แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
แนะนำการนมัสการ แบบคริสเตียน
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 5: การนมัสการในประวัติศาสตร์คริสตจักร

1 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) เคารพความแตกต่างระหว่างประเพณีที่หลากหลายในการนมัสการ

(2) เข้าใจความแตกต่างระหว่างหลักการที่ไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับการนมัสการกับการปฏิบัติที่เปลี่ยนแปลงได้ในการนมัสการ

(3) ยอมรับว่าการนมัสการสะท้อนหลักข้อเชื่อทางศาสนาศาสตร์ของเราและมีอิทธิพลต่อความเชื่อเหล่านั้น

(4) นำบทเรียนจากประเพณีที่หลากหลายในการนมัสการของคริสตจักรมาประยุกต์ใช้กับการนมัสการในปัจจุบัน

การเตรียมตัวสำหรับบทเรียนนี้

ท่องจำสดุดี 100:1-5

บทนำ

เจมส์ให้คุณค่าต่อการนมัสการตามประเพณี ในการพบปะกับเอโนคผู้ที่นำการประชุมนมัสการแบบร่วมสมัยเป็นประจำทุกเดือน เขาถามเอโนคว่า “ทำไมคุณจะต้องพยายามทำอะไรใหม่ ๆ ในการประชุมนมัสการของคุณด้วย?”

เจมส์พูดว่า “เราทำตามหลักการพระคัมภีร์ ถ้าหากพระคัมภีร์ไม่ได้สั่งให้ทำอะไรเจาะจงในการนมัสการ เราก็ไม่มีอิสระที่จะเพิ่มอะไรเข้าไปในการนมัสการของคริสตจักรยุคแรก เราเป็นใครหรือที่จะมาเปลี่ยนการนมัสการตามหลักพระคัมภีร์? ในคริสตจักรของเรา เราร้องเพลงสดุดี เพลงเหล่านั้นเป็นเพลงในคริสตจักรยุคแรก เป็นเพลงที่ดีเพียงพอแล้วสำหรับพวกเรา!”[1]

เอโนคตอบสนองว่า “ผมรู้สึกเหมือนกับคุณคิดว่าประวัติศาสตร์หยุดลงที่ตอนจบของพระธรรมวิวรณ์ เราจะจำกัดตัวเองอยู่กับรูปแบบการนมัสการที่ยาวนานมา 2,000 ปีแล้วได้อย่างไร? ตราบใดที่พระคัมภีร์ไม่ได้ห้ามปฏิบัติ และตราบใดที่การปฏิบัตินั้นไม่ได้ทำให้คริสตจักรแตกแยก เราควรปรับเปลี่ยนการนมัสการให้เข้ากับความจำเป็นของที่ประชุมของเรา ในคริสตจักรของผม เราร้องเพลงใหม่หลายเพลง ถ้าพระเจ้าต้องการห้ามเพลงบทใหม่ พระคัมภีร์ก็ควรแสดงให้เห็นแล้วว่าห้ามมี”[2]

การตอบสนองของเจสันเป็นไปในเชิงปฏิบัติ “เราได้ศึกษาสิ่งที่พระคัมภีร์บอกไว้เกี่ยวกับการนมัสการแล้ว เรารู้หลักการนมัสการจากพระคัมภีร์ เราจำเป็นต้องดูว่าคริสเตียนคนอื่นๆ เขาได้ประยุกต์ใช้หลักการเหล่านี้อย่างไรในแต่ละยุค ดูว่าการนมัสการเป็นอย่างไรในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร?”

เจสันเข้าใจหลักการที่สำคัญเมื่อพูดคุยกันเรื่องการนมัสการ แม้ว่าหลักการพระคัมภีร์เกี่ยวกับการนมัสการไม่เปลี่ยนแปลง แต่ประสบการณ์แต่ละอย่างในการนมัสการก็แตกต่างกัน มีรายละเอียดต่างกัน แต่องค์ประกอบสำคัญในการนมัสการยังคงเหมือนเดิม เราได้เห็นหลักการสำคัญของการนมัสการในสองบทเรียนก่อนหน้า แต่รายละเอียดเปลี่ยนแปลงได้ ขอให้พิจารณาสิ่งต่อไปนี้

  • อับราฮัมอยู่ที่ประตูเต็นท์เมื่อเขานมัสการ บางคนอาจอ่านเรื่องนี้แล้วพูดว่า “การนมัสการที่แท้จริงเกิดขึ้นขณะที่คุณอยู่ที่บ้าน” แต่...

  • อิสยาห์อยู่ในพระวิหารเมื่อเขาเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับการยกชูขึ้น บางคนอาจอ่านเรื่องนี้แล้วพูดว่า “การนมัสการที่แท้จริงเกิดขึ้นขณะที่คุณอยู่ที่คริสตจักร” แต่...

  • โยบมีฝีเต็มตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าขณะที่เขาพูดว่า “ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู แต่บัดนี้ดวงตาข้าพระองค์เห็นพระองค์” (โยบ 42:5) บางคนอาจอ่านเรื่องนี้แล้วพูดว่า “ใช่เลย การนมัสการที่แท้จริงเกิดขึ้นขณะที่คุณทุกข์ทน”

คุณมองเห็นประเด็นสำคัญไหม? การนมัสการเกิดขึ้นในหลายสภาพการณ์ หลายวิธีการ และตามด้วยหลายรูปแบบ เรามักสับสนกับการนมัสการที่เปลี่ยนแปลงตามสภาพการณ์กับหลักการที่ไม่เปลี่ยนแปลง

ในบทเรียนนี้ เราจะเห็นว่าคริสตจักรได้ประยุกต์ใช้หลักการของการนมัสการตลอดประวัติศาสตร์อย่างไร สิ่งนี้จะทำให้คุณเข้าใจถึงวิธีการต่างๆ ที่คนของพระเจ้านมัสการ หวังว่าสิ่งนี้จะช่วยให้คุณเห็นว่าไม่มีแบบแผนเดียวสำหรับการนมัสการที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามในทุกสถานการณ์ แต่เราต้องแสวงหาการทรงนำจากพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อพิจารณาว่าจะใช้หลักการนมัสการตามพระคัมภีร์กับสถานการณ์ของเราอย่างไร

ในบทเรียนนี้ เราจะเห็นด้วยวิธีที่เรานมัสการสะท้อนให้เห็นความเชื่อของเรา การปฏิบัติในการนมัสการของเราได้รับอิทธิพลจากความเชื่อของเราเกี่ยวกับพระเจ้าและวิธีที่เราเข้าหาพระองค์

