Search Course
Search through all lessons and sections in this course
Searching...
No results found
No matches for ""
Try different keywords or check your spelling
บทเรียนฝึกฝนการสร้างสาวก
Course Description
หนังสือบทเรียนฝึกฝนการสร้างสาวกเล่มนี้ เป็นสื่อการสร้างสาวกที่จัดทำขึ้นอย่างเจาะจงเพื่อใช้กับผู้เชื่อใหม่ เป็นหนังสือคู่มือประกอบกับหลักสูตร SGC เรื่อง การประกาศและการสร้างสาวกในพระคัมภีร์
Introduction
คู่มือสำหรับการสร้างสาวก
1. การสร้างสาวกในคริสตจักร
พันธกิจการสอนในคริสตจักร
เนื้อหานี้ยังถูกรวมไว้ในภาคผนวกหรือไฟล์เพิ่มเติมเป็นรูปแบบ PDF สำหรับดาวน์โหลดหรือพิมพ์
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนความเชื่อ ผู้กลับใจมีความปรารถนาใหม่ๆและสิ่งสำคัญอันดับแรกใหม่ๆ – การเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เสียจนพระคัมภีร์อธิบายเขาว่าเป็น “ผู้ที่ถูกสร้างใหม่” (2 โครินธ์ 5:17)
แต่บางอย่างใช้เวลา ผู้เชื่อใหม่ไม่รู้วิธีประยุกต์ใช้หลักการแบบคริสเตียนกับชีวิตทุกส่วนของเขาทันที เขาต้องเรียนรู้หลักการต่างๆจึงจะมองเห็นวิธีประยุกต์ใช้
มีขั้นตอนของการเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณส่วนตัวเช่นกัน ผู้เชื่อใหม่เป็น”ทารกในพระคริสต์”
► พระธรรม 1 โครินธ์ 3:1-2 ตามพระคัมภีร์ข้อเหล่านี้แบบฉบับของผู้เชื่อใหม่คืออะไร?
► อ่านฮีบรู 5:13-14 น้ำนมที่พระคัมภีร์พูดถึงคืออะไร? อาหารแข็งคืออะไร? คุณลักษณะของความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณคืออะไร?
เมื่อตอนต้นหลักสูตรนี้เราได้พิจารณาพระมหาบัญชาที่พระเยซูประทานให้แก่คริสตจักร ให้เราพิจารณากันอีกครั้งหนึ่งครับ
► อ่านพระธรรมมัทธิว 28:18-20 ในเนื้อความนี้พระเยซูประทานความรับผิดชอบอะไรซึ่งอยู่เหนือการเผยแพร่พระกิตติคุณ?
ก่อนประทานพระมหาบัญชานั้น พระเยซูทรงแถลงว่าพระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจทั้งปวงในสวรรค์และแผ่นดินโลก จากนั้นพระองค์ประทานความรับผิดชอบให้คริสตจักรนำคนมาเชื่อฟังต่อสิทธิอำนาจของพระองค์
พระเยซูทรงบอกแก่สาวกให้เทศนาพระกิตติคุณและสั่งสอนสิ่งต่างๆที่พระองค์ได้ทรงบัญชา การเผยแพร่พระกิตติคุณเป็นเพียงภารกิจส่วนแรกเท่านั้น การสั่งสอนผู้เชื่อใหม่ให้เชื่อพระบัญชาทั้งสิ้นของพระเยซูเป็นขั้นตอนของการสร้างสาวก การไม่สร้างสาวกร้ายแรงเท่ากับการไม่เผยแพร่พระกิตติคุณครับ
พันธกิจการสอนของคริสตจักรเป็นการนำผู้เชื่อใหม่สู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
พระคัมภีร์บอกแก่เราในพระธรรมเอเฟซัสว่าพระเจ้าทรงเรียกคนเข้าสู่บทบาทพิเศษต่างๆแห่งพันธกิจด้วยวัตถุประสงค์ที่จะเสริมสร้างผู้เชื่อเพื่อพวกเขาจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป (เอเฟซัส 4:11-14) ผลลัพธ์ของการบรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณคือความมั่นคงด้านหลักคำสอน
ศิษยาภิบาลรับผิดชอบเป็นพิเศษในการสร้างสาวก เปาโลบอกทิโมธีว่า “จงอุทิศเวลาให้กับการอ่านพระคัมภีร์ ให้กับการเทศนาและสั่งสอน” (1 ทิโมธี 4:13) ท่านไม่ได้อ้างถึงการศึกษาส่วนตัวของทิโมธีเป็นสำคัญแต่กำลังพูดเกี่ยวกับพันธกิจ พันธกิจของทิโมธีต้องจดจ่ออยู่ที่การอ่านและอธิบายพระคัมภีร์ ให้คำชี้แนะฝ่ายวิญญาณ และสอนหลักคำสอนของคริสเตียน คุณสมบัติประการหนึ่งของศิษยาภิบาลคือเขาต้องสอนเป็น (1 ทิโมธี 3:2)
เนื่องจากการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างฝ่ายวิญญาณ การสอนจึงเป็นส่วนหนึ่งของงานแห่งการสร้างสาวก ครูมีความสำคัญในคริสตจักรและคริสตจักรต้องทำงานเพื่อพัฒนาครูเสมอครับ
“จงมอบคำสอนเหล่านั้นซึ่งท่านได้ยินจากข้าพเจ้าต่อหน้าพยานหลายๆ คนไว้กับบรรดาคนซื่อสัตย์ที่สามารถสอนคนอื่นได้ด้วย” (2 ทิโมธี 2:2) เปาโลให้คำชี้แนะนี้ในฐานะผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่มีประสบการณ์และศิษยาภิบาลแก่ทิโมธีซึ่งเป็นผู้รับใช้หนุ่ม เปาโลไม่มั่นใจว่าความเชื่อจะถ่ายทอดโดยการเทศนาเท่านั้น แต่ละบุคคลจำเป็นต้องได้รับการอบรมด้วยความพยายามพิเศษและเตรียมตัวเพื่อจะอบรมคนอื่น ถ้าหากการอบรมนั้นไม่บรรลุโดยการเทศนาแก่ที่ประชุมแล้ว “บรรดาคนสัตย์ซื่อ” เหล่านี้ก็ต้องถูกอบรมเป็นรายบุคคลหรือในกลุ่มขนาดเล็ก
มีสิ่งที่ต้องสอนอยู่มาก จะมีศิษยาภิบาลคนไหนมีเวลาทำทั้งหมดได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกคนไม่ได้พร้อมสำหรับคำชี้แนะเดียวกันในเวลาเดียวกัน? แต่พระธรรมเอเฟซัส 4:11 ไม่ได้กล่าวว่า “พระองค์ประทานศิษยาภิบาล” (คนเดียวเท่านั้นและบทบาทเดียวเท่านั้น) ตรงกันข้ามมีหลายบทบาทหลายคนเพื่อจะทำงานเหล่านั้น พระเจ้าทรงเรียกครู ทรงประทานความสามารถในการสอนให้แก่พวกเขา และจัดเตรียมพวกเขาผ่านคริสตจักรเพื่อพันธกิจการสอนครับ
