การเข้าร่วมในธรรมศาลาและในพระวิหาร) พระเยซูแสดงให้เห็นว่าการนมัสการที่แท้จริงที่เป็นการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงนั้นมีลักษณะอย่างไร

พระเยซูรักสถานนมัสการ

ลูกาแสดงให้เห็นถึงความรักของพระเยซูที่มีต่อสถานนมัสการ แม้ว่ายังเป็นเด็ก พระเยซูตระหนักว่าพระวิหารคือบ้านของพระบิดา (ลูกา 2:41-49) พระองค์มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะให้การนมัสการในพระวิหารบริสุทธิ์สะอาด พระองค์ขับไล่พวกคนที่ข่มเหงพระวิหารถึงสองครั้ง[1]

ในช่วงต้นของการทำพันธกิจกับสาธารณชน พระเยซูไปที่ธรรมศาลาในเมืองนาซาเรธตอนวันสะบาโตตามที่พระองค์ทำเป็นประจำ (ลูกา 4:16) ตลอดช่วงการทำพันธกิจบนโลกนี้ พระเยซูไปที่ธรรมศาลาบ่อยครั้ง

พระเยซูปฏิเสธการนมัสการคนใดหรือสิ่งใด แต่นมัสการพระเจ้าเท่านั้น

ในถิ่นทุรกันดาร พระเยซูปฏิเสธการลองใจให้นมัสการเทียมเท็จ

► อ่าน มัทธิว 4:9-10

การลองใจให้นมัสการสิ่งที่ถูกสร้างแทนที่จะนมัสการพระผู้สร้างเป็นหัวข้อที่มีตลอดทั้งพระคัมภีร์ นี่คือรากของการกราบไหว้รูปเคารพในพันธสัญญาเดิม วิวรณ์แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการนมัสการพญานาคและสัตว์ร้าย กับการนมัสการพระเจ้าและลูกแกะของพระเจ้า พระเยซูปฏิเสธที่จะนมัสการสิ่งที่ถูกสร้าง[2]

พระเยซูอธิษฐานจนเป็นลักษณะนิสัย

การอธิษฐานมีความสำคัญต่อพันธกิจของพระเยซูตลอดทุกเวลา พระกิตติคุณนำเสนอว่าพระเยซูได้อธิษฐานสิบห้าครั้ง ในบางโอกาสเหล่านี้ พระองค์ใช้เวลาตลอดคืนตามลำพังกับพระบิดา ก่อนเลือกอัครทูตสิบสองคน พระองค์ใช้เวลาอธิษฐานในยามค่ำคืน (ลูกา 6:12) ในช่วงเวลาสุดท้ายกับพวกสาวกของพระองค์ พระเยซูอธิษฐานเผื่อสาวกและสำหรับทุกคนที่จะมาเชื่อพระองค์ในภายหลัง (ยอห์น 17) ในการต้องเผชิญหน้ากับไม้กางเขน พระองค์ไปที่สวนเกทเสมนี (มัทธิว 26:36-42) การอธิษฐานมีความสำคัญต่อการนมัสการของพระเยซู

พระเยซูอธิบายถึงการนมัสการที่แท้จริง

นอกจากการเป็นต้นแบบของการนมัสการผ่านทางการกระทำแล้ว พระเยซูยังสอนเกี่ยวกับการนมัสการอย่างต่อเนื่อง พระองค์สอนหญิงชาวสะมาเรียเรื่องการนมัสการที่แท้จริง พระเยซูสอนรูปแบบการอธิษฐานให้กับพวกสาวกและสอนเรื่องการอธิษฐานโดยใช้อุปมาต่าง ๆ (ลูกา 11:5-8 ลูกา 18:1-14)

► อ่าน ลูกา 11:1-4

รูปแบบการอธิษฐานของพระเยซูแสดงให้เห็นว่าการอธิษฐานต้องมาจากใจแห่งการนมัสการ คำอธิษฐานเริ่มต้นด้วย “ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ” การสักการะคือการให้เกียรติในความบริสุทธิ์ ในคำอธิษฐานเรายอมรับว่าพระเจ้าบริสุทธิ์

พระเยซูประณามการนมัสการเทียมเท็จ

ถ้าการนมัสการที่แท้จริงคือการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง การนมัสการเทียมเท็จคืออะไรก็ตามที่ไม่ตรงกับสิ่งนี้ พระเยซูปฏิเสธ...

(1) การนมัสการด้วยความหน้าซื่อใจคด

ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูเตือนว่า เป็นไปได้ที่จะทำสิ่งถูกต้องด้วยเหตุผลที่ผิด การให้แก่คนยากจน การอธิษฐาน และการอดอาหาร ล้วนเป็นลักษณะของการนมัสการ พระเยซูต่อว่าพวกคนที่ทำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้คนอื่นประทับใจว่าเป็นพวกหน้าซื่อใจคด (มัทธิว 6:1-18) ผู้นมัสการที่แท้จริงปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จากความปรารถนาที่จะถวายการนมัสการแด่พระเจ้า

ในมัทธิว 23 พระเยซูตำหนิพวกผู้นำศาสนาที่สอนสิ่งถูกต้องเกี่ยวกับการนมัสการ แต่ในใจกลับห่างไกลพระเจ้า พระเยซูกล่าวว่าคำสอนของพวกเขาถูกต้อง แต่ใจของพวกเขาผิด พวกเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด

(2) การนมัสการโดยยึดถือเป็นกฎ

อันตรายอย่างหนึ่งคือการนมัสการด้วยความหน้าซื่อใจคด การนมัสการที่ตั้งใจทำให้คนที่ดูประทับใจมากกว่าทำให้พระเจ้าพอใจ อันตรายอีกอย่างคือการยึดถือเป็นกฎ คือการนมัสการที่ตั้งเป้าเพื่อได้รับความโปรดปรานของพระเจ้าผ่านการทำตามข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด เมื่อเราพยายามที่จะได้รับความโปรดปรานของพระเจ้าผ่านกิจแห่งการนมัสการ เราก็สูญเสียความเป็นจริงของการนมัสการที่แท้จริง การนมัสการกลายเป็นการงานที่เราทำเพื่อจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าแทนที่จะเป็นการตอบสนองด้วยความยินดีต่อความดีของพระเจ้า

พระเยซูทำให้พวกผู้นำศาสนาไม่พอใจเมื่อพระองค์ฝ่าฝืนประเพณีของพวกเขา[3] พระเยซูไม่ได้ละเมิดกฎบัญญัติหรือแม้แต่จิตวิญญาณของกฎบัญญัติ แต่พระองค์ขัดขืนต่อประเพณีของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีตามกฎเกณฑ์ของพวกฟาริสี สำหรับพวกฟาริสี ประเพณีเหล่านี้มีความสำคัญเทียบเท่ากฎบัญญัติ พวกเขาเชื่อว่าการยึดถือกฎบัญญัติทำให้ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า สิ่งนี้ให้คำนิยามแก่การยึดถือกฎ คือความพยายามที่จะได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าโดยการทำตามข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด พระเยซูปฏิเสธการยึดถือกฎเท่ากับที่ปฏิเสธความหน้าซื่อใจคด