ความเข้าใจนี้สำคัญมากเมื่อคุณตัดสินใจเกี่ยวกับการนมัสการ คุณจัดการประชุมนมัสการด้วยวิธีที่สื่อสารความเชื่อของคุณ หรือคุณเพียงแค่ลอกเลียนแบบคริสตจักรอื่นเท่านั้น? ถ้าหากคุณลอกเลียนแบบอีกคริสตจักรหนึ่ง คุณต้องมั่นใจว่าคุณร่วมในความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าและวิธีการเข้าหาพระเจ้าของคริสตจักรนั้น การนมัสการของเราแสดงให้เห็นสิ่งที่เราเชื่อ

► ก่อนศึกษาต่อในบทเรียนนี้ ให้อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับการนมัสการในปัจจุบันของคุณ ถ้ามีคนไม่รู้เกี่ยวกับหลักคำสอนของคุณ รูปแบบการนมัสการของคุณจะบอกพวกเขาว่าอย่างไร? พวกเขาจะได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับมุมมองของคุณที่มีต่อพระเจ้า มุมมองของคุณเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า และมุมมองของคุณต่อการประกาศอันเป็นผลมาจากการนมัสการของคุณ?


[1]สิ่งนี้เรียกว่า “กฎข้อบังคับ” ของการนมัสการ คำสอนนี้สอนโดยจอห์น คาลวิน ห้ามการนมัสการใดๆ ที่ไม่ได้กำหนดไว้ในพระคัมภีร์ เดิมที สิ่งนี้จะป้องกันไม่ให้มีเครื่องดนตรีบรรเลงใดๆ (เนื่องจากเครื่องดนตรีไม่ได้กล่าวถึงในการนมัสการในพันธสัญญาใหม่) หรือการใช้เพลงอื่นใดนอกเหนือจากเพลงสดุดี คริสตจักรบางแห่งที่ปฏิบัติตามหลักการนี้ในปัจจุบันได้เพิ่มเครื่องดนตรีและเพลงสรรเสริญ แต่พวกเขายังคงหลีกเลี่ยงแนวทางใหม่ในการนมัสการ
[2]สิ่งนี้เรียกว่า “หลักบรรทัดฐาน” เกี่ยวกับการนมัสการ ซึ่งสอนว่าการปฏิบัติใด ๆ ในการนมัสการที่ไม่ได้ห้ามไว้ในพระคัมภีร์ย่อมทำได้ ตราบใดที่การปฏิบัตินั้นไม่ได้ทำลายสันติสุขและความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร

ภาพของการนมัสการในศตวรรษที่สอง

ภาพการนมัสการล่าสุดของเราหลังจากพันธสัญญาใหม่อยู่ในจดหมายจาก ค.ศ. 113 พลินีคือผู้ว่าของบิธีเนีย ได้อธิบายถึงการนมัสการของคริสเตียนในจดหมายถึงจักรพรรดิทราจัน[1] เขาเขียนว่าพวกคริสเตียน “รวมตัวกันในวันที่กำหนดไว้ก่อนรุ่งสางและร้องเพลงสรรเสริญพระคริสต์เหมือนร้องแด่พระเจ้าองค์หนึ่ง และพวกเขากล่าวคำสาบานว่า...จะไม่ขโมย ไม่ฉ้อโกง ไม่ล่วงประเวณี...เป็นธรรมเนียมของพวกเขาที่จะแยกย้ายกันและกลับมาภายหลังเพื่อกินอาหารด้วยกัน”

ตามคำกล่าวของพลินี คริสเตียนพบกันก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นในวันอาทิตย์เพื่อร้องเพลงสรรเสริญและปฏิญาณตนว่าประพฤติตามหลักจริยธรรม ซึ่งอาจเป็นการตอบสนองต่อการอ่านพระคัมภีร์ ต่อมาในวันนั้น พวกเขาก็รับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งอาจรวมถึงอาหารมื้อค่ำขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย

สี่สิบปีต่อมา จัสติน มาร์ไทร์ (Justin Martyr) ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนมัสการ[2] จัสตินเขียนเพื่อปกป้องการนมัสการของคริสเตียนต่อจักรพรรดิโรมันที่สงสัยว่าคริสเตียนทำผิดศีลธรรมและไม่ซื่อสัตย์ต่อจักรวรรดิ จัสตินรับรองกับจักรพรรดิว่าการนมัสการของคริสเตียนไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อโรม ตามที่จัสตินกล่าวไว้ การนมัสการของคริสเตียนมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้

1. การอ่านพระคัมภีร์

2. คำเทศนาโดยผู้นำของชุมนุมชน

3. การอธิษฐาน แต่ละคนอธิษฐานแบบเงียบเสียง จากนั้นผู้นำจึงนำอธิษฐานแบบทางการซึ่งผู้คนจะตอบสนองว่า “อาเมน” เมื่อจบการอธิษฐาน ผู้นมัสการจะทักทายกันด้วยจุบอันบริสุทธิ์ซึ่งแสดงถึงการสถิตอยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์

4. การประชุมนมัสการปิดท้ายด้วยพิธีมหาสนิท หลังจากประชุมนมัสการ มัคนายกสองคนนำขนมปังและเหล้าองุ่นที่ยังคงเหลืออยู่ไปหาคริสเตียนที่ป่วยหรืออยู่ในคุกเพื่อรอการพลีชีพ

5. ในช่วงจบการประชุมนมัสการ คนที่มีเงินหรืออาหารก็จะนำมาเป็นของถวายส่งให้กับผู้นำ ของถวายต่าง ๆ เอาไปให้ “เด็กกำพร้าและแม่ม่าย คนที่มีความขัดสนเพราะเจ็บป่วยหรือสาเหตุอื่น ๆ และให้คนที่เป็นเชลยกับคนแปลกหน้าในหมู่พวกเรา”

จุดแข็งอย่างหนึ่งของการนมัสการในศตวรรษที่สองคือการมีส่วนร่วมของที่ประชุม ทั้งพลินีและจัสติน มาร์ไทร์ อธิบายถึงการประชุมนมัสการที่เรียบง่าย ไม่มีอะไรเหมือนพิธีกรรมซับซ้อนซึ่งพบได้ในศาสนาลึกลับของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าที่อยู่ในกรุงโรม การนมัสการคือความสนิทสนมในกลุ่มย่อยที่มารวมตัวกันในบ้านส่วนตัว

จุดแข็งอีกอย่างคือความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างการนมัสการกับชีวิต จดหมายของพลินีเอ่ยถึงการอุทิศตัวของคริสเตียนเพื่อมีความประพฤติทางจริยธรรม จัสตินเอ่ยถึงของขวัญที่มีไว้ช่วยเหลือคนยากจนขัดสน การนมัสการเกี่ยวข้องกับชีวิตทุกด้าน

► แง่มุมใดของการนมัสการในศตวรรษที่สองที่เป็นประโยชน์ต่อการนมัสการของคุณบ้าง? คุณเห็นอันตรายอะไรในการนมัสการของยุคศตวรรษที่สองไหม?


