แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 10: วิถีชีวิตแห่งการนมัสการ

1 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์ของบทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างการนมัสการร่วมกันกับวิถีชีวิตแห่งการนมัสการ

(2) เข้าใจว่าวิถีชีวิตแห่งการนมัสการเปลี่ยนค่านิยมของบุคคล

(3) แสวงหาการใช้ชีวิตเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

(4) อุทิศตัวต่อการมีวิถีชีวิตแห่งการนมัสการซึ่งสอนไว้ใน โรม 12:2

(5) ยอมรับอย่างสิ้นเชิงถึงศาสนศาสตร์การนมัสการตามพระคัมภีร์

การเตรียมตัวสำหรับบทเรียนนี้

ท่องจำ 1 โครินธ์ 10:31

บทนำ

ในปีเดียวกัน ประเทศที่อยู่ในทวีปแอฟริกาจะปรากฏให้เห็นสองอย่างคือ “ประเทศที่มีประชากรคริสเตียนมากที่สุดในทวีปแอฟริกา” กับ “ประเทศที่ทุจริตมากที่สุดในแอฟริกา”

ศิษยาภิบาลของคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียถูกตัดสินว่ายักยอกเงินหลายล้านดอลล่าร์

ผู้นำคริสตจักรขนาดใหญ่ของอเมริกาลาออกหลังจากสารภาพว่านอกใจในชีวิตสมรส

เกิดอะไรขึ้น? มีหลายปัจจัยในสถานการณ์เหล่านี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันสำหรับทุกคนคือ การนมัสการในวันอาทิตย์ไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตในวันจันทร์ วันอาทิตย์ถือว่าเป็น "การนมัสการ" - ด้วยการแสดงออกทางอารมณ์และความกระตือรือร้น วันจันทร์ถือว่าเป็น "ชีวิตจริง" - การดำเนินธุรกิจที่ผิดจรรยาบรรณและความพึงพอใจในตนเอง มีคนจำนวนมากเกินไป ที่การนมัสการไม่ได้ส่งผลให้ชีวิตเปลี่ยนไป

► อภิปรายกันถึงวิธีที่การนมัสการมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของคุณ ธุรกิจของคุณมีการดำเนินที่แตกต่างออกไปเพราะการนมัสการของคุณอย่างไร? ความสัมพันธ์ในครอบครัวของคุณแตกต่างออกไปเพราะการนมัสการของคุณอย่างไร? จรรยาบรรณ์ของคุณ? การเมือง? การบริหารการเงิน? คุณกำลังดำเนินด้วยวิถีชีวิตแห่งการนมัสการไหม?

การนมัสการ: ไม่ใช่แค่วันอาทิตย์

[1]ปัญหาที่อธิบายไว้ในบทนำของบทนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ อาโมสพูดกับคนที่นำเครื่องบูชาและถือรักษาพิธีกรรมต่าง ๆ ในพระวิหาร แต่ล้มเหลวที่จะดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า (อาโมส 5:21-24) เยเรมีย์เทศนาต่อคนที่ร้องว่า “พระวิหาร พระวิหารนั้น” แต่ไม่รู้จักความเป็นจริงของการสถิตอยู่ของพระเจ้า (เยเรมีย์ 7:4) พระเยซูอธิบายให้กับคนที่ถือรักษาทุกรายละเอียดของกฎบัญญัติ ถวายสิบลดแม้แต่จากสิ่งเล็ก ๆ และสัตย์ซื่อในการอธิษฐาน ถือรักษาสะบาโตและพิธีกรรมอย่างอื่น ๆ ในการนมัสการ แต่กลับมีใจไม่บริสุทธิ์ (มัทธิว 23:23) คนเหล่านี้อ้างตนว่าเป็นผู้นมัสการ แต่การนมัสการของพวกเขาเทียมเท็จ การนมัสการที่แท้จริงส่งผลกระทบต่อชีวิตทุกด้าน

เปาโลเขียนถึงผู้เชื่อที่เผชิญกับปัญหาเรื่องเนื้อที่ถวายแก่รูปเคารพ หลังจากพูดถึงปัญหานี้ เปาโลสรุปว่า “เพราะฉะนั้นเมื่อพวกท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” (1 โครินธ์ 10:31) ในขณะที่เปาโลกล่าวถึงปัญหาเรื่องเนื้อที่ถวายแก่รูปเคารพ หลักการนี้ก็ประยุกต์ใช้กับทุกด้านในชีวิต ถ้าหากเรานมัสการอย่างแท้จริง เราจะใช้ชีวิตประจำวันอย่างถวายเกียรติพระเจ้า

คำนิยามอย่างหนึ่งของการนมัสกาคือ “...การตอบสนองด้วยทุกสิ่งที่เรามีต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าเป็น”[2] คำนิยามนี้แสดงให้เห็นว่าการนมัสการเกี่ยวข้องกับทุกด้านของชีวิต มีหลักการสองประการที่ต้องรักษาไว้อย่างสมดุลเมื่อให้คำนิยามแก่การนมัสการ