ในความเป็นพระเจ้าของพระเยซู พระองค์ได้รับการนมัสการ

หลังจากการตายและฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซู พระองค์นั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดาและได้รับการนมัสการอย่างสมเกียรติ (วิวรณ์ 5:12-14) เปาโลเขียนถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ในฟิลิปปีบทที่ 2 เนื่องจากการยอมถ่อมพระองค์ บัดนี้พระองค์ได้รับการยกย่องนมัสการ

เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด และประทานพระนามเหนือนามทั้งหมดแก่พระองค์ 10 เพื่อที่ว่าเพราะพระนามของพระเยซูนั้น ทุกชีวิต1 ในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก และใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงกราบพระองค์ 11 และเพื่อที่ว่าทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา (ฟิลิปปี 2:9-11)

ในมัทธิว 18:20 พระเยซูพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์สมควรแก่การนมัสการ ในประเพณีของคนยิว จะต้องมีสมาชิกผู้ชาย 10 คนก่อนที่จะมีการพบปะกันเพื่อนมัสการในธรรมศาลา พระเยซูพูดเรื่องนี้กับพวกสาวกของพระองค์ว่า “เพราะว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขาที่นั่น” ในคริสตจักร สิ่งที่เป็นตัวกำหนดการนมัสการไม่ใช่จำนวนคน แต่คือการสถิตอยู่ด้วยของพระเยซู

โดยทางอิทธิพลของพระองค์ต่อฝูงชนที่ได้เห็นการอัศจรรย์ พระเยซูแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงสมควรแก่การนมัสการ เมื่อพวกเขาเห็นการอัศจรรย์ของพระองค์ ผู้คนถวายเกียรติแด่พระเจ้าซึ่งเป็นกิจแห่งการนมัสการ ผู้คนที่เห็นการรักษาโรคของพระองค์ต่างประหลาดใจ (มาระโก 1:23-27)

ในคืนสุดท้ายที่พระเยซูอยู่กับพวกสาวก พระองค์รับประทานปัสกา ในขณะที่อาหารมื้อนี้ทำตามแบบแผนประเพณีปัสกาของชาวยิว พระเยซูให้ความหมายใหม่เมื่อพระองค์บอกกับพวกสาวกว่าขนมปังนี้ “เป็นกายของเราซึ่งให้ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย” และถ้วยนี้ “เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา” (ลูกา 22:19-20)

► อ่าน ลูกา 22:13-20

พระองค์สั่งพวกขาให้ทำสิ่งนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงพระองค์ อาหารมื้อสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้าจดจ่อที่พระคริสต์ ผู้เป็นปัสกาที่สมบูรณ์แบบ


[1]ยอห์น 2:13-16 เล่าถึงการชำระครั้งแรก ในมัทธิว 21:12-27 ในมาระโก 11:15-17 และในลูกา 19:45-46 รายงานถึงการชำระครั้งที่สองช่วงสัปดาห์สุดท้ายของพันธกิจของพระองค์บนโลกนี้.
[2]พระเยซูไม่เหมือนกับพวกคนที่ถูกกล่าวถึงใน โรม 1:25
[3]มัทธิว 12:1-14 ลูกา 13:10-17 และยอห์น 5:8-18 จากตอนอื่น ๆ

การนมัสการตามหลักพระคัมภีร์ในปัจจุบัน

การที่พระเยซูประณามการนมัสการเทียมเท็จกับการเป็นแบบอย่างการนมัสการที่แท้จริงของพระองค์แสดงให้เห็นว่าการนมัสการของเราต้องมีความจริงใจ ไม่ใช่พยายามทำให้คนอื่นประทับใจ การนมัสการที่แท้จริงต้องมีเป้าหมายเพื่อทำให้พระบิดาพอใจ ไม่ใช่ทำให้คนอื่นพอใจ

นี่เป็นการทดลองอย่างต่อเนื่องสำหรับผู้นำคริสตจักร เพราะการเทศนาและการนำนมัสการนั้นเกิดขึ้นในเวทีเบื้องหน้า เราจึงถูกทดลองให้ทำเป็นการแสดงแทนที่จะเป็นการนมัสการได้ เมื่อเราจดจ่อกับการเอาใจผู้ชมมากกว่าถวายเกียรติพระเจ้า เราก็กำลังแสดงแทนที่จะนมัสการ

อะไรคือการทดลองที่ทำให้ผู้นำเข้าสู่การนมัสการเทียมเท็จ?

  • เลือกเนื้อหาคำเทศนาที่เรารู้ว่าผู้ฟังนิยมชมชอบ

  • คำอธิษฐานที่พูดคุยกับผู้ฟังมากกว่าพูดกับพระเจ้า

  • การถวายที่พุ่งความสนใจไปที่ผู้ให้

  • ดนตรีที่นำเกียรติเข้าหาตัวผู้เล่นผู้ร้องแทนที่จะถวายเกียรติพระเจ้า

คำสอนและแบบอย่างของพระเยซูเตือนเราให้ระลึกว่าการนมัสการที่แท้จริงเป็นของพระเจ้าผู้เดียว การนมัสการเกี่ยวกับพระองค์ ไม่ใช่เกี่ยวกับเรา

ตรวจสอบ

ถามตัวเองว่า “ในการนำนมัสการของฉัน ใครที่ได้รับเกียรติ? ฉันเทศนา ร้องเพลง อธิษฐาน และมอบถวายเพื่อให้พระเจ้าได้รับเกียรติ หรือเพื่อฉันจะได้รับการยอมรับ? ฉันกำลังนมัสการอย่างแท้จริงหรือไม่?”

พระธรรมกิจการ: การนมัสการและการประกาศข่าวประเสริฐ

การนมัสการสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการประกาศข่าวประเสริฐ คนที่ไม่เชื่อกลายมาเป็นผู้นมัสการเมื่อพวกเขาได้ยินและตอบสนองต่อพระกิตติคุณ ในพระธรรมกิจการแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงกันระหว่างการนมัสการกับการประกาศข่าวประเสริฐ

อิสยาห์ 6:8 แสดงให้เห็นว่าการนมัสการเป็นผลที่ตามมาจากการประกาศข่าวประเสริฐ การตอบสนองของอิสยาห์ต่อการนมัสการคือ “ข้าพระองค์อยู่นี่ ขอทรงใช้ข้าพระองค์เถิด” เมื่อเรานมัสการอย่างแท้จริง เราจะได้รับภาระใจเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ ในการนมัสการเราเห็นพระเจ้าและเราเห็นความจำเป็นที่มีในโลกของเราผ่านทางสายตาของพระเจ้า การนมัสการสร้างนักประกาศ

การนมัสการดลใจคริสตจักรให้ประกาศข่าวประเสริฐ เมื่อคริสตจักรนำคนที่ไม่เชื่อมาถึงพระคริสต์ ผู้เชื่อใหม่ก็กลายเป็นผู้นมัสการ ผู้นมัสการคนใหม่ก็ได้รับการดลใจให้ประกาศข่าวประเสริฐ