“วัตถุประสงค์เบื้องต้นของแผนการของพระเยซูคือเกณฑ์ผู้คนที่เป็นพยานถึงชีวิตของพระองค์และสานต่อพระราชกิจของพระองค์หลังจากที่พระองค์เสด็จกลับไปหาพระบิดา” - โรเบิร์ต โคลแมน, The Master’s Plan
ชุมชนคริสเตียนและการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณ
การสร้างสาวกแท้เป็นมากกว่าการสอนข้อมูล การสร้างสาวกแท้รวมถึงการปรับค่านิยม สิ่งสำคัญอันดับแรก ท่าที และรูปแบบการใช้ชีวิตให้เข้ารูปเข้าร่าง ขั้นตอนนี้อาจเกิดขึ้นในชุมชนคริสเตียนที่มีการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณเท่านั้น
เราเห็นได้ตลอดพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าทรงมุ่งหมายให้คนใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนโดยเริ่มด้วยคำแถลงของพระเจ้าที่ว่าอาดัมไม่ควรอยู่ตามลำพัง (ปฐมกาล 2:18)
พระธรรมปัญญาจารย์ 4:9-10 อธิบายถึงข้อได้เปรียบบางประการของชุมชน “สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับรางวัลดีสำหรับการตรากตรำของพวกเขา เพราะว่าถ้าพวกเขาล้มลง คนหนึ่งจะได้พยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง และไม่มีใครพยุงเขาให้ลุกขึ้น”
พระเจ้าทรงบอกโมเสสว่าแผนการของพระองค์สำหรับอิสราเอลคือพวกเขาจะเป็นอาณาจักรปุโรหิตและชนชาติบริสุทธิ์ (ปฐมกาล 19:6) มรดกต้องส่งต่อสู่ครอบครัวและถูกอธิบายไว้ในสิ่งที่เรียกว่าเป็น “พระมหาบัญชา” (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-9)
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจผู้เขียนพันธสัญญาใหม่ให้ใช้คำศัพท์เหล่านั้นในพันธสัญญาใหม่เพื่ออ้างอิงถึงคริสตจักร (1 เปโตร 2:9)
พระเจ้าทรงมุ่งหมายให้ประชากรที่อยู่ในความสัมพันธ์กับพระองค์และอยู่ในความสัมพันธ์กับกันและกันเสมอ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าสร้างเราขึ้นเป็นชุมชนแห่งความเชื่อ เช่นเดียวกับที่ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเรียกร้องให้มีการทำพันธสัญญา ความสัมพันธ์ของเรากับประชากรกับพระเจ้าก็เรียกร้องให้มีการทำพันธสัญญา การที่คนคิดว่าตัวเขาอยู่ในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าได้เพราะเลือกจะไม่อยู่ในความสัมพันธ์กับประชากรของพระเจ้าเป็นเรื่องผิดครับ
เปาโลใช้คำอุปมาถึงร่างกายเพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกคริสตจักร (1 โครินธ์ 12) ไม่มีอวัยวะไหนทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมถ้าหากพยายามจะเป็นอิสระจากร่างกาย อวัยวะต่างๆต้องร่วมมือกันและห่วงใยกันและกันมิฉะนั้นแล้วก็จะไม่มีร่างกาย ถ้าหากอวัยวะหนึ่งได้รับบาดเจ็บอวัยวะทั้งหมดก็ทุกข์ทรมาน การกระทำต่างๆของอวัยวะหนึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายทั้งหมด เปาโลพูดถึงเรื่องนี้เมื่อท่านรับมือกับสถานการณ์ของคนที่อยู่ในความสัมพันธ์ผิดศีลธรรมถึงแม้ว่าท่านใช้คำอุปมาถึงขนมปังแทนก็ตาม ท่านกล่าวว่า “ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าเชื้อขนมเพียงนิดเดียวย่อมทำให้แป้งดิบฟูขึ้นทั้งก้อน?” (1 โครินธ์ 5:6) เราต้องเห็นตัวเองว่าเป็นส่วนสำคัญของชุมชนคริสเตียน
คำบัญชาในพันธสัญญาใหม่หลายข้อไม่อาจทำตามได้โดยปราศจากความหมายในแง่ของชุมชน คริสเตียนต้องใช้ชีวิตอยู่ในพันธสัญญาต่อกันและกันเพื่อให้บรรลุพระบัญชาของพระเจ้า นั่นหมายความว่าชุมชนคริสเตียนนำไปสู่การตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณครับ
เราพบในพระคัมภีร์หลายที่ว่าชุมชนคริสเตียนเชื่อมโยงกับการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณ
จงนบนอบเชื่อฟังบรรดาผู้นำของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพวกเขาดูแลรักษาจิตวิญญาณของพวกท่านอยู่อย่างคนที่ต้องถวายรายงาน จงให้พวกเขาทำงานนี้ด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์แก่พวกท่านเลย (ฮีบรู 13:17)
ข้อพระคัมภีร์นี้บอกผู้เชื่อให้ยอมจำนนต่อคนที่อยู่ในตำแหน่งแห่งสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณ พระบัญชายังมอบความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่แก่ผู้นำฝ่ายวิญญาณ ความรับผิดชอบของเขาคือนำคนด้วยสิทธิอำนาจและดูแลวิญญาณของคนที่อยู่ภายใต้การดูแล ดังนั้นพวกเขาต้องคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับผู้คนจึงจะให้คำชี้แนะแก่แต่ละคนได้ และต้องมีความสัมพันธ์กับผู้คนจึงจะทำให้พวกเขาทำตามคำชี้แนะได้
เนื้อความพระคัมภีร์ต่อไปนี้อธิบายถึงชุมชนคริสเตียนและการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณ
► อ่านฮีบรู 10:24-26 คำสั่งในพระคัมภีร์ตอนนี้คืออะไร?