การนมัสการร่วมกัน: การนมัสการในวันอาทิตย์

การนมัสการร่วมกันหมายถึงการมารวมตัวกันของทั้งคริสตจักร การประชุมนี้เกิดขึ้นในตัวอาคารของคริสตจักร ในบ้านหลังหนึ่ง หรือในบางสถานที่อื่น ๆ ที่กำหนดไว้ สถานที่กำหนดไม่สำคัญ แต่เวลาที่จัดตั้งไว้เจาะจงสำหรับการนมัสการร่วมกันสำคัญ คริสเตียนได้รับสิทธิพิเศษและความรับผิดชอบให้มาชุมนุมกันเพื่อนมัสการร่วมกัน (ฮีบรู 10:25)

การนมัสการเป็นดั่งวิถีชีวิต: การนมัสการในทุกด้านของชีวิต

ในสวนเอเดน ถ้าคุณถามอาดัมกับเอวาว่า “คุณนมัสการเมื่อใด?” พวกเขาจะตอบว่า “เรานมัสการเรื่อย ๆ ทุกเวลา ชีวิตของเราทั้งหมดคือการนมัสการ” นี่คือการนมัสการเป็นดั่งวิถีชีวิต

การนมัสการเป็นทั้งการมาประชุมร่วมกันของผู้เชื่อและการดำเนินชีวิตส่วนตัวเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ในศตวรรษที่สอง บิชอพอิเรเนอุสแห่งลียงได้กล่าวว่า “สง่าราศีของพระเจ้าคือมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์” นี่ไม่ใช่มนุษย์นิยมที่เอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง แต่มันคือการยอมรับว่าพระเจ้าเป็นศูนย์กลางโดยที่จุดประสงค์สูงสุดของมนุษย์ในการมีชีวิตอยู่คือเพื่อสง่าราศีของพระเจ้า นี่คือการนมัสการที่แท้จริง

[3]ในฐานะคริสเตียน เราถวายทุกด้านของชีวิตแม้แต่ในรายละเอียดเล็กน้อยให้กับพระเจ้า การนมัสการไม่ได้จำกัดแค่วันอาทิตย์ การทำงานของเรา การเล่น และภารกิจทั่วไปล้วนสำเร็จเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า ในโรม 12:1 แสดงให้เห็นว่าการนมัสการเกี่ยวข้องกับร่างกายของเราที่เป็นดั่งเครื่องบูชาที่มีชีวิต นี่คือการประชุมนมัสการฝ่ายวิญญาณของเรา มุมมองจากพระคัมภีร์เกี่ยวกับการนมัสการไม่สามารถถูกจำกัดไว้กับการประชุมประจำสัปดาห์เท่านั้น แต่มันคือการถวายทั้งชีวิตของเราแด่พระเจ้า

มุมมองจากพระคัมภีร์เกี่ยวกับการนมัสการรวมทั้งการนมัสการร่วมกันและการนมัสการในชีวิตประจำวัน ทั้งสองด้านมีความสำคัญ ถ้าเราลืมว่าการนมัสการเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เราก็จะเข้าประชุมนมัสการโดยไม่เห็นผลกระทบอะไรในชีวิตส่วนที่เหลือเลย สิ่งนี้นำเราให้มานมัสการร่วมกันแต่ล้มเหลวในการใช้ชีวิตประจำวันด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเราเน้นแค่ “การนมัสการคือชีวิตทุกด้าน” เราก็จะลืมความสำคัญของการตั้งเวลาเป็นประจำเพื่อนมัสการอย่างมีเป้าหมาย การเข้ามานมัสการร่วมกันเตือนเราให้เป็นผู้อารักขาชีวิตที่พระเจ้าให้เราไว้

หลักการเป็นผู้อารักขาเห็นได้ในการถวายสิบลดและรักษาสะบาโต ผู้อารักขาของคริสเตียนหมายความว่าเงินของเราทั้งหมดเป็นของพระเจ้า ความเชื่อในหลักการนี้แสดงให้เห็นจากการถวายสิบลด มุมมองของคริสเตียนเรื่องเวลาหมายความว่าชีวิตทั้งหมดเป็นของพระเจ้า เราแสดงสิ่งนี้ให้เห็นโดยการอุทิศหนึ่งวันในหนึ่งสัปดาห์เพื่อนมัสการและพักผ่อน ในทำนองเดียวกัน ทุกด้านของชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ เราแสดงสิ่งนี้ให้เห็นโดยเข้ามาชุมนุมกับผู้เชื่อเพื่อนมัสการร่วมกัน

บ็อบ คัวฟลิน (Bob Kauflin) แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการนมัสการร่วมกันกับการนมัสการเป็นดั่งวิถีชีวิต

วันอาทิตย์อาจเป็นจุดสูงสุดของสัปดาห์ของเรา แต่ก็ไม่ใช่จุดเดียว ในระหว่างสัปดาห์เราดำเนินชีวิตด้วยการนมัสการเมื่อเรารักครอบครัวของเรา เมื่อต่อต้านการล่อลวง กล้าพูดเพื่อคนที่ถูกกดขี่ ยืนหยัดต่อสู้กับความชั่วร้าย และประกาศข่าวประเสริฐ ในสิ่งเหล่านี้เราเป็นคริสตจักรที่กระจายตัวนมัสการ