[1]Pliny, Letters 10.96-97, Retrieved from https://faculty.georgetown.edu/jod/texts/pliny.html on January 26, 2023
[2]Justin Martyr, (Translated by Marcus Dods), The First Apology of Justin (Chapter 67). Retrieved from https://en.wikisource.org/wiki/Ante-Nicene_Christian_Library/The_First_Apology_of_Justin_Martyr#Chapter_67 on January 26, 2023

ภาพของการนมัสการในยุคกลาง

สำหรับภาพที่สองของการนมัสการ ไปที่ศตวรรษที่ 12 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ศาสนาคริสต์ได้กลายเป็นศาสนาอย่างเป็นทางการของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ หลังจากพระราชกฤษฎีกาแห่งมิลานของคอนสแตนตินในปี ค.ศ. 313 ชุมนุมชนต่างๆ ก็เริ่มสร้างอาคารโบสถ์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ มหาวิหารในยุโรปหลายแห่งถูกสร้างขึ้นในช่วง 1,000 ปีนี้

ในยุคกลาง การนมัสการมีความยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในด้านบวก การนมัสการในโบสถ์แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า หน้าต่างกระจกสีแสดงภาพเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ให้กับผู้ที่อ่านไม่ออก คณะนักร้องประสานเสียงร้องเพลงอันไพเราะ การนมัสการเป็นเรื่องน่าทึ่งและสวยงาม

จุดอ่อนของการนมัสการในยุคกลาง

ความงดงามสำคัญยิ่งกว่าฝ่ายวิญญาณ

ใช้สิ่งต่าง ๆ ที่สวยงามในการนมัสการเป็นจุดเน้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหอม ดนตรีอันไพเราะที่ขับร้องโดยนักร้องที่ได้รับการฝึกฝน ระฆัง และเครื่องแต่งกายพิเศษสำหรับนักบวช ศิลปะมีความสำคัญมากยิ่งกว่าฝ่ายวิญญาณ

ผู้คนไม่สามารถเข้าใจความหมายในการประชุมนมัสการได้

การประชุมนมัสการใช้ภาษาละตินซึ่งมีน้อยคนที่จะเข้าใจ พวกนักบวชท้องถิ่นก็ได้รับการฝึกฝนมาน้อยมากเพื่อให้เทศนา คำอธิษฐานก็เป็นการปะติดปะต่อเนื้อหาจากหลายแหล่งและมักจะไม่เข้ากันทำให้ไม่เข้าใจ

ผู้คนเป็นผู้เฝ้าดู ไม่ได้เป็นผู้นมัสการอย่างแข็งขัน

ผู้คนมีส่วนร่วมน้อย ที่ประชุมเป็นกลุ่มคนเฝ้าดูการแสดงคือ พิธีมิสซา พวกนักบวชประกอบกิจในการนมัสการขณะที่ผู้ชมนั่งดู จุดเน้นของการประชุมนมัสการคือพิธีมหาสนิทแทนที่จะเป็นพระคัมภีร์

คริสตจักรโรมันคาธอลิกสอนว่า ขนมปังและเหล้าองุ่นคือกายและเลือดจริง ๆ ของพระคริสต์ (นี่คือหลักคำสอนเรื่องการเปลี่ยนสภาพ) ฆราวาสส่วนใหญ่ได้รับพิธีมหาสนิทในวันอีสเตอร์ นักบวชดื่มเหล้าองุ่นและแบ่งขนมปังให้กับที่ประชุม

ข่าวประเสริฐถูกแทนที่ด้วยพิธีกรรม

การนมัสการของเราหล่อหลอมความเชื่อ เรามองเห็นหลักการนี้เป็นจริงในยุคกลาง การนมัสการของโรมันคาธอลิกหล่อหลอมศาสนศาสตร์ของพวกเขา พระเจ้าถูกมองว่าอยู่ห่างไกลจนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับมนุษย์ ฆราวาสไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาสามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้ แต่พวกเขากลับพูดกับพระเจ้าผ่านทางนักบวช นักบวชกลายมาเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์

จุดแข็งของการนมัสการในยุคกลางคือการเน้นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความเกรงขามต่อพระองค์ โดยผ่านทางสถาปัตยกรรม ดนตรี ละคร และศิลปะที่งดงาม ทำให้การนมัสการสำแดงถึงพระสิริของพระเจ้าได้

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของการนมัสการในยุคกลางมีมากกว่าจุดแข็ง คริสเตียนธรรมดาเป็นเพียงผู้ชมในที่ประชุมนมัสการ ในหลาย ๆ ด้าน การนมัสการในยุคกลางเป็นการละทิ้งการนมัสการในพันธสัญญาใหม่อย่างน่าเศร้าใจ

การนมัสการที่อันตราย: การนมัสการที่ไร้ความหมาย

เราต้องใช้เวลาเพื่อสอนที่ประชุมของเราถึงเหตุผลที่เรานมัสการอย่างที่ทำอยู่ ไม่เช่นนั้นประเพณีที่มีความความหมายก็จะไร้ความหมายสำหรับผู้นมัสการ

ผู้เชื่อใหม่คนหนึ่งถามศิษยาภิบาลของเขาว่า “ทำไมเราถึงพูดว่า ‘อาเมน’ ตอนจบคำอธิษฐาน? คำว่า ‘อาเมน’ เป็นคำขลังที่ทำให้พระเจ้าทำในสิ่งที่เราขอหรือเปล่า?” ศิษยาภิบาลตระหนักว่าเขาควรอธิบายรายละเอียดของการนมัสการ บางสิ่งที่เรียบง่ายอย่างเช่น “อาเมน” สามารถเป็นสิ่งไร้ความหมายได้ถ้าหากเราไม่สอนที่ประชุมของเราเกี่ยวกับการนมัสการ

ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาสัญลักษณ์และความลี้ลับออกไปจากการนมัสการ ทางออกคือการสอนที่ประชุมถึงความหมายของการปฏิบัติในการนมัสการของเรา พวกเขาควรรู้ว่าทำไมเราจึงใช้ภาษาที่เราใช้อยู่ พวกเขาควรรู้ว่าทำไมการร้องเพลงของที่ประชุมจึงสำคัญสำหรับที่ประชุม พวกเขาควรรู้ว่าพระคัมภีร์หมายความว่าอย่างไร

► มีแง่มุมใดของการนมัสการในยุคกลางที่เป็นประโยชน์ต่อการนมัสการของคุณ? คุณเห็นอันตรายอะไรในการนมัสการของยุคกลางบ้างไหม?