กิจการแสดงให้เห็นถึงกระบวนการนี้ในเชิงปฏิบัติ หลังจากเปาโลเทศนาในเอเฟซัส ผู้คนหันออกจากเทพไดอานาและจากการนมัสการพระต่าง ๆ ที่สร้างด้วยมือมนุษย์ เพื่อมานมัสการพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ (กิจการ 19:26-27) เมื่อเราเทศนาพระคริสต์ ผู้เชื่อใหม่ได้รับการดึงดูดเข้าสู่อาณาจักร พวกเขากลายเป็นผู้นมัสการ การประกาศข่าวประเสริฐสร้างผู้นมัสการ

การนมัสการที่แท้จริงจูงใจให้ประกาศข่าวประเสริฐ

กิจการเริ่มต้นด้วยการนมัสการของพวกสาวก พวกเขาอุทิศตัวในการอธิษฐานด้วยใจเดียวกัน (กิจการ 1:14) กิจการจบลงด้วยการที่เปาโลประกาศข่าวประเสริฐในกรุงโรม เขา “ ทั้งประกาศแผ่นดินของพระเจ้าและสั่งสอนเรื่องพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งโดยปราศจากการขัดขวาง” (กิจการ 28:31)

การนมัสการของคริสเตียนในยุคแรกนำไปสู่การประกาศข่าวประเสริฐ การทรงเรียกของเปาโลและบารนาบัสเกิดขึ้นจากการนมัสการ

ระหว่างที่เขาทั้งหลายกำลังนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและถืออดอาหารอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสสั่งว่า “จงตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้สำหรับงานที่เราเรียกให้พวกเขาทำนั้น” หลังจากถืออดอาหารและอธิษฐานแล้ว เขาทั้งหลายวางมือบนตัวบารนาบัสกับเซาโล แล้วส่งท่านทั้งสองไป (กิจการ 13:2-3)

การนมัสการที่แท้จริงดลใจให้ประกาศข่าวประเสริฐ

การประกาศข่าวประเสริฐที่เกิดผลสร้างผู้นมัสการ

ตลอดพระธรรมกิจการ พวกสาวกพัวพันอยู่กับการนมัสการ ในวันเพ็นเทคอส มีสามพันคนได้รับความรอด ผู้เชื่อใหม่เหล่านี้กลายเป็นผู้นมัสการ พวกเขาอุทิศตัวต่อคำสอนของอัครทูตและการสามัคคีธรรม เพื่อหักขนมปังและอธิษฐาน (กิจการ 2:42)

► อ่าน กิจการ 2:42-46 เพื่อเห็นภาพการนมัสการในคริสตจักรยุคแรก

พวกคริสเตียนชาวยิวนมัสการอย่างต่อเนื่องในพระวิหาร[1] นอกจากนั้น พวกคริสเตียนชาวยิวและคนต่างชาติที่กลับใจมาเชื่อก็พบกันที่ธรรมศาลาเพื่อนมัสการ ในเมืองส่วนใหญ่ เปาโลเริ่มต้นพันธกิจในธรรมศาลาเพื่อแสดงให้เห็นถึงพระเยซูในฐานะผู้ที่ทำให้พระสัญญาต่าง ๆ ในพันธสัญญาเดิมสำเร็จ[2] การนมัสการเกิดขึ้นในบ้านด้วย ผู้เชื่อทั้งหลายเวียนไปตามบ้านเพื่อสามัคคีธรรมและนมัสการ (กิจการ 2:46) จดหมายของเปาโลมีคำทักทายคริสตจักรที่ประชุมกันในบ้าน[3] การเข้าถึงชุมชนเพื่อประกาศข่าวประเสริฐของคริสตจักรยุคแรกสร้างพระกายของผู้นมัสการขึ้นใหม่

การประกาศข่าวประเสริฐที่มาร์สฮิลล์ (Mars Hill)

คำสอนของเปาโลที่มาร์สฮิลล์เป็นเนื้อหาเบื้องต้นที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการประกาศข่าวประเสริฐกับการนมัสการ (กิจการ 17:16-34) ที่กรุงเอเธนส์ เปาโลเผชิญหน้ากับวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยการกราบไหว้รูปเคารพ เปาโลแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างการนมัสการเทียมเท็จของรูปเคารพต่าง ๆ กับการนมัสการที่แท้จริงของพระเยโฮวาห์

ชาวเอเธนส์เป็นคนที่เคร่งศาสนา (กิจการ 17:22)

ชาวเมืองเอเธนส์เป็นผู้นมัสการ แต่พวกเขาไม่ได้นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ การนมัสการของพวกเขาเทียมเท็จ การนมัสการเท่านั้นยังไม่พอ การนมัสการต้องจดจ่อกับผู้รับการนมัสการที่ถูกต้องด้วย

ชาวเอเธนส์นมัสการพระเจ้าที่ไม่รู้จัก (กิจการ 17:23)

พวกเขาไม่รู้จักผู้ที่เขานมัสการ เปาโลกล่าวคำประกาศถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นผู้ที่พวกเขากำลังเสาะหา เปาโลบอกพวกเขาว่าพระเจ้าได้สร้างทุกชนชาติให้มีวิธีการของตนเองเพื่อจะเข้าหาพระองค์และค้นพบพระองค์ นี่คือวลีที่บ่งบอกถึงใครบางคนที่กำลังคลำหาในความมืด ความหิวกระหายของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้าเปิดโอกาสให้ข่าวประเสริฐ

ชาวเอเธนส์นมัสการพระเจ้าที่มีความจำกัด

พระเยโฮวาห์ไม่ได้รับการนมัสการด้วยมือของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ขัดสนหรือขาดอะไร พระองค์คือผู้ที่ให้ชีวิต ลมหายใจ และทุกสิ่งแก่มนุษย์ทุกคน (กิจการ 17:25) การนมัสการของชาวเอเธนส์เทียมเท็จเพราะพระของพวกเขามีความจำกัด พระเจ้าเที่ยงแท้ให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง พระองค์จึงไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใด เรานมัสการพระเจ้าเพราะพระองค์สมควรแก่การนมัสการ ไม่ใช่เพราะพระองค์จำเป็นต้องได้รับการนมัสการจากเรา

เปาโลเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างรูปเคารพกับพระเจ้าเที่ยงแท้

1. พระเจ้าเป็นพระผู้สร้าง พระองค์สร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น...พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก (กิจการ 17:24) ไม่เหมือนรูปเคารพทั้งหลายที่ถูกสร้างด้วยมือของมนุษย์ พระเจ้าสร้างมนุษย์ พระองค์ไม่ใช่พระของคนต่างชาติ; (กิจการ 17:18) พระองค์เป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกนี้

2. พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ พระองค์ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากเราแต่ละคนเลย (กิจการ 17:27) ถึงแม้ว่าพระเจ้าอยู่เหนือธรรมชาติ พระองค์ก็เข้ามาในโลกของเราและทรงอยู่ใกล้ผู้นมัสการ

3. พระเจ้าจะพิพากษาคนที่ปฏิเสธที่จะกลับใจใหม่ (กิจการ 17:30-31) การนมัสการด้วยความจริงตระหนักว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรมซึ่งจะไม่อดทนต่อการกบฎ ในการนมัสการของเรา เรายอมจำนนต่ออำนาจการปกครองของพระองค์

