[1] การนมัสการแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เราให้คุณค่า
เราถูกสร้างมาเพื่อนมัสการ พวกเราทุกคนนมัสการบางสิ่งหรือบางคน เรานมัสการสิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุด การนมัสการพูดว่า “นี่คือสิ่งที่เป็นอันดับหนึ่งในชีวิตของฉัน”
ผู้คนมากมายนมัสการเงิน งาน ตำแหน่ง ความสัมพันธ์ หรือความพึงพอใจ สิ่งเหล่านั้นเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตของพวกเขา คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณนมัสการอะไร? ให้มองดูที่ชีวิตของคุณเอง อะไรที่คุณใช้พลังงานกับมันมากที่สุด ใช้เวลา และเงินมากที่สุด? นั่นคือสิ่งที่คุณตัดสินใจให้มีค่ามากที่สุด นั่นคือสิ่งที่คุณนมัสการ[2]
มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สมควรรับการนมัสการ ทุกสิ่งอื่น ๆ เป็นรอง วิถีชีวิตแห่งการนมัสการย่อมให้พระเจ้าเป็นอันดับหนึ่งเหนือทุกสิ่ง ผู้นมัสการที่แท้จริงให้พระเจ้านั่งบนบัลลังก์ชีวิตของพวกเขา พระองค์มีคุณค่าสูงสุด นั่นหมายความว่า สำหรับผู้นมัสการที่แท้จริง ทุกส่วนในชีวิตอยู่เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
การนมัสการที่แท้จริงเปลี่ยนสิ่งที่เราให้คุณค่า
ในอิสยาห์บทที่ 6 เราห็นว่าการนมัสการที่แท้จริงคือการเปลี่ยนแปลง การนมัสการไม่ได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เราให้คุณค่าเท่านั้น แต่เปลี่ยนสิ่งนั้นที่เราให้คุณค่าด้วย
การนมัสการไม่ว่าต่อพระเจ้าหรือรูปเคารพ จะเปลี่ยนสิ่งที่เราเป็น สดุดี 115:8 แสดงให้เห็นว่าการนมัสการรูปเคารพเปลี่ยนให้เราชั่วร้าย “ผู้ที่ทำรูปเหล่านั้นจะเป็นเหมือนรูปเหล่านั้น ทุกคนที่วางใจในรูปเหล่านั้นก็เช่นกัน” ผู้นมัสการรูปเคารพกลายเป็นเหมือนรูปเคารพของพวกเขา คนที่นมัสการเงินก็จะกลายเป็นคนที่โลภมากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่นมัสการความพึงพอใจก็จะเป็นทาสของความพึงพอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่นมัสการชื่อเสียงก็จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางมากขึ้นเรื่อย ๆ เราเป็นเหมือนสิ่งที่เรานมัสการ
[3] ในทำนองเดียวกัน คนที่นมัสการพระเจ้าก็เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ “แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว และมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป” (2 โครินธ์ 3:18) ในการนมัสการเราได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระเจ้า
เมื่อเรานมัสการ คุณค่าที่เราให้ก็เปลี่ยนไป ในฐานะผู้นมัสการ เราต้องถามว่า “การนมัสการเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันไหม?”
การดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าเกี่ยวข้องกับชีวิตทุกด้าน
การนมัสการเป็นดั่งวิถีชีวิตหมายความว่าทุกด้านของชีวิตอยู่เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า คริสเตียนจำนวนมากแบ่งชีวิตของพวกเขาเป็นสองด้านที่ไม่เกี่ยวข้องกันคือ ด้านที่ศักดิ์สิทธิ์ (วันอาทิตย์) กับด้านของโลก (จันทร์-เสาร์) พวกเขาใช้ชีวิตในฐานะ “คริสเตียนวันอาทิตย์” พวกเขามาร่วมคริสตจักรและกล่าวอ้างความเชื่อแบบคริสเตียน แต่การนมัสการในวันอาทิตย์ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อจริยธรรมในการทำธุรกิจในวันจันทร์ ชีวิตครอบครัววันพุธ หรือความบันเทิงในวันเสาร์เลย
คำว่า โลก หมายถึงชีวิตในโลกนี้ คริสเตียนถูกเรียกให้ใช้ชีวิตในโลกอย่างถวายเกียรติแด่พระเจ้า คริสเตียนถูกเรียกให้ใช้ชีวิตในวันจันทร์ด้วยวิธีที่แสดงให้เห็นผลกระทบจากการนมัสการในวันอาทิตย์ เมื่อจบการประชุมนมัสการ เราต้องถามตัวเองว่า “ฉันจะทำอะไรวันพรุ่งนี้เพื่อให้การนมัสการในวันนี้เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ?” นี่คือชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
การดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าเป็นแบบไหน?