ภาพของการนมัสการในยุคปฏิรูป

ผู้ปฏิรูปรู้ดีว่าการนมัสการของเราหล่อหลอมศาสนศาสตร์ของเรา เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงรู้ว่าความจริงด้านศาสนศาสตร์ของกลุ่มปฏิรูปจะสูญหายไปหากไม่ให้การนมัสการสะท้อนถึงศาสนศาสตร์ของกลุ่มปฏิรูป

ศาสนศาสตร์หลักของกลุ่มปฏิรูปคือฐานะปุโรหิตของผู้เชื่อ หมายความว่าผู้เชื่อนมัสการพระเจ้าได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านนักบวช กลุ่มปฏิรูปเชื่ออย่างแข็งขันว่าพระวจนะของพระเจ้าต้องมีไว้สำหรับผู้เชื่อทุกคน

การนมัสการในยุคปฏิรูปพยายามให้ผู้นมัสการทุกคนมีส่วนร่วม การนมัสการด้วยภาษาที่ผู้คนเข้าใจ ไม่ใช่ละติน พระคัมภีร์ได้รับการอ่านและเทศนาเพื่อผู้นมัสการทุกคนจะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ด้วยภาษาของพวกเขาเอง ดนตรีในที่ประชุมเปิดให้ผู้นมัสการมีส่วนร่วมในการนมัสการ มาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) เป็นนักแต่งเพลง และบทเพลงของเขาได้รับการยกย่องว่าช่วยเผยแพร่การปฏิรูป

นอกเหนือจากด้านทั่วไปเหล่านี้ ก็ยังมีความขัดแย้งเกิดขึ้นท่ามกลางกลุ่มปฏิรูปเกี่ยวกับการนมัสการ นิกายลูเธอรันและแองกลิกันยังคงรักษาพิธีกรรมของนิกายโรมันคาธอลิกไว้อย่างมาก ลูเธอร์เชื่อว่า เว้นแต่พวกเขาจะถูกพระคัมภีร์ห้าม หรือทำให้เกิดความขัดแย้งในคริสตจักรแล้ว การนมัสการแบบใหม่ก็ควรอนุญาตให้ปฏิบัติได้

คาลวิน (Calvin) และผู้ติดตามของเขายึดมั่นในพิธีกรรมบางอย่าง แต่ปฏิเสธการปฏิบัติในการนมัสการใด ๆ ที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างเจาะจงในพระคัมภีร์ คาลวินสนับสนุนให้ที่ประชุมร้องเพลง แต่ใช้เพลงสดุดีเท่านั้น เขาเชื่อว่า “มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่คู่ควรในการร้องสรรเสริญพระเจ้า”[1] เขาหันกลับไปสู่การมีส่วนร่วมของที่ประชุมในพิธีมหาสนิท โดยบ่งชี้ว่าอาหารมื้อสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมีขึ้นอย่างน้อยเดือนละครั้งและโดยเฉพาะในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าทุกครั้ง

กลุ่มอนาแบพติสท์และเพียวริตันปฏิเสธพิธีกรรมส่วนใหญ่และหันไปสู่รูปแบบเรียบง่ายในการนมัสการ กลุ่มเหล่านี้บางครั้งนมัสการที่บ้านส่วนตัวและมองตัวเองว่าเป็นคนกลุ่มเดียวที่ทำตามการนมัสการในศตวรรษแรกอย่างแท้จริง

จุดแข็งของการนมัสการแบบปฏิรูปคือการกลับไปสู่การมีส่วนร่วมของที่ประชุม ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างในท่ามกลางคริสตจักรต่าง ๆ ของกลุ่มปฏิรูป แต่ผู้ปฏิรูปทั้งหมดก็พยายามทำตามต้นแบบการเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อในการนมัสการ

► มีแง่มุมใดของการนมัสการในยุคปฏิรูปที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการนมัสการของคุณบ้าง? คุณมองเห็นอันตรายอะไรในการนมัสการของยุคปฏิรูปไหม?


[1]อ้างอิงใน Donald P. Hustad, Jubilate II (Carol Stream: Hope Publishing Company, 1993), 194

ภาพของการนมัสการในคริสตจักรอิสระ

ในการทำตามกลุ่มปฏิรูป บางคริสตจักรปฏิเสธการควบคุมของรัฐ คริสตจักรเหล่านี้ถูกเรียกว่าเป็น “คริสตจักรอิสระ” ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มอนาแบพติสท์ เพียวริตัน นอนคอนฟอร์มิส เซเพเรทิสท์ และดิสเซนเทอร์ หลายกลุ่มเหล่านี้ปฏิเสธการปฏิบัติและพิธีกรรมแบบตายตัวด้วยเช่นกัน

ลักษณะเด่นของการนมัสการในคริสตจักรอิสระ

(1) การเทศนาเป็นศูนย์กลาง

(2) การมีส่วนร่วมของที่ประชุมเป็นสิ่งสำคัญ

ลักษณะการมีส่วนร่วมของที่ประชุมแตกต่างกันไปในแต่ละคริสตจักร

  • ในบางคริสตจักร ที่ประชุมร้องเพลงสรรเสริญ ในบางคริสตจักรไม่มีดนตรีในการนมัสการในที่ประชุม

  • ในบางคริสตจักร สมาชิกคริสตจักรอธิษฐานเสียงดังในที่ประชุม ในบางคริสตจักร ศิษยาภิบาลอธิษฐานแทนทุกคน

มีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างฆราวาสกับนักบวช คริสตจักรอิสระส่วนใหญ่ไม่มีเสื้อผ้าพิเศษให้กับนักบวช

(3) การนมัสการทั้งหมดใช้ภาษาของคนในที่ประชุม

โครงร่างของการประชุมนมัสการในปี 1608 มีดังต่อไปนี้ (ใช้เวลาสี่ชั่วโมง)