แต่เราเริ่มอ่อนล้ากับการสู้รบในโลกนี้ สู้กับเนื้อหนังและมารร้าย เราจำเป็นต้องได้รับการเสริมกำลังและหนุนใจด้วยพระวจนะของพระเจ้าและรับการดูแลห่วงใยจากธรรมิกชนอื่น ๆ เราต้องการสามัคคีธรรมกับคนที่พระเจ้าได้ผสานเราเข้าไว้โดยทางพระโลหิตของพระองค์ ดังนั้นเราจึงมาพบกันเพื่อเป็นคริสตจักรที่รวมตัวกันเพื่อนมัสการ[4]


[1]

“ผู้นำการนมัสการต้องเป็นบุคคลที่เป็นต้นแบบการนมัสการในทุกด้านของชีวิต ผู้แสวงหาพระเจ้าด้วยทุกสิ่ง ผู้ซึ่งนำคริสตจักรในวิถีชีวิตแห่งการนมัสการที่ครอบคลุมทุกด้าน”

- ดัดแปลงมาจาก สเตเฟน มิลเลอร์

[2]Warren Wiersbe, Real Worship. (Grand Rapids: Baker Books, 2000), 21
[3]

“การถวายชีวิตของเราเพื่อรับใช้พระเจ้าทุกวันเป็นการทรงเรียกตลอดชีวิต การนมัสการในเช้าวันอาทิตย์เป็นความต่อเนื่องของการทรงเรียกนั้น”

- แบร์รี่ ลีช

[4]Bob Kauflin, Worship Matters (Wheaton: Crossway Books, 2008), 210

การนมัสการ: ดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า

[1]การนมัสการแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เราให้คุณค่า

เราถูกสร้างมาเพื่อนมัสการ พวกเราทุกคนนมัสการบางสิ่งหรือบางคน เรานมัสการสิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุด การนมัสการพูดว่า “นี่คือสิ่งที่เป็นอันดับหนึ่งในชีวิตของฉัน”

ผู้คนมากมายนมัสการเงิน งาน ตำแหน่ง ความสัมพันธ์ หรือความพึงพอใจ สิ่งเหล่านั้นเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตของพวกเขา คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณนมัสการอะไร? ให้มองดูที่ชีวิตของคุณเอง อะไรที่คุณใช้พลังงานกับมันมากที่สุด ใช้เวลา และเงินมากที่สุด? นั่นคือสิ่งที่คุณตัดสินใจให้มีค่ามากที่สุด นั่นคือสิ่งที่คุณนมัสการ[2]

มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สมควรรับการนมัสการ ทุกสิ่งอื่น ๆ เป็นรอง วิถีชีวิตแห่งการนมัสการย่อมให้พระเจ้าเป็นอันดับหนึ่งเหนือทุกสิ่ง ผู้นมัสการที่แท้จริงให้พระเจ้านั่งบนบัลลังก์ชีวิตของพวกเขา พระองค์มีคุณค่าสูงสุด นั่นหมายความว่า สำหรับผู้นมัสการที่แท้จริง ทุกส่วนในชีวิตอยู่เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

การนมัสการที่แท้จริงเปลี่ยนสิ่งที่เราให้คุณค่า

ในอิสยาห์บทที่ 6 เราห็นว่าการนมัสการที่แท้จริงคือการเปลี่ยนแปลง การนมัสการไม่ได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เราให้คุณค่าเท่านั้น แต่เปลี่ยนสิ่งนั้นที่เราให้คุณค่าด้วย

การนมัสการไม่ว่าต่อพระเจ้าหรือรูปเคารพ จะเปลี่ยนสิ่งที่เราเป็น สดุดี 115:8 แสดงให้เห็นว่าการนมัสการรูปเคารพเปลี่ยนให้เราชั่วร้าย “ผู้ที่ทำรูปเหล่านั้นจะเป็นเหมือนรูปเหล่านั้น ทุกคนที่วางใจในรูปเหล่านั้นก็เช่นกัน” ผู้นมัสการรูปเคารพกลายเป็นเหมือนรูปเคารพของพวกเขา คนที่นมัสการเงินก็จะกลายเป็นคนที่โลภมากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่นมัสการความพึงพอใจก็จะเป็นทาสของความพึงพอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่นมัสการชื่อเสียงก็จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางมากขึ้นเรื่อย ๆ เราเป็นเหมือนสิ่งที่เรานมัสการ

[3]ในทำนองเดียวกัน คนที่นมัสการพระเจ้าก็เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ “แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว และมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป” (2 โครินธ์ 3:18) ในการนมัสการเราได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระเจ้า

เมื่อเรานมัสการ คุณค่าที่เราให้ก็เปลี่ยนไป ในฐานะผู้นมัสการ เราต้องถามว่า “การนมัสการเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันไหม?”

การดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าเกี่ยวข้องกับชีวิตทุกด้าน

การนมัสการเป็นดั่งวิถีชีวิตหมายความว่าทุกด้านของชีวิตอยู่เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า คริสเตียนจำนวนมากแบ่งชีวิตของพวกเขาเป็นสองด้านที่ไม่เกี่ยวข้องกันคือ ด้านที่ศักดิ์สิทธิ์ (วันอาทิตย์) กับด้านของโลก (จันทร์-เสาร์) พวกเขาใช้ชีวิตในฐานะ “คริสเตียนวันอาทิตย์” พวกเขามาร่วมคริสตจักรและกล่าวอ้างความเชื่อแบบคริสเตียน แต่การนมัสการในวันอาทิตย์ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อจริยธรรมในการทำธุรกิจในวันจันทร์ ชีวิตครอบครัววันพุธ หรือความบันเทิงในวันเสาร์เลย

คำว่า โลก หมายถึงชีวิตในโลกนี้ คริสเตียนถูกเรียกให้ใช้ชีวิตในโลกอย่างถวายเกียรติแด่พระเจ้า คริสเตียนถูกเรียกให้ใช้ชีวิตในวันจันทร์ด้วยวิธีที่แสดงให้เห็นผลกระทบจากการนมัสการในวันอาทิตย์ เมื่อจบการประชุมนมัสการ เราต้องถามตัวเองว่า “ฉันจะทำอะไรวันพรุ่งนี้เพื่อให้การนมัสการในวันนี้เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ?” นี่คือชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

การดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าเป็นแบบไหน?

การใช้ชีวิตเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าหมายความว่า ชีวิตทุกด้านได้รับการควบคุมโดยภาระใจสำหรับพระเจ้า หมายความว่ารักพระเจ้าจนถึงจุดที่การทำให้พระเจ้าพอพระทัยคือความยินดีสูงสุดของเรา มีคนหนึ่งพูดว่าการรักใครบางคนหมายถึงการพัวพันอยู่กับเขา “คุณรักใคร (หรือสิ่งใด) ที่คุณคิดถึงตลอดโดยไม่คิดถึงอย่างอื่น”

ในทำนองเดียวกัน ลูอี กีกลิโอ ได้แนะนำว่า “เรารู้ว่าสิ่งใดสูงสุดในจิตวิญญาณของเราโดยสิ่งที่ออกมาจากปากของเรา”[4] เราพูดถึงสิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุด

นั่นอาจดูเหมือนง่ายเกินไป แต่ลองพิจารณาดู คนที่รักเงินพูดถึงอะไร? เงิน พวกเขาเชิดชูเงิน แฟนกีฬาพูดถึงอะไร? กีฬา พวกเขาเชิดชูทีมกีฬาที่พวกเขาชื่นชอบ

นี่หมายความว่าคริสเตียนจะต้องพูดถึงพระคัมภีร์ในทุกสถานการณ์หรือไม่? ไม่ใช่ แต่หมายความว่าทุกสิ่งที่เราพูดจะถวายเกียรติพระเจ้า เมื่อเราตัดสินใจทางธุรกิจ เราไม่อาจพูดกับเพื่อนร่วมงานของเราได้ว่า “การตัดสินใจนี้ต้องถวายเกียรติพระเจ้า” แต่การถวายเกียรติพระเจ้าจะมีผลต่อการตัดสินใจของเรา เมื่อเราต้องฝึกวินัยลูกของเรา เราไม่อาจเริ่มต้นบทสนทนาว่า “ลูก พ่ออยากให้การสั่งสอนลูกครั้งนี้เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า” แต่เราจะถามตัวเองว่า “การฝึกวินัยนี้ทำให้พระเจ้าพอพระทัยหรือฉันระบายความโกรธของฉัน? พระบิดาในสวรรค์จะฝึกวินัยฉันแบบนี้ไหม?”

ในฐานะคริสเตียน เราตัดสินใจทุกอย่างเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า การนมัสการเป็นดั่งวิถีชีวิตหมายความว่าพระเจ้าและเกียรติของพระองค์เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งที่เราทำ

ในบทแรก ๆ เราเห็นว่าถ้าไม่มีพระคุณแล้ว การนมัสการ่วมกันก็จะกลายเป็นการทำตามกฎที่เราถามว่า “เราจะนมัสการอย่างไรเพื่อให้ได้ความโปรดปรานจากพระเจ้า?” ในทำนองเดียวกัน ถ้าไม่มีพระคุณแล้ว วิถีชีวิตแห่งการนมัสการก็จะกลายเป็นการทำตามกฎซึ่งเป็นภาระหนัก โดยเราจะถามว่า “จะเป็นยังไงถ้าการตัดสินใจนี้ไม่ดีที่สุดเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า? ถ้าฉันทำมันพัง พระเจ้าจะโกรธฉันไหม?”

เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างกับการนมัสการที่เป็นการทำตามกฎ การนมัสการโดยพระคุณของพระเจ้ากลายเป็นสิทธิพิเศษอันยอดเยี่ยม การนมัสการร่วมกันโดยพระคุณของพระเจ้าคือโอกาสเฉลิมฉลองผู้ที่พระเจ้าเป็นและสิ่งที่พระองค์ได้ทำ เช่นกันวิถีแห่งการนมัสการ (เมื่อใช้ชีวิตโดยพระคุณของพระเจ้า) เป็นโอกาสถวายเกียรติพระเจ้าในทุกวันของชีวิต