4. พระเจ้ายกชูพระเยซูขึ้นจากความตาย แสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงสมควรแก่การนมัสการ (กิจการ 17:31) พระเยซูยอมถ่อมพระองค์ลงจนถึงความมรณา ตอนนี้พระบิดาได้ยกชูพระองค์ขึ้นอย่างสูง “เพื่อที่ว่าเพราะพระนามของพระเยซูนั้น ทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก และใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงกราบพระองค์ และเพื่อที่ว่าทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา” (ฟิลิปปี 2:10-11)

คำสอนของเปาโลที่กรุงเอเธนส์เป็นการประจันหน้ากับการนมัสการเทียมเท็จของรูปเคารพต่างๆ ด้วยข่าวประเสริฐแห่งการนมัสการแท้จริงของพระเยโฮวาห์ การประกาศที่เกิดผลสร้างผู้นมัสการ


[1]กิจการ 2:46, กิจการ 3:1, 11-26; กิจการ 4:2, กิจการ 5:12, 42
[2]กิจการ 13:14-15, กิจการ 14:1, กิจการ 17:1, 10; กิจการ 18:4, 19; กิจการ 19:8
[3]โรม 16:5, 1 โครินธ์ 16:19, โคโลสี 4:15, ฟีเลโมน 1:2

การนมัสการที่อันตราย: การนมัสการโดยไม่มีการประกาศข่าวประเสริฐ

คริสตจักรมากมายแยกการนมัสการออกจากมิชชันและการประกาศข่าวประเสริญ บางคริสตจักรพูดว่า “เราอุทิศตัวต่อการประกาศข่าวประเสริฐ ภาระใจของเราคือการเข้าถึงผู้หลงหาย” คริสตจักรเหล่านี้ให้ความใส่ใจเล็กน้อยต่อการนมัสการ พวกเขามองว่าตนเองเป็นคริสตจักรแห่งการประกาศ บางคริสตจักรพูดว่า “เราเชื่อในวัตถุประสงค์หลักของคริสตจักรคือการนมัสการ ส่วนคนอื่นก็ทำการประกาศข่าวประเสริฐ เป้าหมายของเราคือการนมัสการ”

กิจการแสดงให้เห็นว่าคริสตจักรต้องอุทิศตัวต่อการนมัสการและการประกาศข่าวประเสริฐ การนมัสการที่แท้จริงให้ภาระใจแก่เราเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ การประกาศข่าวประเสริฐที่เกิดผลสร้างผู้นมัสการคนใหม่

เราต้องไม่แยกการนมัสการออกจากการประกาศข่าวประเสริฐ การนมัสการที่ไม่สร้างแรงบันดาลใจให้มีการประกาศข่าวประเสริฐ ก็เป็นการนมัสการที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งทำขึ้นเพื่อแรงบันดาลใจของตัวเองเป็นหลัก การประกาศที่ไม่นำไปสู่การนมัสการจะสร้างคริสเตียนตื้นเขินที่มองไม่เห็นพระเจ้าอย่างแท้จริง

การนมัสการในพระคัมภีร์ เราได้รับภาระใจใหม่เพื่อประกาศข่าวประเสริฐ เหมือนกับอิสยาห์ มุมมองของเราต่อพระเจ้าจะมาพร้อมกับมุมมองต่อโลกที่ขัดสนเสมอ อย่างเช่นอิสยาห์ การอุทิศตัวนมัสการของเราต่อพระเจ้าจะนำให้เราพูดว่า “ข้าพระองค์อยู่นี่ ขอทรงใช้ข้าพระองค์เถิด”

ตรวจสอบ

ถามตัวเองว่า “การนมัสการกระตุ้นให้ฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐกับคนที่ไม่เชื่อไหม? ฉันมีภาระใจในการนำผู้นมัสการคนใหม่มาหาพระเจ้าหรือไม่?”

จดหมายฝากต่าง ๆ: การนมัสการในคริสตจักรยุคแรก

ในพันธสัญญาใหม่มีคำแนะนำเจาะจงในการนมัสการสำหรับคนยิวซึ่งแตกต่างจากพันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่ให้คำแนะนำบางอย่างสำหรับการนมัสการในคริสตจักร[1] ไม่มีคำแนะนำที่อธิบายไว้อย่างครบถ้วนเกี่ยวกับการประชุมนมัสการในพันธสัญญาใหม่ แต่ในจดหมายฝากต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบบางอย่างที่มีในการนมัสการของคริสเตียนยุคแรก

การอ่านพระคัมภีร์

การอ่านพระคัมภีร์เป็นสิ่งสำคัญในการนมัสการของคริสเตียนยุคแรก ในโคโลสี 4:16 และ 1 เธสะโลนิกา 5:27 กำชับให้คริสตจักรอ่านจดหมายของเปาโลต่อที่ประชุม ใน 1 ทิโมธี 4:13 เปาโลเตือนให้ทิโมธีใส่ใจต่อการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม

ความสำคัญของการอ่านพระคัมภีร์ได้รับการแนะนำไว้ในโคโลสี 3:16 “จงให้พระวจนะของพระคริสต์อยู่ในพวกท่านอย่างบริบูรณ์...ด้วยปัญญาทั้งสิ้น” ผู้เขียนสดุดีอธิบายถึงบุคคลที่เป็นสุขว่า เขาเป็นคนที่ปิติยินดีในธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์และใคร่ครวญธรรมบัญญัตินั้น (สดุดี 1:2) การนมัสการในที่ประชุมย่อมแสดงให้เห็นคุณค่าที่เรามอบให้กับพระคัมภีร์

การเทศนาพระวจนะ

พร้อมกับการอ่านพระคัมภีร์ ผู้นำมีหน้าที่เทศนาพระวจนะ (2 ทิโมธี 4:1-4, ทิตัส 2:15) ในยุคสมัยของเอสรา พวกธรรมาจารย์จะอธิบายความหมายของพระคัมภีร์ให้กับประชาชน เอสราและเพื่อนร่วมงานของเขาอ่านจากพระธรรม จากหมวดกฎบัญญัติของพระเจ้า ให้ความชัดเจน และอธิบายความหมาย ดังนั้นประชาชนจึงเข้าใจพระวจนะที่ถูกอ่านนั้น (เนหะมีย์ 8:8) ธรรมศาลาของคนยิวในยุคพันธสัญญาใหม่ยังคงปฏิบัติเช่นนี้ (กิจการ 13:14-15) การอธิบายความหมายของพระคัมภีร์เป็นรากฐานของการเทศนาของคริสเตียนยุคแรก

คำเทศนาในพระธรรมกิจการบอกถึงเนื้อหาคำเทศนาของคริสเตียนยุคแรก[2] ใจความสำคัญหลักในคำเทศนาเหล่านี้ประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้

  • พระเยซูทำให้คำเผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมสำเร็จ

  • พระเยซูทำกิจอันยิ่งใหญ่ผ่านทางฤทธิ์เดชของพระเจ้า

  • พระเยซูถูกตรึงและจากนั้นก็ฟื้นขึ้นจากความตาย

  • พระเยซูได้รับการยกย่องและเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในเวลานี้