  • การอธิษฐาน

  • การอ่านพระคัมภีร์ (1-2 บทพร้อมคำอธิบาย)

  • การอธิษฐาน

  • การเทศนา (หนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่า)

  • กล่าวนำการถวายทรัพย์โดยฆราวาส

  • การอธิษฐาน

  • ถวายทรัพย์

การนมัสการไม่ได้ถูกควบคุมโดยพิธีมหาสนิทและนักบวชอีกต่อไป การประชุมนมัสการของคริสตจักรอิสระดูเหมือนการนมัสการในคริสตจักรพันธสัญญาใหม่มากกว่า

มีอันตรายสำหรับการใช้การนมัสการแบบนี้ ถึงแม้ว่าคริสตจักรอิสระสอนเรื่องการเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อ แต่ในทางปฏิบัติ บางครั้งนักเทศน์มาแทนที่ปุโรหิตในฐานะที่เป็นจุดโฟกัสของการนมัสการ ในบางคริสตจักรที่ประชุมก็มีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อย

บางที่หนึ่งในอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดในการนมัสการอย่างอิสระคือการแยกตัวเป็นเอกเทศอย่างสุดโต่ง ถ้าหากหลักคำสอนเรื่องการเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อไม่ได้ควบคู่ไปกับหลักคำสอนเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักรแล้ว คริสตจักรก็จะกลายเป็นที่รวมตัวของปัจเจกบุคคลแทนที่จะเป็นพระกายของพระคริสต์ที่เป็นหนึ่งเดียวกันในการนมัสการ สิ่งนี้เห็นได้เมื่อการนมัสการเกี่ยวข้องเพียงแค่ “ฉันกับพระเยซู” โดยไม่มีความรู้สึกว่าคริสตจักรคือพระกาย

► มีแง่มุมมใดของการนมัสการในคริสตจักรอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อการนมัสการของคุณบ้าง? คุณเห็นอันตรายใด ๆ ของการนมัสการในคริสตจักรอิสระบ้างไหม?

ภาพของการนมัสการในการฟื้นฟูที่เวสเลยัน

จอห์น เวสเลย์ (John Wesley) ได้รับอิทธิพลจากทั้งประเพณีการนมัสการร่วมกันจากคริสตจักรแองกลิกันและจากการเน้นประสบการณ์ส่วนตัวที่เขาได้รับผ่านการสัมพันธ์กับประเพณีของอนาแบพติสท์ ในช่วงเวลาหนึ่งที่เมื่อการนมัสการของแองกลิกันซึ่งกำลังดำเนินตามคริสตจักรโรมันคาธอลิกในยุคกลางได้ถลำไปสู่พิธีกรรมที่ว่างเปล่า ครอบครัวของเวสเลย์และผู้ติดตามของพวกเขา (เรียกว่าเมธอดิสท์) ได้รื้อฟื้นความเป็นจริงของการนมัสการที่นำให้ผู้นมัสการเข้าสู่การสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า

[1]จุดเน้นในการนมัสการของเมธอดิสท์ยุคแรก

1. การเทศนา คำเทศนาของจอห์น เวสเลย์ ได้รับการเผยแพร่และกลายเป็นหลักคำสอนที่เป็นรากฐานสำหรับผู้นมัสการเมธอดิสท์

2. พิธีมหาสนิทบ่อยครั้ง จอห์น เวสเลย์รับมหาสนิทโดยเฉลี่ยห้าครั้งต่อสัปดาห์ เขาหนุนใจให้สมาชิกของเขารับมหาสนิทอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์

3. ร้องบทเพลงสรรเสริญ บทเพลงสรรเสริญของชาลส์ เวสเลย์ เผยแพร่หลักคำสอนของเมธอดิสท์ไปทั่วเกาะอังกฤษและไปยังโลกใหม่

4. กลุ่มย่อย การพบปะกันในชั้นเรียนเป็นศูนย์กลางการสร้างสาวกของเมธอดิสท์

5. การนมัสการร่วมกัน เมธอดิสท์พบกันบ่อยครั้ง และแม้หลังจากปุโรหิตแองกลิกันมากมายได้ปฏิเสธเมธอดิสท์ เวสเล่ย์ก็หนุนใจให้สมาชิกของเขาเข้าร่วมนมัสการกับแองกลิกัน

6. การประกาศข่าวประเสริฐ มีนับหลายพันคนที่กลับใจมาเชื่อพระคริสต์เมื่อการฟื้นฟูของเมธอดิสท์กระจายไปทั่วอังกฤษและกว้างไกลออกไป

การนมัสการของเมธอดิสท์ประกอบไปด้วยบทเพลงสรรเสริญที่ยกย่องพระเจ้า การสร้างสาวกที่สร้างผู้เชื่อให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และการเทศนาที่เป็นคำประกาศต่อคริสตจักรและต่อโลกที่ขัดสน

► มีแง่ใดของการนมัสการในการฟื้นฟูที่เวสเลยันที่เป็นประโยชน์ต่อการนมัสการของคุณบ้าง? คุณเห็นอันตรายอะไรในการนมัสการฟื้นฟูที่เวสเลยันบ้าง?


[1]

การนมัสการของเมธอดิสท์
และการนมัสการในศตวรรษที่สิบแปด

เมธอดิสท์เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อความล้มเหลวของการนมัสการในศตวรรษที่สิบแปด

“เมื่อความศักดิ์สิทธิ์อยู่ริมชายขอบของชีวิตคริสตจักร เมธอดิสท์ในยุคแรกนำสิ่งนี้มาไว้ตรงจุดกลาง เมื่อความกระตือรือร้นในศาสนาไปในทางเสื่อมเสีย เมธอดิสท์ทำให้ความกระตือรือร้นเป็นสิ่งสำคัญซึ่งขาดไม่ได้ ที่ใดซึ่งศาสนาถูกจำกัดแค่ในคริสตจักร เมธอดิสท์นำศาสนาออกไปยังท้องทุ่งและถนน”

- เจมส์ ไวท์ ใน โรเบิร์ต เว็บเบอร์

การนมัสการของคริสเตียนในศตวรรษที่ยี่สิบ
(
Twenty Centuries of Christian Worship)