การตัดสินใจเกี่ยวกับธุรกิจในวันจันทร์ไม่ใช่ความพยายามที่ทำให้ขาดความสุขเพื่อทำตามธรรมบัญญัติของพระเจ้า มันคือโอกาสแห่งความชื่นชมยินดีเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าด้วยจริธรรมที่สอดคล้องกับพระลักษณะของพระองค์ การฝึกวินัยลูกไม่ได้เป็นความพยายามที่ทำให้ขาดความสุขเพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้พระเจ้าไม่พอพระทัย แต่มันคือโอกาสแห่งความชื่นชมยินดีที่จะทำตามแบบอย่างพระลักษณะของพระเจ้าต่อลูกของคุณ พระคุณเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้เป็นวิถีแห่งการนมัสการ


[1]

“ทุกคนมีแท่นบูชา ทุกแท่นบูชามีบัลลังก์ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณนมัสการอะไรอยู่? ง่ายมาก แค่เดินตามเส้นทางการใช้เวลาของคุณ ความรักชื่นชอบ พลังงาน เงิน และความภักดีของคุณไป ที่สุดปลายทางคุณจะพบกับบัลลังก์ และไม่ว่าสิ่งใดหรือใครก็ตามที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ นั่นคือคุณค่าสูงสุดสำหรับคุณ บนบัลลังก์นั้นคือสิ่งที่คุณนมัสการ”

- ลูอี กีกลิโอ

[2]ดัดแปลงจาก Louie Giglio, The Air I Breathe: Worship as a Way of Life. (Sisters, OR: Multnomah Publishers, 2003)
[3]

การนมัสการไม่ใช่แค่บางสิ่งที่เราทำ แต่การนมัสการ
ทำบางสิ่งเพื่อเรา

[4]Louie Giglio, “สดุดี 16” ใน Matt Redman and Friends, Inside, Out Worship (Ventura: Regal Books, 2005), 78

วิถีชีวิตแห่งการนมัสการ: ต้นแบบในพระคัมภีร์

ในโรม 12:1 คริสเตียนได้รับการเรียกให้ถวายตัวเองเป็นดั่งเครื่องบูชาที่มีชีวิต บริสุทธิ์ และพระเจ้ายอมรับ นี่คือการนมัสการฝ่ายวิญญาณ ในโรม 12:2 แสดงถึงวิธีถวายเครื่องบูชานี้ พระคัมภีร์ข้อนี้สำคัญต่อความเข้าใจในเรื่องการนมัสการเป็นดั่งวิถีชีวิต

หลังจากผ่านไป 11 บทที่เปาโลวางรากฐานศาสนศาสตร์เกี่ยวกับชีวิตคริสเตียน เขาก็นำเข้าสู่การปฏิบัติ เนื่องจากเราได้รับการทำให้เป็นผู้ชอบธรรมโดยพระคุณ (โรม 1-11) เราต้องดำเนินชีวิตด้วยวิถีนั้น (โรม 12-16) บทต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้นแบบสำหรับวิถีชีวิตแห่งการนมัสการ

แง่มุมเชิงลบของวิถีชีวิตแห่งการนมัสการ

เปาโลเริ่มต้นด้วยคำสั่งในเชิงลบว่า “อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้” เราต้องไม่ใช้ชีวิตที่ลอกเลียนแบบคนในโลก เราไม่สามารถยอมจำนนได้ทั้งต่อโลกนี้และต่ออาณาจักรสวรรค์ เรานมัสการพระเจ้าด้วยและนมัสการวิญญาณของยุคนี้ด้วยไม่ได้

พระคัมภีร์ฉบับ เจ บี ฟิลลิปส์ (J.B. Philips) แปลคำสั่งของเปาโลเป็น “อย่าปล่อยให้โลกรอบตัวบีบอัดคุณลงในแม่พิมพ์ของมัน” เมื่อดินเหนียวถูกใส่เข้าไปในแม่พิมพ์ ไม่นานมันก็เป็นไปตามรูปทรงของแม่พิมพ์นั้น โลกอยากบีบอัดคริสเตียนให้มีรูปทรงของมัน โลกอยากบีบบังคับเราให้ปรับเปลี่ยนไปตามที่มันต้องการ แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราต้องดำเนินชีวิตด้วยวิถีแห่งการนมัสการ เพื่อปฏิเสธอิทธิพลของโลกนี้

การทดลองนี้อันตรายเป็นพิเศษเพราะเราสามารถปรับเปลี่ยนโดยไม่ตระหนักถึงแม่พิมพ์ ปลาว่ายอยู่ในน้ำไม่ได้คิดว่า “นี่คือน้ำ” มันเป็นเพียงโลกที่มันอาศัยอยู่เท่านั้น หนอนที่คลานไปบนดินไม่ได้คิดว่า “ตรงนี้สกปรก” มันเป็นเพียงโลกที่มันอาศัยอยู่เท่านั้น ถ้าหากเราไม่ระมัดระวัง การดำเนินชีวิตคริสเตียนในโลกที่เต็มไปด้วยความบาปนี้ก็จะไม่คิดว่า “นี่คือโลกที่เต็มไปด้วยความบาป” มันเป็นเพียงโลกที่เราอาศัยอยู่เท่านั้น

นี่คือเหตุผลที่ทำให้การนมัสการร่วมกันมีความสำคัญ ผู้เขียนฮีบรูเตือนว่าเราต้องไม่ละเลยการมาประชุมร่วมกัน ทำไมหรือ? เพราะนี่คือวิธีที่เราปฏิบัติตามคำสั่งอื่น ๆ เหล่านี้