พระคัมภีร์บัญชาเราให้ตระหนักถึงความจำเป็นต่างๆของคริสเตียนคนอื่นและให้หนุนใจพวกเขาทำสิ่งที่ถูกต้อง
► อธิบายความสัมพันธ์ที่จำเป็นสำหรับผู้เชื่อเพื่อจะบรรลุความรับผิดชอบนี้
การหนุนใจของเราจะไม่มีประสิทธิภาพถ้าหากเราไม่มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับคนอื่น เราต้องรู้จักพวกเขาดีและแสดงความรักความเป็นห่วงต่อพวกเขา มิฉะนั้นแล้วคำแนะนำส่วนตัวจะทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจได้ครับ
นี่แน่ะ พี่น้องทั้งหลาย จงระวังให้ดี เพื่อจะไม่มีคนหนึ่งคนใดในพวกท่านมีใจชั่วและไม่เชื่อ คือใจที่พาท่านหลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ แต่จงหนุนใจกันและกันทุกวัน ตลอดเวลาที่เรียกกันว่า “วันนี้” เพื่อจะไม่มีใครในพวกท่านมีใจดื้อรั้นไป เพราะการล่อลวงของบาป (ฮีบรู 3:12-13)
เราถูกเรียกมาดูแลกันและกันให้เป็นที่ตรวจสอบได้ การสั่งสอนในที่นี้ต้องไปไกลกว่าการพบปะในเวลาที่กำหนดของพระกายคริสตจักรทั้งหมดเนื่องจากพระคัมภีร์บัญชาเราให้สั่งสอน “เป็นประจำทุกวัน” การสั่งสอนลักษณะนี้ต้องการการสามัคคีธรรมแบบตัวต่อตัวหรือแบบกลุ่มขนาดเล็ก การสามัคคีธรรมประเภทนี้จะไม่ได้เป็นการรับประทานอาหารด้วยกันหรือเยี่ยมเยียนกันเท่านั้นแต่จะมีวัตถุประสงค์ฝ่ายวิญญาณ เราต้องวางแผนการพูดคุยสนทนาและการพบปะกลุ่มขนาดเล็กอย่างมีวัตถุประสงค์ด้วยความสำคัญอันดับแรกเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นี้
พระธรรมสุภาษิต 27:17 แสดงตัวอย่างให้เห็นถึงวิธีที่เราจะเป็นประโยชน์ต่อกันและกัน
เหล็กลับเหล็กให้คมได้ฉันใด คนหนึ่งก็ลับเพื่อนของตนให้เฉียบแหลมได้ฉันนั้น
คนหนึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่เหนืออีกคนหนึ่งก่อนที่จะให้คำชี้แนะและการหนุนใจฝ่ายวิญญาณที่เป็นประโยชน์แก่เขา อันที่จริงคำแนะนำฝ่ายวิญญาณที่ให้ด้วยความถ่อมใจมักได้รับการยอมรับมากกว่าครับ
เพราะฉะนั้นท่านจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเผื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รับการรักษาโรค คำวิงวอนของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังมากและเกิดผล (ยากอบ 5:16)
โดยทั่วไปจะไม่มีการสารภาพเกี่ยวกับความผิดส่วนตัวในกลุ่มขนาดใหญ่ดังนั้นเราจึงไม่อาจทำพระบัญชานี้ในพิธีนมัสการของคริสตจักรได้ง่าย บริบทแสดงให้เห็นถึงเหตุผลของพระบัญชา นั่นคือ คนที่ทำผิดจะได้รับการฟื้นฟูครับ
จงช่วยรับภาระของกันและกัน และด้วยการกระทำเช่นนี้ท่านทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระคริสต์ (กาลาเทีย 6:2)
คริสเตียนมักรู้สึกว่าไม่มีใครสนใจว่าเขากำลังประสบกับอะไรอยู่ เพื่อนคริสเตียนจะห่วงใยถ้าหากเข้าใจจริงๆได้ว่าเขากำลังทุกข์ทรมานอะไรอยู่แต่มักไม่ได้รู้จักเขาดีพอจะเข้าใจได้ เราจะแบกภาระของคนอื่นได้อย่างไรถ้าหากเราไม่รู้จักจริงๆว่าภาระนั้นคืออะไร?
ในยุคแรกหลังกำเนิดคริสตจักรนั้นความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้เชื่อเป็นมาตรฐานปกติ
ทุกๆ วัน พวกเขาอุทิศตัวอยู่ด้วยกันในพระวิหารและหักขนมปังตามบ้านของพวกเขา รับประทานอาหารร่วมกันด้วยความชื่นชมยินดีและจริงใจ (กิจการ 2:46)
จอห์น เวสลีย์กล่าวว่าไม่มีความเป็นคริสเตียนรายบุคคล
► คุณคิดว่าเวสลีย์หมายความว่าอะไรจากคำแถลงนั้น?
การตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นในชุมชนคริสเตียนที่สมบูรณ์แข็งแรง
การมีการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณคือการสร้างความสัมพันธ์กับคนหรือกลุ่มที่เรารายงานสภาวะฝ่ายวิญญาณของเรา ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในด้านวินัยฝ่ายวิญญาณของเรา และพันธสัญญาเพื่อการพัฒนาของเรา
ถ้าหากไม่มีการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณเราก็จะไม่บรรลุพระบัญชาแห่งพระคัมภีร์ทั้งหมดและเราจะละเลยเครื่องมือที่พระเจ้าทรงออกแบบไว้เพื่อประทานพระคุณแก่เราครับ
คุณลักษณะแห่งความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
การเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณหมายความว่าอะไร? คุณจะอธิบายคริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่ว่าอย่างไร?