ภาพการนมัสการในอเมริกายุคแรก

ชาวอังกฤษตั้งถิ่นฐานครั้งแรกบนชายฝั่งตะวันออกของดินแดนซึ่งปัจจุบันเรียกว่าสหรัฐอเมริกา ในช่วงปลายทศวรรษ 1700 และหลังจากนั้น ผู้คนยังคงย้ายจากทางตะวันตกไปยังดินแดนที่ไม่มีผู้คนอาศัยเพื่อหาที่ดินและสร้างที่อยู่อาศัย ผู้คนเผชิญกับความท้าทายมากมายในขณะที่คริสตจักร โรงเรียน และการบังคับใช้กฎหมายค่อยๆ พัฒนาขึ้น ในประวัติศาสตร์ ดินแดนที่มีคนทยอยมาอาศัยนี้เรียกว่า พรมแดนอเมริกัน

จุดประสงค์ของการศึกษาการนมัสการในประวัติศาสตร์ยุคแรก ๆ ของอเมริกาไม่ใช่เพื่อเสนอแบบอย่างของชาวอเมริกันให้เป็นแบบอย่างสำหรับการนมัสการทั้งหมด แต่เพื่อเปรียบเทียบกับการนมัสการที่พัฒนาในคริสตจักรของคนหนุ่มสาวในสถานที่อื่น ๆ ความท้าทายเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับคริสตจักรที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ในหลายประเทศ

ลักษณะเด่นของการนมัสการในอเมริกายุคแรก

1. เป็นอิสระจากสังกัดนิกายและรูปแบบทางการในการนมัสการ คริสตจักรในพรมแดนอเมริกันมีแนวโน้มแยกตัวเป็นอิสระจากการควบคุมของสังกัดนิกาย พวกเขาให้ความสนใจเพียงเล็กน้อยต่อพิธีกรรมและระเบียบเคร่งครัดในการนมัสการ (ถึงแม้ว่า จอห์น เวสเลย์ จะดัดแปลงแบบแผนการนมัสการของเขาเพื่อใช้ในอาณานิคมก็ตาม) อาคารโบสถ์และการประชุมนมัสการ
เรียบง่ายและธรรมดา

2. โอกาสที่หายากสำหรับพิธีมหาสนิท ในอังกฤษ เวสเลย์เน้นความสำคัญของการทำพิธีมหาสนิทเป็นประจำ แต่ในพรมแดนอเมริกัน การขาดแคลนนักบวชที่ได้รับการแต่งตั้งหมายถึงผู้เชื่อมีโอกาสน้อยมากที่จะมีอาหารมื้อสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า

3. การเทศนาพระวจนะ การเทศนายังคงเป็นจุดเน้นสำคัญในการประชุมนมัสการ แม้นักเทศน์ที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมก็จะอ่านคำเทศนาของเวสเลย์และผู้รับใช้คนอื่น ๆ จุดโฟกัสของคริสตจักรคือที่ธรรมาสน์ ไม่ใช่โต๊ะมหาสนิท จุดเน้นหลักคือการเทศนาพระวจนะ

4. การร้องเพลงอย่างมีชีวิตชีวา การร้องเพลงมีชีวิตชีวา คริสตจักรอเมริกันร้องเพลงสรรเสริญของชาลส์ เวสเลย์ ควบคู่กับบทเพลงที่เป็นคำพยานอย่างเรียบง่ายซึ่งทำให้คนที่ไม่ได้รับการศึกษาในที่ประชุมเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย

5. การอธิษฐาน การประกาศข่าวประเสริฐ และการฟื้นฟู การอธิษฐานอย่างไม่เป็นทางการและมักจะนำโดยฆราวาส การประกาศข่าวประเสริฐมีความสำคัญ และช่วงเวลาของการฟื้นฟูในอเมริกาคือการเห็นคนหลายพันกลับใจมาเชื่อ คำเทศนามักจะตามมาด้วยการเชื้อเชิญให้คนที่ยังไม่เชื่อเดินออกมาข้างหน้าและอธิษฐานกลับใจใหม่ ตามที่จุดเน้นคือความบริสุทธิ์ของคริสเตียนได้เผยแพร่ไปทั่ว ดังนั้นคำเชื้อเชิญจึงเป็นการเรียกให้คนที่ยังไม่เชื่อกลับใจมาเชื่อและเรียกให้ผู้เชื่อมีชีวิตที่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์

เช่นเดียวกันกับประเพณีอื่น ๆ การนมัสการนี้ก็มีทั้งจุดแข็งและอันตราย จุดแข็งคือการมีส่วนร่วมของบุคคลและการมีภาระใจ อันตรายคือการเน้นประสบการณ์ส่วนบุคคลโดยเน้นหลักคำสอนเพียงเล็กน้อย มันทำให้คำสอนเท็จแพร่กระจายไปทั่วพรมแดนได้ง่ายเพราะมีการตรวจสอบเพียงเล็กน้อย

► มีแง่มุมมใดของการนมัสการในพรมแดนอเมริกันที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการนมัสการของคุณบ้าง? คุณเห็นอันตรายอะไรในการนมัสการของคริสตจักรพรมแดนอเมริกันไหม?

การนมัสการที่อันตราย: ความสับสนระหว่างการปฏิบัติที่เปลี่ยนแปลงได้กับหลักการที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้

เรามักจะถูกลองใจให้สับสนระหว่างการปฏิบัติในการนมัสการที่เปลี่ยนแปลงได้กับหลักการนมัสการในพระคัมภีร์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขอให้พิจารณาสิ่งต่อไปนี้

  • ในบางคริสตจักร ผู้นมัสการคุกเข่าลงเพื่อแสดงถึงความถ่อมใจเมื่ออธิษฐาน ในบางคริสตจักร ผู้นมัสการยกมืออันบริสุทธิ์ขึ้นเมื่ออธิษฐาน

  • ในบางคริสตจักร จะมีการเล่นออแกนเบา ๆ ในช่วงการอธิษฐาน ในบางคริสตจักรมีแต่ความเงียบสงบเมื่อศิษยาภิบาลนำอธิษฐาน ในบางคริสตจักรทุกคนอธิษฐานออกเสียงดัง

  • ในบางคริสตจักร มีการฉายเนื้อเพลงบนจอภาพ ในบางคริสตจักรผู้คนร้องเพลงโดยดูเนื้อจากหนังสือเพลงสรรเสริญ

  • ในบางคริสตจักร ศิษยาภิบาลอ่านพระคัมภีร์ตอนเริ่มต้นเทศนา ในบางคริสตจักรฆราวาสอ่านพระคัมภีร์ก่อนที่ศิษยาภิบาลจะเทศนา ในบางคริสตจักรมีการอ่านพระคัมภีร์สองหรือสามข้อ

ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรผิด มันเป็นเพียงแนวทางการปฏิบัติ ไม่ใช่หลักการ เราต้องไม่คิดว่าวิธีการของเราเป็นวิธีการเดียวตามหลักการพระคัมภีร์ การนมัสการที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบ แต่ขึ้นอยู่กับการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า

มีหลักการที่แน่นอนซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราได้เห็นหลักการเหล่านี้ในบทเรียนต่าง ๆ เรื่องการนมัสการในพระคัมภีร์ หลักการต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลือก ในฐานะคริสเตียน หลักการต่าง ๆ เหล่านี้ชี้นำเราในการเข้าหาพระเจ้า

ในอีกไม่กี่บทเรียนข้างหน้า เราจะศึกษาเรื่องแนวทางปฏิบัติในการนมัสการ หลักการไม่เปลี่ยนแปลง แต่แนวทางการปฏิบัติมีหลากหลายในที่ต่าง ๆ และในวาระต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้เราจึงควรอดทนต่อคนที่นมัสการแตกต่างจากเรา นี่ไม่ได้หมายความว่าแนวทางการปฏิบัติไม่สำคัญ แต่หมายความว่าให้มีความยืดหยุ่นในแนวทางการปฏิบัติแต่ยึดมั่นในหลักการ

ออสวาร์ด แชมเบอร์ส (Oswald Chambers) เขียนเรื่องการให้พื้นที่แก่พระเจ้าในชีวิตของเรา เรื่องนี้ประยุกต์ใช้กับการนมัสการได้ดังนี้

ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า เราต้องเรียนรู้ที่จะให้พื้นที่แก่พระเจ้า... เราวางแผน แต่เราลืมให้พื้นที่แก่พระเจ้าเข้ามาจัดการตามที่พระองค์ประสงค์ เราจะประหลาดใจไหมหากพระเจ้าเข้ามาในการประชุมของเราหรือเข้ามาในการเทศนาของเราด้วยวิธีการที่เราไม่เคยคาดหวังมาก่อน? อย่าคอยให้พระเจ้าเข้ามาด้วยวิธีการใดเจาะจง แต่ให้คอยพระองค์ วิธีการให้พื้นที่แก่พระเจ้าคือการคาดหวังให้พระองค์มา แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการใดเจาะจง…

รักษาชีวิตของคุณให้เชื่อมต่อกับพระเจ้าอยู่เสมอ เพื่อฤทธิ์อำนาจอันเกินคาดของระองค์จะสามารถทะลวงผ่านทุกจุดได้ ดำเนินชีวิตด้วยความคาดหวังอย่างแน่วแน่ และให้พื้นที่แก่พระเจ้ามาตามการตัดสินใจของพระองค์เอง[1]


[1]Oswald Chambers, My Utmost for His Highest (January 25 entry) ได้มาจาก https://utmost.org/leave-room-for-god/ on July 22, 2020

สรุป: ภาพของการนมัสการในปัจจุบัน

การนมัสการมีลักษณะอย่างไรในศตวรรษที่ 21? เป็นคำถามที่ไม่สามารถตอบได้ง่ายๆ การนมัสการในศตวรรษที่ 21 มีหลายรูปแบบ คริสตจักรบางแห่งให้ความสำคัญกับพิธีกรรมและประเพณี คริสตจักรอื่น ๆ ปฏิเสธพิธีกรรมเพื่อสนับสนุนเสรีภาพส่วนบุคคลในการนมัสการ

แทนที่จะพยายามอธิบายการนมัสการในปัจจุบัน ให้ใช้เวลาสร้างคำอธิบายของคุณเอง การนมัสการมีลักษณะอย่างไรในคริสตจักรของคุณ? หากคุณกำลังศึกษาเป็นกลุ่ม ให้พูดคุยถึงความแตกต่างและความคล้ายคลึงกันระหว่างการนมัสการในคริสตจักรที่อยู่ในกลุ่มของคุณ

ณ จุดนี้ของหลักสูตร จุดประสงค์ของคำอธิบายนี้ไม่ใช่การประเมิน คำถามไม่ใช่ว่า “เราถูกหรือผิด?” คำถามง่ายๆ คือ “เราทำอะไรในการประชุมนมัสการของเรา”

เหตุผลของคำอธิบายนี้คือเพื่อปูพื้นฐานสำหรับบทเรียนต่อจากนี้ เมื่อคุณได้คำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำในการนมัสการเวลานี้แล้ว คุณสามารถเริ่มถามว่า “เราทำสิ่งที่เราทำไปทำไม?” และ “เราจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร?”

การตัดสินใจเกี่ยวกับการนมัสการสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อทางศาสนศาสตร์ องค์ประกอบในการนมัสการของเราแสดงให้เห็นสิ่งที่เราเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าและวิธีที่เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ องค์ประกอบในการนมัสการของเราแสดงให้เห็นว่าเราเชื่ออะไรเกี่ยวกับคริสตจักรและความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อกัน องค์ประกอบในการนมัสการของเราแสดงให้เห็นสิ่งที่เราเชื่อเกี่ยวกับผู้หลงหายและวิธีที่การนมัสการจะเข้าถึงพวกเขาได้

ให้เราดูหนึ่งตัวอย่าง - การร้องเพลงในที่ประชุม

  • การที่ในคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกไม่มีการร้องเพลงร่วมกันสะท้อนความเชื่อที่ว่าฆราวาสไม่สามารถเข้าใจพระคัมภีร์ได้ (รวมถึงเพลงที่ร้องจากพระคัมภีร์) เช่นเดียวกับที่ฆราวาสไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านพระคัมภีร์ด้วยตนเอง ฆราวาสก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ร้องเพลงนมัสการ นักบวชเป็นผู้ดำเนินเกี่ยวกับนมัสการผู้เดียว

  • การเน้นการร้องเพลงในที่ประชุมของกลุ่มปฏิรูปสะท้อนถึงความเชื่อของลูเธอร์ที่ว่าคริสเตียนทุกคนสามารถนมัสการโดยเป็นส่วนหนึ่งของพระกายพระคริสต์

  • การที่คาลวินปฏิเสธที่จะอนุญาตให้ใช้บทเพลงสรรเสริญอื่นๆ นอกเหนือจากบทเพลงสดุดี สะท้อนถึงความเชื่อของเขาที่ว่ามีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่ยอมรับในการนมัสการ

  • เมธอดิสต์ให้ความสำคัญกับการร้องเพลงในที่ประชุมและการสอนหลักคำสอนผ่านบทเพลงสรรเสริญ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของเวสเลย์ที่ว่าผู้เชื่อทุกคนควรร้องเพลงและสิ่งที่เราร้องส่งผลต่อสิ่งที่เราเชื่อ