  • “ให้เราเข้าไปใกล้ด้วยใจจริง ด้วยความไว้ใจเต็มที่…” (ฮีบรู 10:22)

  • “ให้เรายังคงยึดมั่นในความหวังที่ประกาศรับไว้นั้นโดยไม่หวั่นไหว…” (ฮีบรู 10:23)

  • “ให้เราพิจารณาดูเพื่อจะปลุกใจกันและกันให้มีความรักและทำความดี…” (ฮีบรู 10:24)

ในการนมัสการ เราได้รับการเตือนใจว่าเราไม่ได้เป็นของโลกนี้ เมื่อดาเนียลอยู่ที่บาบิโลน เขาถูกพรากจากพระวิหาร เขาไม่สามารถร่วมนมัสการกับชนชาติของเขาได้ ดาเนียลจึงอธิษฐานวันละสามครั้งตรงหน้าต่างห้องที่หันไปทางเยรูซาเล็ม (ดาเนียล 6:10) การนมัสการเสริมกำลังดาเนียลให้ยืนหยัดและต้านการถูกหล่อหลอมให้เข้ากับโลกของบาบิโลน เมื่อดาเนียลหันหน้าไปทางเยรูซาเล็ม เขาได้รับการเตือนใจว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พลเมืองของบาบิโลน ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองของเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าไม่นมัสการพระมาร์ดุก ข้าพเจ้ารับใช้พระเยโฮวาห์”[1]

วิถีแห่งการนมัสการหมายความว่า เราปฏิเสธไม่ให้ถูกบีบอัดลงในแม่พิมพ์ของโลกที่เราอยู่ นี่เป็นมากกว่าการต่อต้านการทดลองต่าง ๆ มากมาย เป็นมากกว่าการยึดถือกฎทั้งหลาย มันมากกว่ารูปแบบการแต่งกายอย่างใดอย่างหนึ่ง มากกว่าจรรยาบรรณ หรือวัฒนธรรมทางศาสนา แต่มันคือวิธีคิดและใช้ชีวิตทั้งหมด มันหมายถึงการประเมินทุกสิ่งในแง่ของอาณาจักรของพระเจ้า

ในฐานะคริสเตียน เราจะไม่มีวันลอกเลียนแบบวัฒนธรรมรอบตัวเรา หลังจากเลิกชั้นเรียนในประเทศจีนที่สอนเรื่องคำเทศนาบนภูเขา มีนักศึกษาคนหนึ่งพูดว่า “การดำเนินชีวิตเหมือนที่พระเยซูสอนทำได้ยากในประเทศจีน” ครูตอบว่า “อย่าแปลกใจ ที่อเมริกาก็ยากที่จะดำเนินชีวิตเหมือนที่พระเยซูสอนเหมือนกัน” ไม่ว่าวัฒนธรรมไหน วิถีชีวิตแห่งการนมัสการจะขัดแย้งกับวิญญาณของโลกนี้

แง่มุมเชิงบวกของวิถีชีวิตแห่งการนมัสการ

ถัดจากคำสั่งในเชิงลบ โรม 12 ต่อเนื่องด้วยคำสั่งในเชิงบวกว่า “แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ”

สิ่งตรงกันข้ามกับการลอกเลียนแบบคนในโลกนี้ไม่ใช่แค่มีความแตกต่างหรือมีบุคลิกเป็นของตัวเองเท่านั้น สิ่งตรงกันข้ามกับการลอกเลียนแบบคนในโลกนี้คือรับการเปลี่ยนแปลงไปจนกว่าคุณจะรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้า คริสเตียนบางคนลอกเลียนแบบวิถีชีวิตที่แตกต่างจากวัฒนธรรมของตัวเอง แต่พวกเขาไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แทนที่จะเป็นแบบนั้น พวกเขาเอามุมมองทางการเมือง สังคม หรือการแต่งกายตามวัฒนธรรมของโลกนี้มาแทนที่ พวกเขาไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ

พระคัมภีร์ฉบับ เจบี ฟิลลิปส์ แปลว่า “อย่าปล่อยให้โลกรอบตัวบีบอัดคุณลงในแม่พิมพ์ของมัน” (เชิงลบ) “แต่ปล่อยให้พระเจ้าสร้างคุณใหม่เพื่อทัศนคติในใจของคุณทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง” (เชิงบวก) ส่วนที่เหลือของพระธรรมโรมแสดงให้เห็นว่าจิตใจที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นอย่างไร

  • โรม 12: ผู้เชื่อที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจะใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณเพื่อรับใช้คนอื่น

  • โรม 13: ผู้เชื่อที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจะเคารพต่อสิทธิอำนาจในฐานะพลเมือง

  • โรม 14: ผู้เชื่อที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจะเคารพต่อจิตสำนึกของพี่น้องผู้เชื่อ

วิถีชีวิตแห่งการนมัสการไม่ได้จำกัดแค่พฤติกรรม การนมัสการเปลี่ยนวิธีการคิดของเราทั้งหมด ขอให้พิจารณาถึงผลกระทบจากการมีวิถีชีวิตแห่งการนมัสการ

  • ทวีปแอฟริกาจะมีลักษณะอย่างไรหากนักธุรกิจและนักการเมืองคริสเตียนเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเงินและอำนาจ?