  • ทุกคนที่ได้ยินควรกลับใจใหม่และรับบัพติศมา

การอธิษฐานในที่ประชุม

การอธิษฐานในที่ประชุมเป็นสิ่งสำคัญในการนมัสการของคริสเตียนยุคแรก (1 ทิโมธี 2:1-3) นักวิชาการจำนวนมากเชื่อว่าการอธิษฐานที่อยู่ในจดหมายของเปาโลถูกนำมาใช้ในที่ประชุมนมัสการ การตอบรับของที่ประชุมว่า “อาเมน” เป็นการบ่งชี้ถึงการเห็นด้วยกันในคำอธิษฐานนั้น[3]

การร้องเพลง

การร้องเพลงมีความสำคัญในพระวิหารและยังคงมีบทบาทสำคัญในการนมัสการของคริสเตียนยุคแรก ควบคู่ไปกับสดุดีที่คริสเตียนนำมาจากการนมัสการของคนยิว ก็มีบทเพลงสรรเสริญบทใหม่ที่ระบุว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์ เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในเอเฟซัส 5:19 และในโคโลสี 3:16 นักวิชาการพระคัมภีร์หลายคนเชื่อว่า ฟิลิปปี 2:5-11 เป็นบทเพลงสรรเสริญของคริสเตียนยุคแรก นอกจากนี้บทเพลงของมารีย์ในลูกา 1:46-55 และคำอธิษฐานของสิเมโอนในลูกา 2:29-32 อาจเคยถูกใช้ในการร้องเพลงในที่ประชุมนมัสการ

การถวาย

ในบางครั้ง การถวายเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการในที่ประชุม ใน 1 โครินธ์ 16:2 และ 2 โครินธ์ 9:6-13 แนะนำให้คริสตจักรที่เมืองโครินธ์รวบรวมของถวายสำหรับคริสเตียนที่ทนทุกข์ในเยรูซาเล็ม

การบัพติศมาและอาหารมื้อสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า

การถือปฏิบัติในการบัพติศมาและอาหารมื้อสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ เปาโลเขียนเพื่อแก้ไขการปฏิบัติที่ผิดเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองอาหารมื้อสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้าของชาวโครินธ์ แทนที่จะระลึกถึงการเป็นเครื่องบูชาของพระคริสต์ พวกเขากลับทำให้เป็นงานเลี้ยงฉลอง เปาโลเตือนให้เห็นถึงความจริงจังของอาหารมื้อสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า พิธีมหาสนิทเป็นศีลรำลึกที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดสำหรับคริสเตียน ดังนั้นต้องไม่ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์นี้ลดน้อยลงไป[4]

นอกเหนือจากการระบุถึงองค์ประกอบของการประชุมนมัสการเหล่านี้ เรารู้เกี่ยวกับการนมัสการของคริสเตียนยุคแรกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในจดหมายฝากต่าง ๆ ก็ไม่ได้กำหนดระเบียบการนมัสการ การจัดรูปแบบการนมัสการ หรือรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับการนมัสการในที่ประชุมของคริสตจักรยุคแรก เนื่องจากความหลากหลายของเบื้องหลังทางศาสนาและวัฒนธรรมในคริสตจักรยุคแรก จึงดูเหมือนว่าการนมัสการในที่ประชุมจะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ คริสเตียนชาวยิวอาจยังคงนมัสการเหมือนกับการนมัสการในธรรมศาลา คริสเตียนต่างชาติก็จะไม่คุ้นเคยกับการปฏิบัติของคนยิว และพวกเขาอาจมีการนมัสการในรูปแบบที่แตกต่างออกไป อย่างไรก็ตามมีความชัดเจนว่า คริสตจักรยุคแรกเน้นอย่างมากเรื่องพระคัมภีร์และการเทศนากับการสอนพระวจนะของพระเจ้า


[1]เนื้อหาส่วนใหญ่ดัดแปลงมาจาก Franklin M. Segler และ Randall Bradely, Christian Worship: Its Theology and Practice (Nashville: B&H Publishing, 2006), บทที่ 2
[2]คำเทศนาสำคัญในกิจการอยู่ใน กิจการ 2, 7, 10, 17
[3]1 โครินธ์ 14:16 เป็นไปตามแนวปฏิบัตินี้
[4]มัทธิว 28:18-20, กิจการ 2:38-41, 1 โครินธ์ 11:20-34

การนมัสการตามหลักพระคัมภีร์ในปัจจุบัน

ในหลายคริสตจักร การอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุมกลับมีน้อยมาก เป็นเรื่องปกติหากเห็นคริสตจักรอีแวนเจลิคอลที่มีการอ่านพระคัมภีร์เพียงไม่กี่ข้อในช่วงประชุมนมัสการ พระคัมภีร์ควรมีความสำคัญต่อการนมัสการของเรา โดยผ่านทางบทเพลงที่แต่งจากพระคัมภีร์ การอ่านพระคัมภีร์ หรือการเปิดเผยพระคัมภีร์ในคำเทศนา เราควรเป็นที่รู้จักในฐานะ “คนแห่งพระธรรม” พระคัมภีร์ต้องเป็นศูนย์กลางของการนมัสการของเราเสมอ

ตรวจสอบ

ถามตัวเองว่า “การนมัสการของฉันมีองค์ประกอบแต่ละอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการในคริสตจักรยุคแรกไหม?”

วิวรณ์: การนมัสการดั่งการเทิดทูนบูชา

การนมัสการเป็นใจความสำคัญของเนื้อหาในพระธรรมวิวรณ์

  • ยอห์นได้รับการดลใจจากพระวิญญาณในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเขาได้ยินเสียงของพระองค์ผู้เป็นอัลฟาและโอเมกา (วิวรณ์ 1:10)

  • หนึ่งในใจความสำคัญของวิวรณ์คือการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างคนที่นมัสการพระเยโฮวาห์ผู้ประทับบนบัลลังก์กับคนที่นมัสการสัตว์ร้าย

  • [1]วิวรณ์สัญญาว่าพระเจ้าจะปราบศัตรูของพระองค์ให้พ่ายแพ้ และทุกชนชาติจะมานมัสการต่อหน้าพระองค์ (วิวรณ์ 15:4)

เพื่อจะเข้าใจการนมัสการในวิวรณ์ การทบทวนเบื้องหลังของพระธรรมนี้จะเป็นประโยชน์ คริสเตียนในศตวรรษแรกต้องเผชิญกับการเรียกร้องสองอย่างที่แข่งขันกัน ด้านหนึ่งพวกเขารู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (ฟิลิปปี 2:11) ความเชื่อในพระคริสต์จำเป็นต้องอุทิศตัวต่อสิทธิอำนาจและความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ ในอีกด้านหนึ่ง โรมก็กำหนดให้ทุกคนอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของจักรวรรดิ์เพื่อยืนยันว่าซีซาร์เป็นเจ้านายและพระเจ้าของพวกเขา

เป็นไปไม่ได้ที่คริสเตียนจะจงรักภักดีต่อผู้อื่นมากกว่าต่อพระเจ้า รากของความขัดแย้งระหว่างโรมกับคริสเตียนในศตวรรษแรกคือ “ใครที่สมควรแก่การนมัสการ?” ในเรื่องนี้ วิวรณ์กล่าวว่า “พระเยซูคือองค์พระผู้เป็นเจ้า” แม้ในโลกที่ไม่ยอมรับสิทธิอำนาจของพระองค์ พระเยซูก็เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์สมควรได้รับการนมัสการ วิวรณ์ให้ภาพของการนมัสการที่แท้จริง