เนื่องจากความเป็นผู้ใหญ่ใช้เวลา มันจึงมาพร้อมกับอายุ (ทิตัส 2:1-5) เห็นได้ชัดเจนว่าบางคนอายุมากขึ้นโดยไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณอย่างที่ควรและมีคนหนุ่มสาวที่แสดงให้ถึงความเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ธรรมดา
คุณลักษณะส่วนใหญ่ของความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้บรรลุโดยสมบูรณ์เมื่อถึงจุดๆหนึ่งแต่ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้น หลายครั้งอาจเพิ่มพูนขึ้นทันทีเนื่องจากประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณหรือประสบการณ์ในชีวิต ถึงแม้ว่าคนควรพัฒนาชีวิตทุกด้านเสมอแต่ก็มีระดับที่อาจสามารถบรรลุได้ซึ่งเรียกได้ว่ามีความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์อธิบายถึงคุณลักษณะแห่งความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเอาไว้ในหลายเนื้อความ
► อ่านพระธรรมเอเฟซัส 4:11-14, ฮีบรู 5:12-6:1, 1 โครินธ์ 3:1-2 ,1 ยอห์น 2:12-14
รายชื่อคุณลักษณะข้างล่างนี้เป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ นี่ไม่ใช่รายชื่อที่สมบูรณ์ บางประเด็นในรายชื่อก็ไม่ได้แตกต่างจากประเด็นอื่นๆโดยสมบูรณ์
คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณอาจไม่ได้แสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะต่างๆเหล่านี้โดยสมบูรณ์แต่คุณลักษณะต่างๆเหล่านี้ก็เติบโตขึ้น เขาอาจไม่ได้ตระหนักถึงความผิดบางเรื่องของเขาแต่จะตอบสนองต่อพระราชกิจอันต่อเนื่องแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจของเขาครับ
คุณลักษณะแห่งความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณสิบประการ
(1) ความเหมือนพระคริสต์ในด้านแรงจูงใจ ท่าที และการกระทำต่างๆ
ความเหมือนพระคริสต์มาจากความกระตือรือร้นที่จะรู้จักพระธรรมชาติของพระคริสต์โดยมีประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณถึงการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ (ฟีลิปปี 3:10) อาจรวมถึงการร่วมทนทุกข์จากการกดขี่ข่มเหง คนที่รักพระคริสต์แบบนี้จะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนกับพระองค์ครับ
การเป็นเหมือนพระคริสต์คือการได้รับแรงจูงใจจากความรักไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวหรือความหยิ่งยโส คริสเตียนอยากเป็นเหมือนพระคริสต์และรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่ตระหนักว่าเขาไม่ได้เป็นเหมือนพระคริสต์ในสิ่งที่พูดหรือทำ
(2) ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้า
คนควรมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น เครื่องหมายของความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าคือความยินดีต่อการประทับอยู่ของพระเจ้า ความรักที่มีต่อพระวจนะของพระเจ้า และเวลาที่ใช้อธิษฐาน
(3) การแสดงออกถึงผลแห่งพระวิญญาณ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสร้างผลในชีวิตของผู้เชื่อซึ่งได้แก่ความรัก ความชื่นชมยินดี ความอดทน และการบังคับตน ผู้เชื่อจะมีความปราณีและสุภาพมากขึ้นอย่างเสมอต้นเสมอปลายเมื่อยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานกับนิสัยใจคอของเขา
(4) ชัยชนะเหนือบาปภายในและภายนอก
ผู้เชื่อเรียนรู้ถึงวิธีที่จะพึ่งพาพระเจ้าเพื่อให้มีชัยชนะเหนือการทดลอง เขายินยอมต่อการชำระของพระเจ้าเพื่อจะมีจิตใจที่บริสุทธิ์ เขาพัฒนาอุปนิสัยและวินัยต่างๆที่ช่วยให้ใช้ชีวิตอยู่ในชัยชนะอย่างต่อเนื่อง
ถ้าหากเขายินยอมต่อการทดลองก็ต้องสารภาพต่อพระเจ้าและอธิษฐานขอการยกโทษและกำลังจากพระเจ้า เขาควรแบ่งปันความล้มเหลวของเขากับเพื่อนคริสเตียนใกล้ชิดที่อธิษฐานเผื่อเขา (ยากอบ 5:16)
(5) มีวินัยฝ่ายวิญญาณ
วินัยฝ่ายวิญญาณเป็นวิธีฝึกฝนการสร้างความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าให้เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก คนที่ไม่อธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ และเข้าร่วมคริสตจักรอย่างเสมอต้นเสมอปลายไม่ใช่คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่
(6) พัฒนาอุปนิสัยแบบคริสเตียน
คริสเตียนเรียนรู้ที่จะวางแบบชีวิตบนหลักการแห่งความซื่อตรง การพึ่งพาได้ และงานที่สัตย์ซื่อ
(7) การใช้ชีวิตแบบคริสเตียนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ผู้เชื่อเรียนรู้ที่จะประยุกต์ใช้หลักการคริสเตียนกับชีวิต คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่ควรอยากดูเหมือนคริสเตียนตลอดเวลาทั้งในด้านพฤติกรรมและท่าที เมื่อเขาตระหนักว่าสิ่งที่พูดหรือทำไม่สอดคล้องกับความรักในใจเขาก็พึ่งพากำลังของพระเจ้าเพื่อเปลี่ยนแปลง
(8) ความสัมพันธ์อันสมบูรณ์แข็งแรง
คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่พัฒนามิตรภาพอันลึกซึ้งกับคริสเตียนคนอื่นๆ เขารักษาความสัมพันธ์โดยแสดงให้เห็นถึงความซื่อตรง ความอดทน และการยกโทษ เขาถ่อมใจและยอมรับความผิดพลาด เขาอาจไม่อดทนอย่างที่ควร ไม่ได้ยอมรับความผิดพลาดอย่างรวดเร็ว หรือไม่มีความคิดเห็นที่ถูกต้องกับคนอื่นเนื่องจากอาจเข้าใจสถานการณ์ผิด
(9) พันธกิจส่วนตัว
ผู้เชื่อควรระบุของประทานฝ่ายวิญญาณของตัวเองได้ เขาควรหาที่ในคริสตจักรเพื่อจะเป็นพระพรแก่คนอื่น ผู้เชื่อทำพันธกิจในคริสตจักรได้โดยช่วยเหลือการเผยแพร่พระกิตติคุณและสร้างสาวกผ่านชีวิตคริสเตียนของคนอื่น