  • คริสตจักรในเอเชียจะมีลักษณะอย่างไรหากผู้นำมองตนเองในฐานะผู้อารักขาเงินของพระเจ้า?

  • ชีวิตสมรสในอเมริกาจะมีลักษณะอย่างไรหากคริสเตียนมองเรื่องการนอกใจด้วยสายตาของพระเจ้าแทนที่จะมองด้วยสายตาของฮอลลีวูด?

วิถีชีวิตแห่งการนมัสการเปลี่ยนแปลงจิตใจของผู้เชื่อ การเปลี่ยนแปลงจิตใจได้เห็นได้ในชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจะเปลี่ยนสังคม วิถีชีวิตแห่งการนมัสการจะเปลี่ยนโลกของเราในที่สุด


[1]ถอดความมาจาก Tim Keep, Bible Methodist Missions คำเทศนาในห้องนมัสการที่ Hobe Sound Bible College เดือนพฤศจิกายน 2013

การนมัสการที่อันตราย: การนมัสการที่ปราศจากการเชื่อฟัง

ผู้เผยพระวจนะเตือนเกี่ยวกับการนมัสการที่ปราศจากการเชื่อฟัง ผู้คนในสมัยของเยเรมีย์เชื่อว่าพระวิหารจะปกป้องพวกเขาจากบาบิโลน เยเรมีย์ตอบสนองว่า “อย่าไว้วางใจในคำหลอกลวงเหล่านี้ที่ว่า ‘นี่เป็นพระวิหารของพระยาห์เวห์ พระวิหารของพระยาห์เวห์ พระวิหารของพระยาห์เวห์’” (เยเรมีย์ 7:4) “เพราะ...

ถ้าเจ้าซ่อมทางและการกระทำของเจ้าจริงๆ

ถ้าเจ้าให้ความยุติธรรมต่อกันและกันจริงๆ

ถ้าเจ้าไม่ข่มเหงคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อหรือแม่ม่าย และไม่ทำให้โลหิตที่ไร้ความผิดต้องหลั่งออกจนถึงตายในที่นี้ และถ้าเจ้าทั้งหลายไม่ติดตามพระอื่นไปให้เจ็บตัวเอง

แล้วเราจะให้เจ้าอาศัยอยู่ในสถานที่นี้ ในแผ่นดินซึ่งเราได้ยกให้แก่บรรพบุรุษของเจ้าตั้งแต่อดีตกาลจนตลอดไปเป็นนิตย์” (เยเรมีย์ 7:5-7)

คนอิสราเอลเชื่อว่าพวกเขาสามารถเอาพิธีกรรมมาแทนที่การเชื่อฟังได้ พวกผู้เผยพระวจนะเทศนาว่าพิธีกรรมที่ปราศจากการเชื่อฟังนั้นไร้ความหมาย

ในบางวัฒนธรรม การเชื่อฟังถูกแทนที่ด้วยการทำตามพิธีกรรม องค์ประกอบของการนมัสการยังปรากฏ บทเพลงพูดถึงความจริง มีการอ่านพระคัมภีร์และเทศนา มีการอธิษฐาน แต่กลับไม่มีการเชื่อฟังทำตามพระวจนะของพระเจ้า ชีวิตไม่ถูกเปลี่ยน นี่คือพิธีกรรม ไม่ใช่การนมัสการ

ในบางวัฒนธรรม การเชื่อฟังถูกแทนที่ด้วยการตอบสนองทางอารมณ์ เป้าหมายของการประชุมนมัสการคือเพื่อกระตุ้นความรู้สึก ดนตรีกระตุ้นอารมณ์ คำเทศนานำไปสู่คำเชิญชวนหรือช่วงเวลาอุทิศตัว อย่างไรก็ตาม การประชุมนมัสการไม่ตามมาด้วยชีวิตที่เชื่อฟังและยอมจำนนต่อพระเจ้า นี่คือารมณ์ ไม่ใช่การนมัสการ

การนมัสการในพระวิหารเฉลิมฉลองพันธสัญญาของอิสราเอลที่มีต่อพระเจ้า และเตือนใจอิสราเอลให้คิดถึงความรับผิดชอบต่อพันธสัญญานั้น ในคริสตจักรยุคแรก การนมัสการเฉลิมฉลองพันธสัญญาใหม่ที่พระเยซูจัดเตรียมให้ผ่านการตายของพระองค์ และเตือนใจคริสเตียนให้ระลึกถึงความรับผิดชอบของพวกเขาที่จะมีชีวิตที่บริสุทธิ์ การนมัสการที่ไม่ได้มีผลลัพธ์เป็นการเชื่อฟังก็หลอกลวง

การนมัสการที่แท้จริงเปลี่ยนแปลงผู้นมัสการ ตลอดทั้งหลักสูตรนี้ เราได้เห็นว่าผู้คนที่นมัสการอย่างแท้จริงได้รับการเปลี่ยนแปลง เป้าหมายของหลักสูตรนี้ไม่ได้มีเพียงให้คุณวางแผนดีขึ้นและนำนมัสการได้ดีขึ้น แต่เพื่อคุณจะเป็นผู้นมัสการที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงผ่านการนมัสการ แล้วคุณจึงจะนำคริสตจักรของคุณในการนมัสการที่เปลี่ยนแปลงสมาชิกแต่ละคนในที่ประชุมได้