การใช้ชีวิตเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าหมายความว่า ชีวิตทุกด้านได้รับการควบคุมโดยภาระใจสำหรับพระเจ้า หมายความว่ารักพระเจ้าจนถึงจุดที่การทำให้พระเจ้าพอพระทัยคือความยินดีสูงสุดของเรา มีคนหนึ่งพูดว่าการรักใครบางคนหมายถึงการพัวพันอยู่กับเขา “คุณรักใคร (หรือสิ่งใด) ที่คุณคิดถึงตลอดโดยไม่คิดถึงอย่างอื่น”
ในทำนองเดียวกัน ลูอี กีกลิโอ ได้แนะนำว่า “เรารู้ว่าสิ่งใดสูงสุดในจิตวิญญาณของเราโดยสิ่งที่ออกมาจากปากของเรา”[4] เราพูดถึงสิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุด
นั่นอาจดูเหมือนง่ายเกินไป แต่ลองพิจารณาดู คนที่รักเงินพูดถึงอะไร? เงิน พวกเขาเชิดชูเงิน แฟนกีฬาพูดถึงอะไร? กีฬา พวกเขาเชิดชูทีมกีฬาที่พวกเขาชื่นชอบ
นี่หมายความว่าคริสเตียนจะต้องพูดถึงพระคัมภีร์ในทุกสถานการณ์หรือไม่? ไม่ใช่ แต่หมายความว่าทุกสิ่งที่เราพูดจะถวายเกียรติพระเจ้า เมื่อเราตัดสินใจทางธุรกิจ เราไม่อาจพูดกับเพื่อนร่วมงานของเราได้ว่า “การตัดสินใจนี้ต้องถวายเกียรติพระเจ้า” แต่การถวายเกียรติพระเจ้าจะมีผลต่อการตัดสินใจของเรา เมื่อเราต้องฝึกวินัยลูกของเรา เราไม่อาจเริ่มต้นบทสนทนาว่า “ลูก พ่ออยากให้การสั่งสอนลูกครั้งนี้เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า” แต่เราจะถามตัวเองว่า “การฝึกวินัยนี้ทำให้พระเจ้าพอพระทัยหรือฉันระบายความโกรธของฉัน? พระบิดาในสวรรค์จะฝึกวินัยฉันแบบนี้ไหม?”
ในฐานะคริสเตียน เราตัดสินใจทุกอย่างเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า การนมัสการเป็นดั่งวิถีชีวิตหมายความว่าพระเจ้าและเกียรติของพระองค์เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งที่เราทำ
ในบทแรก ๆ เราเห็นว่าถ้าไม่มีพระคุณแล้ว การนมัสการ่วมกันก็จะกลายเป็นการทำตามกฎที่เราถามว่า “เราจะนมัสการอย่างไรเพื่อให้ได้ความโปรดปรานจากพระเจ้า?” ในทำนองเดียวกัน ถ้าไม่มีพระคุณแล้ว วิถีชีวิตแห่งการนมัสการก็จะกลายเป็นการทำตามกฎซึ่งเป็นภาระหนัก โดยเราจะถามว่า “จะเป็นยังไงถ้าการตัดสินใจนี้ไม่ดีที่สุดเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า? ถ้าฉันทำมันพัง พระเจ้าจะโกรธฉันไหม?”
เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างกับการนมัสการที่เป็นการทำตามกฎ การนมัสการโดยพระคุณของพระเจ้ากลายเป็นสิทธิพิเศษอันยอดเยี่ยม การนมัสการร่วมกันโดยพระคุณของพระเจ้าคือโอกาสเฉลิมฉลองผู้ที่พระเจ้าเป็นและสิ่งที่พระองค์ได้ทำ เช่นกันวิถีแห่งการนมัสการ (เมื่อใช้ชีวิตโดยพระคุณของพระเจ้า) เป็นโอกาสถวายเกียรติพระเจ้าในทุกวันของชีวิต
การตัดสินใจเกี่ยวกับธุรกิจในวันจันทร์ไม่ใช่ความพยายามที่ทำให้ขาดความสุขเพื่อทำตามธรรมบัญญัติของพระเจ้า มันคือโอกาสแห่งความชื่นชมยินดีเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าด้วยจริธรรมที่สอดคล้องกับพระลักษณะของพระองค์ การฝึกวินัยลูกไม่ได้เป็นความพยายามที่ทำให้ขาดความสุขเพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้พระเจ้าไม่พอพระทัย แต่มันคือโอกาสแห่งความชื่นชมยินดีที่จะทำตามแบบอย่างพระลักษณะของพระเจ้าต่อลูกของคุณ พระคุณเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้เป็นวิถีแห่งการนมัสการ
[1]
“ทุกคนมีแท่นบูชา ทุกแท่นบูชามีบัลลังก์ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณนมัสการอะไรอยู่? ง่ายมาก แค่เดินตามเส้นทางการใช้เวลาของคุณ ความรักชื่นชอบ พลังงาน เงิน และความภักดีของคุณไป ที่สุดปลายทางคุณจะพบกับบัลลังก์ และไม่ว่าสิ่งใดหรือใครก็ตามที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ นั่นคือคุณค่าสูงสุดสำหรับคุณ บนบัลลังก์นั้นคือสิ่งที่คุณนมัสการ”
- ลูอี กีกลิโอ
[2] ดัดแปลงจาก Louie Giglio,
The Air I Breathe: Worship as a Way of Life. (Sisters, OR: Multnomah Publishers, 2003)
[3]
การนมัสการไม่ใช่แค่บางสิ่งที่เราทำ แต่การนมัสการ
ทำบางสิ่งเพื่อเรา
[4] Louie Giglio, “สดุดี 16” ใน Matt Redman and Friends,
Inside, Out Worship (Ventura: Regal Books, 2005), 78
Previous
Next