(10) ความทนทานต่อสภาวะที่ยากลำบากต่างๆ
ผู้เชื่อควรเรียนรู้ที่จะไว้วางใจพระเจ้าเมื่อสิ่งเลวร้ายต่างๆเกิดขึ้น เขาควรพึ่งพาพระเจ้าเมื่ออยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ผู้เชื่อที่เป็นผู้ใหญ่ไม่สูญเสียความเชื่อเวลาที่ไม่เข้าใจว่าบางอย่างเกิดขึ้นเพราะอะไร
สรุป
คุณลักษณะแห่งความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณไม่ขึ้นกับความสามารถตามธรรมชาติ
คุณลักษณะแห่งความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณไม่เหมือนกับทักษะในการทำพันธกิจ
คุณลักษณะแห่งความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณไม่จำเป็นต้องมาควบคู่กับความสามารถในการเป็นผู้นำ ถ้าหากผู้นำเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณก็เป็นสิ่งดี แต่บางครั้งคนก็เป็นผู้นำเนื่องจากความสามารถต่างๆในขณะที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ บางคนเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณแต่ก็ไม่มีความสามารถในการเป็นผู้นำ
ดูเหมือนว่ารูปแบบบุคลิกภาพบางประเภทจะมีความอดทนและปราณีตามธรรมชาติมากกว่า คุณสมบัติตามธรรมชาติของบุคลิกภาพไม่เหมือนกับความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าทรงทำงานกับบุคลิกภาพของเราและทรงช่วยแนวโน้มต่างๆของเรามีความสมดุล ถ้าหากเราวิเคราะห์คนๆหนึ่งเราจะไม่อาจเห็นความแตกต่างระหว่างบุคลิกภาพตามธรรมชาติกับคุณลักษณะแห่งการพัฒนาฝ่ายวิญญาณอย่างชัดแจ้งได้เลย
ปัญหาสุขภาพอาจส่งผลกระทบต่อการแยกแยะและปฏิกิริยาของคนได้ เราไม่ควรด่วนตัดสินคนอื่น
แบบฝึกหัดการประยุกต์ใช้
(1) ตรวจสอบตัวเองโดยใช้คุณลักษณะแห่งความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณสิบประการ พิจารณาอย่างจริงจังว่าคุณลักษณะใดที่คุณขาดมากที่สุด วางแผนวิธีที่จะพัฒนาสิ่งเหล่านั้นทางการอธิษฐาน ศึกษา รับคำปรึกษาจากคนอื่น และพึ่งพาความช่วยเหลือจากพระเจ้า
(2) คริสตจักรมุ่งบรรลุความรับผิดชอบต่อการสอนและการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณอย่างไร? เขียนอธิบายแผนการกระทำสำหรับคริสตจักรความยาวสองหน้ากระดาษ
2. การสร้างสาวกโดยกลุ่มขนาดเล็ก
คุณค่าของกลุ่มขนาดเล็กสำหรับการสร้างสาวก
พันธกิจกลุ่มขนาดเล็กปรากฏอยู่ในหลายรูปแบบทั่วโลก มีกลุ่มขนาดเล็กหลายประเภทซึ่งได้รับการออกแบบสำหรับวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป กลุ่มขนาดเล็กอาจะพบปะกันเพื่อศึกษา เพื่อการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณ เพื่อพันธกิจ เพื่ออธิษฐาน หรือเพื่อโครงการพิเศษต่างๆ
บางคริสตจักรแบ่งออกเป็นกลุ่มๆที่พบปะกันตามบ้าน กลุ่มทำหน้าที่เหมือนกับคริสตจักรขนาดเล็ก ชัดเจนว่าคริสตจักรแห่งพันธสัญญาใหม่ทำหน้าที่แบบนี้
คริสตจักรที่เติบโตและมีประสิทธิภาพมักมีระบบกลุ่มขนาดเล็กบางประเภทอยู่
ในส่วนย่อยนี้เราจะพูดคุยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกลุ่มขนาดเล็กสำหรับการสร้างสาวก
แบบจำลองเวสลีย์
จอห์น เวสลีย์ (สหภาพอังกฤษ ศตวรรษที่ 18) ไม่ได้เป็นคนแรกที่จัดกลุ่มขนาดเล็กขึ้น แต่ท่านพัฒนาระบบที่มีประสิทธิภาพสูง
เวสลีย์พัฒนาระบบการสร้างสาวกกับกลุ่มขนาดต่างๆซึ่งเรียกว่าสมาคม ชั้น และคณะ* วิธีของเวสลีย์ไม่ได้เป็นระบบสมบูรณ์ในตอนเริ่มต้นแต่ค่อยๆถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองความจำเป็นต่างๆ ผู้เชื่อใหม่หลายคนของเวสลีย์ขอคำหนุนใจ คำแนะนำ และคำอธิษฐาน เนื่องจากพวกเขามีจำนวนมาก ท่านจึงจัดให้พวกเขาพบปะกันทุกวันพฤหัส
ในทุกที่ๆเวสลีย์กับนักเทศนาของท่านไปเผยแพร่พระกิตติคุณ พวกท่านจัดผู้เชื่อใหม่ออกเป็นกลุ่มต่างๆที่พบปะกันเป็นประจำ เนื่องจากที่ประชุมมีขนาดใหญ่ หลายคนจึงไม่อาจบอกความจำเป็นฝ่ายวิญญาณของตัวเองได้และไม่ได้รับความสนใจที่จำเป็น มีการจัดกลุ่มขนาดเล็กขึ้นเรียกว่าชั้น กลุ่มขนาดเล็กประเภทนี้ผู้นำรับใช้ในฐานะศิษยาภิบาลหนุนใจและแนะนำสมาชิก สมาชิกทุกคนที่ยังอยู่ในบาปอย่างเปิดเผยและไม่เปลี่ยนแปลงจะถูกถอดออกจากการเป็นสมาชิกและไม่ได้รับอนุญาตให้มาที่การประชุม
มีการจัดกลุ่มขนาดเล็กกว่าชั้นเรียนเพื่อให้สมาชิกแบ่งปันการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณและให้การตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณแก่กันและกันได้ กลุ่มขนาดเล็กเหล่านี้เรียกว่าคณะในการประชุมเหล่านี้ผู้นำจะอธิบายสภาวะฝ่ายวิญญาณของเขาเองแล้วขอให้คนอื่นๆค้นหาคำถามเกี่ยวกับสภาวะ บาป การทดลองของตัวเอง สมาชิกกลุ่มเหล่านี้เป็นชายล้วนและหญิงล้วน
ความสำเร็จของเวสลีย์ทำให้จอร์จ ไวท์ฟิลด์ผู้มีชื่อเสียงกล่าวคำแถลงนี้ “พี่เวสลีย์ของผมทำด้วยความเฉลียวฉลาด - วิญญาณที่ถูกปลุกขึ้นภายใต้พันธกิจของท่านเข้าร่วมชั้นแล้วสงวนผลแห่งการงานของท่านไว้ ผมได้ละเลยเรื่องนี้และคนของผมก็ไม่อาจพึ่งพาได้” วิธีของเวสลีย์ได้รับการสานต่อโดยคริสตจักรคริสเตียนเมธอดิสต์ในช่วงปีแรกๆ แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาหลักการการสร้างสาวกและหลักคำสอนของท่านถูกนิกายเมธอดิสต์สมัยใหม่ละเลยมาโดยตลอด
*ดูที่ "A Plain Account of the People Called Methodists," in The Works of John Wesley, Volume VIII (Grand Rapids: Zondervan), 249-258.