การนมัสการในสวรรค์แตกต่างกับการนมัสการที่ล้มเหลว

วิวรณ์เริ่มต้นด้วยถ้อยคำถึงคริสตจักรทั้งเจ็ดในเอเชียไมเนอร์ เอเชียไมเนอร์เป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่มีการบูชาจักรพรรดิอย่างแข็งแกร่งที่สุด มีวิหารของจักรวรรดิอยู่ตามเมืองต่าง ๆ แต่ละเมืองที่ถูกกล่าวถึงในวิวรณ์ การบูชาจักรพรรดิแทบจะเป็นสากลทั่วทั้งเขตแดนนี้

ถ้อยคำถึงคริสตจักรทั้งเจ็ดแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการนมัสการของหลายคริสตจักร ในขณะที่คริสตจักรทั้งเจ็ดนมัสการพระเจ้า มีห้าคริสตจักรที่ถูกตำหนิ การตำหนิแสดงให้เห็นว่าคริสตจักรเหล่านี้ล้มเหลวในการนมัสการพระเจ้าอย่างที่พระองค์ยอมรับ

1. การขาดความรักขัดขวางการนมัสการที่แท้จริง เอเฟซัสทำหลายสิ่งที่ดี แต่พวกเขาละทิ้งความรักดั้งเดิม ความว่างเปล่าในการนมัสการอาจเป็นสัญญาณว่าเราได้สูญเสียความรักที่มีต่อพระเจ้าผู้ที่เรานมัสการไปแล้ว

2. คำสอนเทียมเท็จขัดขวางการนมัสการที่แท้จริง ทั้งเปอร์กามัมและธิยาทิรายอมทนต่อคำสอนเท็จ อันตรายนี้เห็นได้ในคริสตจักรที่เอาหมายสำคัญและการอัศจรรย์มาแทนที่ความจริงจากพระคัมภีร์

3. การงานที่ตายแล้วขัดขวางการนมัสการที่แท้จริง เมืองซาร์ดิสพ่ายแพ้สองครั้งเมื่อยากหลับใหลมองไม่เห็นศัตรูที่เข้ามาใกล้[2] ยอห์นเตือนว่าคริสตจักรที่เมืองซาร์ดิสหลับใหลเพราะไว้ใจในการดีของตัวเอง การเผชิญหน้ากับพระเจ้าในการนมัสการจะปลุกซาร์ดิสให้ตื่นขึ้นจากความซึมเซาของเธอ

4. การขาดภาระใจขัดขวางการนมัสการที่แท้จริง เลาดีเซียแสดงถึงวิญญาณที่อุ่น ๆ ซึ่งมักจะเห็นได้จากคริสตจักรในช่วงที่มีความเจริญรุ่งเรือง การขาดภาระใจของเลาดีเซียเกิดขึ้นเพราะความมั่งคั่งและการมีอย่างเพียงพอสำหรับตัวพวกเขาเอง การนมัสการที่แท้จริงเตือนใจเราให้พึ่งพาพระเจ้า

การนมัสการในสวรรค์จดจ่อที่พระเจ้า

วิวรณ์ 4-5 แสดงให้เห็นว่าการนมัสการในสวรรค์จดจ่อที่พระเจ้าและที่พระสิริของพระองค์ ผู้นมัสการในสวรรค์นมัสการกษัตริย์นิรันดร์และพระเมษโปดกที่ฟื้นขึ้นจากความตาย

คุณลองจินตนาการถึงภาพทูตสวรรค์ที่พูดกับยอห์นว่า “เราจะทำอะไรได้มากกว่านี้เพื่อให้ท่านสบายใจในการนมัสการมากขึ้น?” ไม่แน่นอน! การนมัสการเกี่ยวข้องกับพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ฉัน การนมัสการอวยพรผู้นมัสการแต่นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของการนมัสการ วัตถุประสงค์หลักของการนมัสการคือถวายเกียรติแด่พระเจ้า ผู้นมัสการที่อยู่ล้อมรอบบัลลังก์ของพระเจ้าร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด พระราชกิจของพระองค์ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์ ข้าแต่องค์พระมหากษัตริย์ของบรรดาประชาชาติ บรรดามรรคาของพระองค์ยุติธรรมและสัตย์จริง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า มีใครบ้างไม่เกรงกลัวพระองค์ และไม่ถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์ เพราะพระองค์ผู้เดียวทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดจะมา นมัสการเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เพราะว่าพระราชกิจอันชอบธรรมของพระองค์ปรากฏให้เห็นแล้ว” (วิวรณ์ 15:3-4)

การนมัสการในสวรรค์เกิดขึ้นในการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า นับจากเวลาที่อาดัมและเอวาถูกขับไล่ออกจากสวนนั้น มนุษย์ได้ถูกแยกขาดจากพระเจ้า ในสวรรค์ การนมัสการจะเกิดขึ้นอีกครั้งในการสถิตอยู่ของพระเจ้าซึ่งเป็นอิสระจากอิทธิพลของความชั่วร้ายใด ๆ

นี่แน่ะ ที่ประทับของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว และพระองค์จะประทับกับเขาทั้งหลาย พวกเขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ พระเจ้าเองจะสถิตกับเขา (วิวรณ์ 21:3)

การนมัสการในสวรรค์แสดงให้เห็นความเป็นจริงที่เที่ยงแท้

เมื่อยอห์นเขียนวิวรณ์ เขาถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะปัทมอส คริสเตียนทั่วจักรวรรดิโรมกำลังเผชิญการทนทุกข์จากการข่มเหง ในมุมมองของโลกนี้ อนาคตช่างมืดมน อย่างไรก็ตามวิวรณ์แสดงให้เห็นถึงมุมมองของสวรรค์ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก[3]

บนโลกนี้ เราเห็นเพียงแค่ด้านเดียวของประวัติศาสตร์ เราถูกลองใจให้คิดว่าโลกรอบตัวเราคือความเป็นจริงสูงสุด การนมัสการและสวรรค์ดูเหมือนห่างไกลออกไปจากการต่อสู้ดิ้นรนในโลกแห่งความเป็นจริงนี้ การนมัสการในสวรรค์ที่เห็นเพียงชั่วขณะในวิวรณ์ 4, 5, และ 15 แสดงให้เราเห็นภาพของโลกที่แท้จริง

สำหรับคนงานคือคริสเตียน วิวรณ์เตือนให้เราระลึกสิ่งสำคัญว่าการต่อสู้ดิ้นรนบนโลกนี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว การนมัสการไม่ได้เป็นการหนีให้รอดพ้นจากความเป็นจริงทุกสัปดาห์ แต่การนมัสการแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงจากมุมมองของพระเจ้า และสิ่งนี้เปลี่ยนมุมมองของเราต่อโลกนี้ ในวิวรณ์ พระเจ้าตรัสว่า “สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่ปรากฏให้เห็น สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้อยู่นอกการควบคุม ซาตานไม่ได้ชนะ ความชั่วไม่ได้มีชัย จงมองผ่านประตูเข้ามาและเห็นภาพของความเป็นจริง พระเจ้านั่งอยู่บนบัลลังก์”[4]


[1]

“เสร็จสิ้นการสร้างใหม่ของพระองค์
ให้เราบริสุทธิ์ไร้ตำหนิ

ให้เราเห็นความรอดยิ่งใหญ่ของพระองค์
รับการสร้างใหม่อย่างสมบูรณ์ในพระองค์

เปลี่ยนจากสง่าราศีสู่สง่าราศี
จนเราอยู่ในที่ของเราในสวรรค์

ร้องเพลงและถอดมงกุฎ
ของเราต่อหน้าพระองค์
หลงอยู่ในความอัศจรรย์ รัก และสรรเสริญ!”