  • ความเรียบง่ายของการร้องเพลงของกลุ่มพรมแดนแสดงความเชื่อมั่นของเมธอดิสต์ว่าความรอดมีไว้สำหรับทุกคน ด้วยความเชื่อมั่นดังกล่าว พวกเขาจึงให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการร้องเพลงอย่างแข็งขัน

ในขณะที่เราศึกษากันต่อในหลักสูตรนี้ เราจะพิจารณาองค์ประกอบหลายอย่างของการนมัสการ คำถามแรกของคุณเกี่ยวกับการนมัสการน่าจะเป็น "ฉันชอบไหม" แต่นั่นไม่ใช่คำถามสำคัญ คำถามที่สำคัญกว่านั้นคือ “การนมัสการของฉันบอกอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันเชื่อ? การนมัสการนั้นแสดงถึงความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระเจ้าและความสัมพันธ์ของมนุษย์กับพระองค์หรือไม่?”

การนมัสการของเราหล่อหลอมสิ่งที่เราเชื่อ แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามก็เป็นจริงเช่นกันคือ ความเชื่อของเราก็หล่อหลอมการนมัสการของเรา

ทบทวนบทที่ 5

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) ในคริสตจักรยุคแรก

  • การนมัสการไม่เป็นทางการและมีความสนิทสนม

  • การนมัสการเน้นการมีส่วนร่วมของฆราวาส

  • การนมัสการเกี่ยวข้องกับชีวิตทุกด้าน

(2) ในการนมัสการของยุคกลาง

  • ความงดงามมีความสำคัญมากกว่าฝ่ายวิญญาณ

  • ผู้คนไม่สามารถเข้าใจความหมายในการประชุมนมัสการได้

  • ผู้คนเป็นเพียงผู้ชม ไม่ใช่ผู้นมัสการที่แข็งขัน

  • ข่าวประเสริฐถูกแทนที่ด้วยพิธีกรรม

(3) ในยุคปฏิรูป

  • การนมัสการแสดงให้เห็นถึงความเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อ

  • การนมัสการใช้ภาษาที่ผู้คนในที่ประชุมเข้าใจ

  • ลูเธอร์, คาลวิน, และเพียวริตัน ไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับบทบาทของพิธีธรรมในการนมัสการ

(4) ในคริสตจักรอิสระปฏิบัติตามกลุ่มปฏิรูป

  • การเทศนาเป็นศูนย์กลาง

  • การให้ที่ประชุมมีส่วนร่วมมีความสำคัญ

  • หลักคำสอนเรื่องความเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อมีความสำคัญ

  • การนมัสการทั้งหมดใช้ภาษาที่คนในที่ประชุมเข้าใจ

  • ปัจเจกชนนิยมอย่างสุดโต่งเป็นเรื่องอันตราย

(5) การนมัสการของเมธอดิสท์ในยุคแรกมีจุดเน้นดังต่อไปนี้

  • เน้นการเทศนา

  • เน้นการทำพิธีมหาสนิทบ่อยครั้ง

  • เน้นการร้องบทเพลงสรรเสริญ

  • เน้นกลุ่มย่อย

  • เน้นการนมัสการร่วมกัน

  • เน้นการประกาศข่าวประเสริฐ

(6) การนมัสการในอเมริกายุคแรก

  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมส่วนบุคคลและภาระใจเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ

  • บางครั้งเน้นประสบการณ์ส่วนบุคคลโดยแลกกับความซื่อตรงของหลักคำสอน

(7) การนมัสการของเราในปัจจุบันสะท้อนถึงความเชื่อของเราเกี่ยวกับพระเจ้าและวิธีที่เราสัมพันธ์กับพระองค์

งานมอบหมายบทที่ 5

(1) จัสติน มาร์ไทร์ (Justin Martyr) อธิบายถึงการนมัสการของคริสตจักรในศตวรรษที่สองด้วยความยาวสองสามย่อหน้า เขาเขียนถึงคนที่ไม่เคยเห็นการนมัสการของคริสเตียน ขอให้คุณเขียน 2-3 ย่อหน้าเพื่ออธิบายการนมัสการของคุณกับคนที่ไม่เคยไปคริสตจักรของคริสเตียน พิจารณาอย่างรอบคอบว่าอะไรสำคัญที่สุดเกี่ยวกับการนมัสการของคุณ คุณจะอธิบายถึงการประชุมนมัสการของคุณในลักษณะที่เป็นการสื่อสารถึงหัวใจสำคัญของการนมัสการของคริสเตียนได้อย่างไร?

หากคุณกำลังศึกษาเป็นกลุ่ม ให้อภิปรายคำตอบของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มในชั้นเรียนครั้งต่อไป

(2) ในช่วงเริ่มต้นของบทเรียนถัดไป คุณจะต้องทำแบบทดสอบของบทนี้ ขอให้เตรียมตัวด้วยการศึกษาคำถามของแบบทดสอบอย่างละเอียด

แบบทดสอบบทที่ 5

ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่

(1) เขียนองค์ประกอบสามอย่างของการนมัสการในยุคศตวรรษที่สองที่ จัสติน มาร์ไทร์ ได้อธิบายไว้

(2) เขียนจุดอ่อนสามอย่างของการนมัสการในยุคกลาง

(3) ข้อกังวลหลักสองประการในยุคปฏิรูปเกี่ยวกับความเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อคืออะไร?

(4) ระบุถึงกลุ่มต่าง ๆ ในยุคปฏิรูปที่เข้ากันกับคำอธิบายแต่ละข้อมากที่สุด

  • อนุญาตแนวปฏิบัติใด ๆ ในการนมัสการที่พระคัมภีร์ไม่ได้ห้ามไว้: _______________

  • ไม่อนุญาตแนวปฏิบัติที่ไม่ได้ถูกอธิบายในพระคัมภีร์: _______________

  • ปฏิเสธพิธีส่วนใหญ่ บางครั้งมีการนมัสการที่บ้านส่วนตัว: _______________

(5) เขียนลักษณะเด่นสามประการของการนมัสการในคริสตจักรอิสระ

(6) เขียนจุดเน้นสามประการของการนมัสการของเมธอดิสท์ยุคแรก

(7) เขียนลักษณะสามประการของการนมัสการในอเมริกายุคแรก

(8) เขียนสดุดี 100:1-5 จากการท่องจำ

Next Lesson