เข้าใจคริสตจักรที่เป็นเนื้อแท้
อาคารคริสตจักรเก่าแก่ที่สุดที่พบถูกสร้างขึ้นประมาณคริสตศักราช 250 ในสองศตวรรษแรกคริสตจักรมองตนเองในฐานะผู้คนไม่ใช่อาคารหรือองค์กร คริสตจักรประกอบด้วยกลุ่มคริสเตียนที่นมัสการด้วยกัน เผยแพร่พระกิตติคุณ และเชื่อฟังพระคัมภีร์
กลุ่มคนขนาดเล็กเป็นอิฐก่อสร้างพื้นฐานของโครงสร้างคริสตจักรที่มีประสิทธิภาพทุกคริสตจักร การสร้างสาวกโดยกลุ่มขนาดเล็กไม่ใช่สถาบันใหม่ที่สักวันจะล้าสมัย ไม่ใช่วิธีใหม่ที่อาจใช้การได้ในบางที่และใช้การไม่ได้ในบางที่ แต่กลุ่มขนาดเล็กเป็นอิฐก่อสร้างพื้นฐานของคริสตจักร พันธกิจในกลุ่มขนาดเล็กอาจทำได้หลายวิธีเพื่อตอบสนองความท้าทายต่างๆที่คริสตจักรท้องถิ่นประสบอยู่
คริสตจักรจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ถ้าหากผู้คนไม่ได้รับการสั่งสอนและอบรมอย่างสม่ำเสมอในสภาพแวดล้อมที่เป็นส่วนตัวกว่าที่ประชุมทั้งคริสตจักรหรือโรงเรียนรวีวารศึกษาส่วนใหญ่
คำเตือน
กลุ่มขนาดเล็กจะเป็นฝ่ายวิญญาณพอๆกับความเป็นฝ่ายวิญญาณของคนที่เกี่ยวข้อง ถ้าหากพวกเขาไม่ใช่สาวกที่อุทิศตัวโดยมีสิ่งสำคัญอันดับแรกคือทำให้พระเจ้าพอพระทัย ใช้ชีวิตอย่างสัตย์ซื่อ และบรรลุพันธกิจของคริสตจักรแล้ว กลุ่มขนาดเล็กก็อาจนอกลู่นอกทางได้หลายวิธี
ความจำเป็นของการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณ
การมีการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณคือการสร้างความสัมพันธ์กับคนหรือกลุ่มที่คุณรายงานสภาวะฝ่ายวิญญาณ ความสำเร็จหรือล้มเหลวทางวินัยฝ่ายวิญญาณ และพันธสัญญาต่างๆเพื่อการพัฒนาของคุณ พวกเขาบอกคุณเวลาที่คิดว่าคุณกำลังทำผิด คุณบอกพวกเขาถึงพันธสัญญาของคุณและพวกเขาถามคุณทีหลังว่าคุณยังคงรักษาพันธสัญญานั้นอยู่หรือเปล่า
ส่วนย่อยก่อนหน้านี้อธิบายถึงพื้นฐานจากพระคัมภีร์สำหรับการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณในชุมชนคริสเตียนที่สมบูรณ์แข็งแรงโดยละเอียดมากกว่า ถ้าหากไม่มีการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณ เราก็จะไม่บรรลุพระบัญชาแห่งพระคัมภีร์ทั้งสิ้นและเราจะละเลยเครื่องมือที่พระเจ้าทรงออกแบบเพื่อประทานพระคุณให้แก่เราครับ
เพราะฉะนั้นท่านจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเผื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รับการรักษาโรค (ยากอบ 5:16)
ผู้คนจะไม่สารภาพความผิดส่วนตัวเว้นเสียในความสัมพันธ์ที่ทำให้การสารภาพเป็นเรื่องง่าย ถ้าหากเขาไม่สารภาพกับบางคนที่อธิษฐานเผื่อความผิดของเขา เขาก็ละเลยเครื่องมือที่พระเจ้าทรงออกแบบมาเพื่อตอบสนองความจำเป็นเหล่านั้น
จงช่วยรับภาระของกันและกัน และด้วยการกระทำเช่นนี้ท่านทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระคริสต์ (กาลาเทีย 6:2)
ถ้าหากเราไม่รู้จักบางคนเป็นอย่างดี เราก็ไม่รู้ว่าภาระร้ายแรงที่สุดของเขาคืออะไร เราไม่อาจบรรลุพระบัญชาจากพระคัมภีร์โดยปราศจากความสัมพันธ์ที่ทำให้เป็นไปได้
และขอให้เราพิจารณาดูเพื่อจะปลุกใจกันและกันให้มีความรักและทำความดี (ฮีบรู 10:24)
เราต้องตรวจสอบกันและกันอย่างใกล้ชิดด้วยแรงจูงใจแห่งความรักเพื่อจะเข้าใจว่าคำหนุนใจใดและคำตำหนิใดที่จำเป็น คำหนุนใจจะตื้นเขินและคำตำหนิจะได้รับการต่อต้านถ้าหากเราไม่มีความสัมพันธ์พิเศษกับคนอื่นครับ
คำถามต่อไปนี้อาจช่วยคนให้กำหนดได้ว่าชีวิตของเขามีการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณหรือเปล่า
ผมมีความสัมพันธ์อะไรบ้างที่เอื้อให้บางคนช่วยผมแบกภาระที่ร้ายแรงที่สุด ที่เอื้อให้ผมสารภาพความผิดกับบางคน ที่เอื้อให้ผมช่วยบางคนที่มีภาระ และที่เอื้อให้บางคนตอบสนองต่อสภาวะฝ่ายวิญญาณตอนนี้ของผม?