- ชาร์ล เวสเลย์ (Charles Wesley)

[2]สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อไซรัสโจมตีในปี 547 กคศ. และอีกครั้งเมื่ออันทิโอคุสที่ 3 โจมตีในปี 214 กคศ.
[3]ตัวอย่างใน 6:1-7:8 เกิดขึ้นบนโลก กับ 7:9-8:6 เกิดขึ้นในสวรรค์ และใน 8:7-11:14 เกิดขึ้นบนบนโลก; 11:15-19 เกิดขึ้นในสวรรค์
[4]David Jeremiah. Worship. (CA: Turning Point Outreach, 1995), 72

การนมัสการตามหลักพระคัมภีร์ในปัจจุบัน

“พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตาย!” “พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า!” คำประกาศเหล่านี้เป็นศูนย์กลางของการนมัสการ การฟื้นขึ้นจากความตายประกาศว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (โรม 1:4)

คริสตจักรยุคแรกตระหนักว่าทุกวันอาทิตย์เป็นวันเฉลิมฉลองการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซู ทุกวันอาทิตย์คือวันอีสเตอร์ พวกคริสเตียนจะไม่อดอาหารในวันอาทิตย์ วันอาทิตย์เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลอง

ปัจจุบันนี้ การนมัสการของเราควรเป็นเวลาเฉลิมฉลอง จริงอยู่ที่ในการเข้าเฝ้าองค์สูงสุดย่อมต้องมีความเคร่งขรึม แต่ก็มีความชื่นชมยินดีเมื่อเราเฉลิมฉลององค์พระเจ้าผู้ฟื้นขึ้นมาด้วย การนมัสการของเราควรรวมโอกาสต่าง ๆ ที่เป็นการเฉลิมฉลองด้วย

การนมัสการรวมถึงบทเพลงสรรเสริญและคำพยานถึงพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของสมาชิก คริสตจักรที่ไนจีเรียเฉลิมฉลองเมื่อพวกเขาถวายทรัพย์ สมาชิกเดินขบวนรอบคริสตจักรเมื่อมีการถวายทรัพย์ ผู้นมัสการเหล่านี้รู้ถึงความชื่นชมยินดีของพระองค์ผู้ฟื้นขึ้นจากความตาย การนมัสการรวมถึงโอกาสต่าง ๆ เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะที่เราได้รับผ่านทางชัยชนะเหนือความตายของพระคริสต์

ตรวจสอบ

ถามตัวเองว่า “การนมัสการของฉันเฉลิมฉลองหรือเป็นเพียงหน้าที่? ฉันชื่นชมยินดีที่ได้เข้าสู่การนมัสการ หรือฉันเข้าในการนมัสการเพียงเพราะมันเป็นข้อผูกมัดในฐานะคริสเตียนคนหนึ่งเท่านั้น?”

นำมาสู่การปฏิบัติ

ใช้เวลาใคร่ครวญถึงพระเจ้าที่เรานมัสการ คิดถึงสิ่งที่พระคัมภีร์บอกเราเกี่ยวกับพระองค์[1]

พระเจ้าเป็นใครในพระคัมภีร์
ในปฐมกาล พระองค์เป็นผู้สร้างจักรวาล
ในอพยพ พระองค์เป็นลูกแกะปัสกา
ในเลวีนิติ พระองค์เป็นเครื่องบูชาที่สมบูรณ์แบบ
ในกันดารวิถี พระองค์เป็นเมฆ
ในเฉลยธรรมบัญญัติ พระองค์คือผู้เผยพระวจนะที่แท้จริงแต่ผู้เดียว
ในโยชูวา พระองค์เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพของพระเจ้า
ในนางรูธ พระองค์คือผู้ไถ่ที่เป็นญาติสนิท
ใน 1 และ 2 ซามูเอล พระองค์คือผู้เผยพระวจนะ
ในพงศาวดาร พระองค์คือพระวิหารในสวรรค์
ในโยบ พระองค์เป็นคนกลาง
ในสดุดี พระองค์เป็นผู้เลี้ยง
ในอิสยาห์ พระองค์เป็นองค์สันติราช
ในเอเสเคียล พระองค์คือบุตรมนุษย์
ในโฮเชยา พระองค์คือผู้รักษาคนที่ใจหันกลับ
ในฮักกัย พระองค์คือความปรารถนาของชนทุกชาติ
ในมาลาคี พระองค์คือดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม
ในมัทธิว พระองค์คือพระเมสสิยาห์ตามพระสัญญา
ในมาระโก พระองค์คือผู้รับใช้
ในลูกา พระองค์คือบุตรมนุษย์
ในยอห์น พระองค์คือพระวาทะ
ในโรม พระองค์คือผู้หนึ่งที่ให้ความชอบธรรม
ในฟิลิปปี พระองค์คือความชื่นชมยินดีของเรา
ในโคโลสี พระองค์เป็นความครบบริบูรณ์ของพระเจ้า
ในฮีบรู พระองค์คือมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่
ใน 1 และ 2 เปโตร พระองค์คือพระผู้เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่
ในวิวรณ์ พระองค์คือลูกแกะที่ถูกฆ่า, จอมกษัตริย์, และจอมเจ้านาย!

[1]ตารางด้านล่างนี้ดัดแปลงมาจาก Vernon Whaley, Called to Worship. (Nashville: Thomas Nelson, 2009), 331-333

สรุป: คำพยานของอัครทูตยอห์น

“ชื่อของผมคือยอห์น ชีวิตของผมได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยการนมัสการ นับจากที่ผมได้พบพระเยซูชาวนาซาเรธเป็นครั้งแรก ผมก็ได้เป็นผู้นมัสการ

“ผมอยู่ที่นั่นบนภูเขาที่มีการจำแลงพระกาย เราได้ยินเสียงจากสวรรค์ เราได้เห็นพระสิริ เราก้มลงซบหน้า และเกรงกลัว (มัทธิว 17:6) เรานมัสการด้วยความไม่สมบูรณ์ การกระทำของเราในช่วงสัปดาห์ปัสกาแสดงให้เห็นว่าเราไม่เข้าใจอะไรเลยกับสิ่งที่เราได้เห็นบนภูเขานั้น

“ผมอยู่ที่นั่นบนภูเขาในกาลิลีเมื่อพระเยซูปรากฏตัวหลังจากการฟื้นขึ้นจากความตาย เรานมัสการแม้ว่าบางคนยังสงสัย (มัทธิว 28:17) เรานมัสการอย่างไม่สมบูรณ์ เรารู้ว่าพระองค์ฟื้นขึ้นมา แต่เราไม่เข้าใจทั้งหมดว่าหมายถึงอะไร