บทสรุป: คำพยานของศิษยาภิบาล

อะไรคือผลกระทบของการนมัสการที่แท้จริง? ฟังศิษยาภิบาลจากคริสตจักรสเปนท่านหนึ่ง

“ในปี 1991 บรรยากาศฝ่ายวิญญาณของคริสตจักรเราอยู่ที่จุดต่ำสุด สมาชิกบางคนของเราติดกับดักของการผิดศีลธรรม เมื่อเราลงวินัยสมาชิกที่ล้มลงในบาป คริสตจักรแก้แตกแยก ในที่สุดเมื่อมาถึงจุดแตกหักฝ่ายวิญญาณและอารมณ์ ผู้เชื่อใหม่แนะนำให้เราอดอาหารและอธิษฐานในวันอาทิตย์ทั้งวัน เราทำสิ่งนี้และพระเจ้าเริ่มเคลื่อนไหวท่ามกลางเรา

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เราเริ่มต้นค่ายประจำปี ยังมีความแตกแยกบางส่วนอยู่ในคริสตจักร เมื่อนักประกาศเริ่มเทศนาในคืนวันพุธ เขารู้สึกว่าพระเจ้าขอให้เขาร้องเพลง ‘พระเจ้ายิ่งใหญ่’

ขณะที่เขาร้องเพลงสรรเสริญยิ่งใหญ่นี้ พระสิริของพระเจ้าเทลงมาเหนือฝูงชนที่หิวกระหาย บางคนตอบสนองด้วยการสรรเสริญ บางคนเริ่มแสวงหาพระเจ้าที่จะถวายตัวที่แท่นบูชา ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งในคริสตจักรร้องไห้น้ำตาท่วมทะลัก เธอสารภาพต่อหน้าคน 400 คนว่า “ฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่มีความสุขมากที่สุดเพราะฉันทำบาปต่อพระเจ้าและต่อคริสตจักรของพระองค์โดยเก็บการไม่ให้อภัยไว้ในใจของฉัน ฉันขอพระเจ้ายกโทษให้ฉัน และฉันขอให้ทุกคนในคริสตจักรยกโทษให้ฉันด้วย”

เมื่อคำเหล่านั้นออกมาจากปากของเธอ คนอื่นก็คืนดีกัน ในเย็นวันนั้น พระเจ้ารื้อฟื้นความเป็นหนึ่งเดียวกันในคริสตจักรของเรา เมื่อคนของพระเจ้าถ่อมตัวลงอธิษฐานและอดอาหาร และเมื่อผู้รับใช้ของพระเจ้าเชื่อฟังการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราถูกนำเข้าสู่การสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ ความบาปได้รับการสารภาพ ความเป็นหนึ่งเดียวกันได้รับการรื้อฟื้นคืนมาใหม่ นี่คือผลลัพธ์ของการนมัสการที่แท้จริง[1]


[1]คำพยานของ Reverend Sidney Grant, Hope International Missions

ทบทวนบทที่ 10

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) การนมัสการร่วมกันเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ วิถีชีวิตแห่งการนมัสการเกิดขึ้นในทุกวัน ทั้งสองอย่างมีความสำคัญตามมุมมองของพระคัมภีร์เกี่ยวกับการนมัสการ

(2) การนมัสการที่แท้จริงแสดงให้เห็นสิ่งที่เราให้คุณค่าจริง ๆ

(3) การนมัสการเปลี่ยนสิ่งที่เราให้คุณค่า

(4) วิถีแห่งการนมัสการหมายถึงการดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า นี่หมายความว่าพระเจ้าจะเป็นศูนย์กลางของชีวิตทุกด้าน

(5) ต้นแบบในพระคัมภีร์สำหรับวิถีชีวิตแห่งการนมัสการอยู่ใน โรม 12:2 ประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้

  • แง่มุมเชิงลบ: “อย่าลอกเลียนแบบคนในโลกนี้”

  • แง่มุมเชิงบวก: “จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ”

งานมอบหมายบทที่ 10

(1) เขียนรายงานเรื่อง “ศาสนศาสตร์ของฉันเกี่ยวกับการนมัสการ” ด้วยความยาว 3-4 หน้ากระดาษ โดยเนื้อหารายงานควรแสดงให้เห็นวิธีการนมัสการที่เป็นไปตามหลักการพระคัมภีร์ เนื้อหาควรรวมทั้งหลักการพระคัมภีร์และการปฏิบัติ

(2) เทศนาหัวข้อการนมัสการที่แท้จริงจากพระธรรมยอห์น 4:23-24

(3) งานมอบหมายเพื่อจบหลักสูตร: เขียนรายงานหนึ่งหน้ากระดาษส่งให้หัวหน้าชั้น เขียนสรุปสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จาก “เส้นทางแห่งการนมัสการ 30 วัน” คุณไม่จำเป็นต้องส่งสมุดจดบันทึกของคุณ ให้กับหัวหน้าชั้นเรียน

(4) แบบทดสอบข้อสุดท้าย คือ เขียน 1 โครินธ์ 10:31 จากการท่องจำ