มีหลายครั้งที่ผมไม่มีใครที่พึ่งพาได้ ที่ผมดีใจที่ไม่มีใครรู้ถึงสภาวะของผม ที่ผมรู้สึกกระดากที่จะรายงานเวลาอธิษฐานหรือเวลาศึกษาพระคัมภีร์ของผมหรือเปล่า?
คริสตจักรส่วนใหญ่ไม่บรรลุความรับผิดชอบแห่งการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณถ้าหากไม่จัดระบบให้ทำอย่างนั้นได้ สำหรับหลายคริสตจักรแล้วระบบที่ว่านั้นคือระบบของกลุ่มขนาดเล็กครับ
คุณสมบัติของผู้นำกลุ่มขนาดเล็ก
“ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่กระทำได้เพื่อช่วยคนจำนวนมากแล้วก็ตาม แต่พระองค์ก็ยังทรงอุทิศพระองค์ต่อคนไม่กี่คนแทนที่จะทรงอุทิศพระองค์เพื่อคนจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เพื่อที่สุดท้ายแล้วคนจำนวนมากอาจได้รับความรอด นี่เป็นพระอัจฉริยภาพของกลยุทธ์ของพระองค์ โรเบิร์ต โคลแมน , The Master’s Plan
พระเยซูทรงแสดงให้เห็นถึงสิ่งสำคัญอันดับแรกของการสร้างสาวก ตั้งแต่ต้นพันธกิจของพระองค์ พระองค์ทรงเลือกไม่กี่คนให้รับผิดชอบในการแนะนำคริสตจักร พระองค์ไม่ได้ทรงใช้เวลาทั้งหมดเทศนาคนนับพันที่ติดตามพระองค์ แต่พระองค์ทรงมักใช้เวลาอบรมสาวกสิบสองคน พระองค์ทรงขยายพันธกิจของพระองค์ผ่านผู้ที่พระองค์ทรงอบรม
คนที่สร้างสาวกควรมีคุณลักษณะต่างๆดังต่อไปนี้ เขาอาจจะไม่ยอดเยี่ยมในคุณลักษณะทุกด้าน กระนั้นก็ควรพยายามปรับปรุงคุณลักษณะทั้งหมด ถ้าหากเขาขาดคุณลักษณะบางอย่างไป ตัวเขาก็จะมีประสิทธิภาพน้อยลงครับ
1. ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เขาควรมีคุณลักษณะแห่งความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณที่อธิบายเอาไว้ในส่วนย่อยก่อนหน้า ถ้าหากเขาไม่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เขาจะไม่เป็นตัวอย่างที่ดีและจะไม่มีประสบการณ์ที่เขาต้องการ
2. ว่างพร้อม ถ้าหากตารางเวลาของแน่นเกินไปและไม่จัดการให้ดี เขาก็จะไม่ว่างพร้อมสำหรับพันธกิจกลุ่มขนาดเล็ก เขาต้องทำให้เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
3. ไว้วางใจได้ เขาต้องเป็นคนที่บรรลุพันธสัญญาต่างๆของตัวเอง เขาต้องรักษานัดต่างๆได้ เขาต้องจดจำว่าจะดูแลคนอื่นให้เป็นที่ตรวจสอบได้ถึงพันธสัญญาต่างๆของพวกเขา
4. มั่นใจ เขาต้องเชื่อว่าเขาเรียนรู้วิธีนำกลุ่มได้ ถ้าหากเขามีความสามารถแต่ไม่เชื่อในความสามารถนั้น เขาก็ต้องการประสบการณ์นำทางบางอย่างที่จะสร้างความมั่นใจให้กับเขา
5. คลี่คลายความขัดแย้งเป็น เขาจำเป็นต้องรักษาท่าทีที่ถูกต้องเอาไว้ได้เวลาที่คนไม่เห็นด้วยและก่อปัญหาต่างๆขึ้น เขาจำเป็นต้องช่วยคลี่คลายความขัดแย้งต่างๆระหว่างคนอื่นๆ
6. สอนเป็น ผู้คนเข้าใจคำอธิบายของเขาหรือไม่? ผู้นำต้องเป็นคนที่ไม่ทำให้ผู้คนสับสน
7. กระหายพระวจนะของพระเจ้า เขาต้องมีความยินดีในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเขาจะเชื้อเชิญคนอื่นๆให้มายินดีด้วยเช่นกัน เขาต้องให้พระคัมภีร์สำคัญต่อความสัมพันธ์ของเขากับพระเจ้า
8. พึ่งพาพระเจ้า เขาต้องตระหนักว่าผลลัพธ์ฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นโดยพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น เขาต้องพร้อมจะร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาต้องพึ่งพาการเจิมจากพระเจ้า เขาต้องไม่มั่นใจว่าคำอธิบายต่างๆของเขาจะสำเร็จเนื่องจากความสามารถของเขาตามลำพัง
9. พร้อมจะรับใช้ เขาต้องเป็นคนที่รู้สึกว่ากำลังทำสิ่งที่มีคุณค่าเวลาที่รับใช้คนอื่น เขาไม่ควรเป็นคนที่อยากให้คนอื่นรับใช้ เขาไม่ควรมองหาพันธกิจด้วยวัตถุประสงค์ที่จะแสดงออกถึงความสามารถของตน เขาต้องตอบสนองต่อความจำเป็นต่างๆและพร้อมจะอาสา
10. อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณ เขาควรเป็นที่ตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณต่อบางคน เขาควรทำตามคำชี้แนะของผู้นำฝ่ายวิญญาณ
11. สัตย์ซื่อต่อคริสตจักร ผู้นำกลุ่มควรเป็นสมาชิกที่อุทิศตัวของคริสตจักรท้องถิ่น พันธกิจแห่งการสร้างสาวกควรทำให้คนชื่นชมคริสตจักรและอุทิศตัวต่อคริสตจักรมากขึ้น