“ผมอยู่ในห้องชั้นบนขณะที่เราอุทิศตัวอธิษฐานด้วยใจเดียว (กิจการ 1:14) เมื่อเรานมัสการ พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเหนือพวกเรา การนมัสการกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการประกาศข่าวประเสริฐ เรานำข่าวประเสริฐไปยังเยรูซาเล็ม ยูเดีย และสะมาเรีย และไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก

“ขณะที่ถูกเนรเทศไปอยู่บนเกาะปัทมอส พระวิญญาณอยู่เหนือผมในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อผมได้ยินเสียงเหมือนแตร มันคือเสียงของพระองค์ผู้เป็นอัลฟาและโอเมกา ผู้เป็นปฐมและอวสาน (วิวรณ์ 1:10-11)

“ผมอยู่ที่นั่นเมื่อพระเจ้าเปิดประตูในสวรรค์และอนุญาตให้ผมเห็นการนมัสการที่อยู่ล้อมรอบบัลลังก์ของพระเจ้า

“ผมจะอยู่ในเยรูซาเล็มใหม่ชั่วนิรันดร์ นครซึ่งลอยลงมาจากพระเจ้าและจากสวรรค์ (วิวรณ์ 21:2) ในเมืองนั้น ในที่สุดการนมัสการของเราก็จะสมบูรณ์แบบเพราะเราจะเห็นพระพักตร์ของพระองค์ผู้เดียวที่เรานมัสการ ในสวรรค์ “ที่ประทับของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว และพระองค์จะประทับกับเขาทั้งหลาย พวกเขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ พระเจ้าเองจะสถิตกับเขา [และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา’ (วิวรณ์ 21:3)

“ผมคือยอห์น และผมจะใช้เวลาในนิรันดร์กาลเพื่อนมัสการพระเจ้าและพระผู้ไถ่ของผม!”

นำมาสู่การปฏิบัติ

ก่อนจะจบบทเรียนนี้ ขอให้ใช้เวลานมัสการ อ่านบทเพลงในวิวรณ์ 4, 5, และ 15 หรือสดุดี 19 ร้องบทเพลงที่สรรเสริญพระเจ้า อธิษฐานด้วยคำอธิษฐานเทิดทูนบูชา ฟังเมื่อพระเจ้าตรัสกับคุณ ใช้เวลานมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง

► เพื่อฝึกประยุกต์ใช้บทเรียนนี้ ขอให้อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับข้อความด้านล่างนี้

ทิมอภิบาลดูแลคริสตจักรแห่งหนึ่งที่มีภาระใจเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ มีผู้เชื่อใหม่ได้รับบัพติศมาทุกเดือน เป็นเวลาที่ตื่นเต้นมากในคริสตจักร

ย่างไรก็ตาม ทิมกังวลว่าคริสตจักรจะไม่ได้นมัสการอย่างแท้จริง คำเทศนาส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่คนไม่เชื่อกับผู้เชื่อใหม่ เป็นเรื่องยากที่จะใช้เพลงสรรเสริญแบบยิ่งใหญ่เพราะคนใหม่ไม่รู้จักเพลงนั้น ทิมกลัวว่าคริสตจักรของเขาจะมีขนาดใหญ่แต่กลับตื้นเขินในความลึกฝ่ายวิญญาณ เขาอยากให้จดจ่อมากขึ้นกับการนมัสการ ขอให้อภิปราร่วมกันว่าทิมจะสามารถรักษาจุดเน้นเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐในขณะที่ลงลึกเรื่องการนมัสการในคริสตจักรได้อย่างไร

ทบทวนบทที่ 4

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) ข่าวประเสริฐแสดงให้เห็นว่าการนมัสการครบถ้วนสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์

  • พระเยซูเป็นต้นแบบสำหรับการนมัสการ

  • พระเยซูปฏิเสธการลองใจให้นมัสการเทียมเท็จ

  • พระเยซูให้แบบอย่างของคำอธิษฐานที่สำคัญ

  • พระเยซูจะรับการนมัสการไปตลอดชั่วนิรันดร์

(2) กิจการแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการนมัสการกับการประกาศข่าวประเสริฐ

  • การนมัสการที่แท้จริงดลใจให้ประกาศข่าวประเสริฐ

  • การประกาศที่เกิดผลสร้างผู้นมัสการ

  • การนมัสการที่ไม่นำไปสู่การประกาศข่าวประเสริฐจะกลายเป็นการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง

(3) จดหมายฝากต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบที่สำคัญของการนมัสการในคริสตจักรยุคแรก การนมัสการในคริสตจักรยุคแรกประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้

  • การอ่านพระคัมภีร์

  • การเทศนาพระวจนะ

  • การอธิษฐานในที่ประชุม

  • การร้องเพลง

  • การถวาย

  • การบัพติศมา

  • อาหารมื้อสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า

(4) วิวรณ์แสดงให้เห็นว่าการนมัสการคือการเทิดทูนบูชาพระเจ้า

  • การนมัสการอวยพรผู้นมัสการ แต่นั่นไม่ได้เป็นวัตถุประสงค์หลักของการนมัสการ

  • วัตถุประสงค์หลักของการนมัสการคือการถวายเกียรติแด่พระเจ้า

  • การนมัสการในสวรรค์เตือนใจเราว่าโลกนี้ที่เรามองเห็นไม่ใช่ความเป็นจริงสูงสุด

งานมอบหมายบทที่ 4

(1) เขียนหลักการสามประการเกี่ยวกับการนมัสการจากบทเรียนนี้ สำหรับแต่ละบทเรียน เขียนหนึ่งย่อหน้ากระดาษเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติจากหลักการแต่ละอย่างที่คุณได้อภิปรายร่วมกันเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในคริสตจักรของคุณ

(2) เมื่อเริ่มต้นชั่วโมงเรียนถัดไป คุณจะต้องทำแบบทดสอบของบทเรียนนี้ ขอให้เตรียมตัวด้วยการศึกษาคำถามของแบบทดสอบอย่างละเอียด

แบบทดสอบบทที่ 4

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) เขียนสามวิธีการที่เป็นต้นแบบของพระเยซูในการนมัสการที่แท้จริง

(2) คำสอนและแบบอย่างของพระเยซูเตือนใจเราเกี่ยวกับการนมัสการที่แท้จริงอย่างไร?

(3) ประโยคสรุปสองประการถึงความสัมพันธ์ระหว่างการนมัสการกับการประกาศข่าวประเสริฐคืออะไร?

(4) การนมัสการเทียมเท็จของชาวเอเธนส์ที่อธิบายไว้ในกิจการ 17 เป็นอย่างไร?

(5) ในกิจการ 17 อธิบายถึงพระเจ้าเที่ยงแท้ว่าอย่างไร?

(6) เขียนองค์ประกอบห้าอย่างในการนมัสการของคริสตจักรยุคแรกที่มีในจดหมายฝากต่าง ๆ

(7) เขียนตัวอย่างสองประการที่ขัดขวางการนมัสการในท่ามกลางคริสตจักรแถบเอเชียไมเนอร์

(8) เขียนโรม 12:1-2 จากการท่องจำ

Next Lesson