12. กระตือรือร้นที่จะสำเร็จ ถ้าหากเขามีความกระตือรือร้นที่จะสำเร็จ เขาก็จะไม่ล้มเลิกง่ายๆ เขาจะปรับตัวต่อสถานการณ์แวดล้อมต่างๆ เขาจะมองหาข้อมูลที่ช่วยให้เขามีประสิทธิภาพมากขึ้น เขาจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นเวลาที่มีปัญหาหรือมีโอกาส เขาจะมีพลังและตื่นตัว
13. แม่นยำในหลักคำสอน เขาควรมีพื้นฐานที่ดีด้านหลักคำสอนจากพระคัมภีร์และการเผยแพร่พระกิตติคุณ
14. ได้รับการอบรมเพื่อพันธกิจ ไม่จำเป็นที่การอบรมพันธกิจต้องปรากฏอยู่ในสถาบันการศึกษา การอบรมเริ่มด้วยการสังเกตเมื่อผู้เชื่อเห็นว่าทำพันธกิจอย่างไร การอบรมเพิ่มขึ้นด้วยการมีส่วนร่วมเมื่อเขาได้รับความรับผิดชอบภายใต้คำชี้แนะ การอ่านและการศึกษาข้อมูลที่ดีมีความสำคัญมาก
พัฒนาโปรแกรมการสร้างสาวก
วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างสาวกคือคริสตจักรท้องถิ่นเข้าใจความรับผิดชอบและสิ่งสำคัญอันดับแรกของการสร้างสาวก การทำงานอย่างเป็นเอกภาพ
ดังนั้นคำชี้แนะเหล่านี้จึงมาถึงผู้นำและสมาชิกที่อุทิศตัวของคริสตจักร
ถ้าหากคริสตจักรตระหนักว่าตนจำเป็นต้องสร้างสาวกให้ดีกว่าเดิม คริสตจักรก็ควรศึกษาพระคัมภีร์และประเด็นต่างๆในหลักสูตรนี้เกี่ยวกับการสร้างสาวกเป็นอันดับแรก ผู้นำนำเสนอข้อมูลได้ สมาชิกที่อุทิศตัวของคริสตจักรทุกคนควรเกี่ยวข้องถ้าเป็นไปได้เพื่อพวกเขาจะสามารถแบ่งปันนิมิตได้ครับ
ส่วนที่สองของการพัฒนาคือการสังเกตสิ่งที่คริสตจักรกำลังทำอยู่ คริสตจักรส่วนใหญ่มีกลุ่มทำการอยู่แล้วถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ได้เริ่มต้นอย่างมีวัตถุประสงค์เพื่อจะเริ่มโปรแกรมกลุ่มขนาดเล็กก็ตาม ตัวอย่าง เช่น อาจมีกลุ่มนักดนตรีในคริสตจักรที่พบกันกันบ่อยๆ อาจมีคณะมัคนายก อาจมีชั้นเรียนโรงเรียนรวีวารศึกษา และครูโรงเรียนรวีวารศึกษาอาจจัดกลุ่มขึ้น ยุวชนคริสตจักรอาจพบกันเป็นครั้งคราว คณะกรรมการมีอยู่เพื่อดูแลความรับผิดชอบหลายๆอย่าง กลุ่มอาจประกอบด้วยคนที่ทำโครงการด้วยกัน อาจมีครอบครัวต่างๆในคริสตจักรที่มาพบปะกันเพื่อสามัคคีธรรมเป็นครั้งคราว อาจมีกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ที่บ้านและมีการประชุมอธิษฐาน
กลุ่มเหล่านี้อาจไม่ได้ตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์แห่งการสร้างสาวกหรือการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณแต่ก็อาจช่วยรองรับวัตถุประสงค์เหล่านั้นได้ ทุกคริสตจักรที่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณล้วนมีกลุ่มทำการเพื่อสนับสนุนฝ่ายวิญญาณนั้น เวลาที่คริสตจักรตัดสินใจปรับปรุงโปรแกรมการสร้างสาวก คริสตจักรก็ควรตรวจสอบกลุ่มต่างๆที่มีอยู่และดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นแล้วจึงคิดว่าวัตถุประสงค์ต่างๆจะสำเร็จดีกว่าเดิมได้อย่างไรครับ
อาจจำเป็นต้องมีกลุ่มใหม่ๆ บางทีอาจจำเป็นต้องมีกลุ่มประเภทต่างๆ อาจมีกลุ่มที่ให้การอบรมที่ใช้การได้สำหรับพันธกิจ อาจมีกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์และอธิษฐานเป็นสำคัญ อาจมีกลุ่มขนาดเล็กสำหรับการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณอย่างจริงจัง
วัตถุประสงค์ของกลุ่มกำหนดว่าใครควรอยู่ในกลุ่มและลักษณะที่กลุ่มควรทำหน้าที่ ตัวอย่าง เช่น กลุ่มสำหรับการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณอย่างจริงจังควรมีคนน้อยกว่าสิบคน ถ้าหากกลุ่มใหญ่เกินไป การเก็บความลับก็ลดลง การแบ่งปันก็ตื้นเขิน จำเป็นต้องมีการควบคุมมากขึ้น อาจมีการมีส่วนร่วมน้อยลง และการเข้าร่วมก็มีแนวโน้มที่จะแย่ลง ระดับความลึกของการแบ่งปันส่วนตัวจะถูกจำกัดถ้าหากผู้ชายและผู้หญิงอยู่ร่วมกัน
วัตถุประสงค์ของกลุ่มกำหนดว่าควรเปิดให้มีสมาชิกใหม่หรือเปล่า ถ้าหากวัตถุประสงค์คือการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณก็ไม่ควรเพิ่มสมาชิกใหม่หลังจากที่กลุ่มได้พบปะกันหลายครั้งแล้ว คนส่วนใหญ่จะไม่แบ่งปันเกี่ยวกับสภาวะฝ่ายวิญญาณของตัวเองจนกว่าจะรู้สึกมั่นคงกับคนอื่นๆในกลุ่ม ถ้าหากวัตถุประสงค์ของกลุ่มเพื่อครอบคลุมชุดบทเรียนการเพิ่มคนตลอดชุดของการประชุมก็ทำไม่ได้
อาจมีกลุ่มสำหรับผู้เชื่อใหม่ เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เชื่อใหม่ไม่ต้องคอยอยู่นานหลายสัปดาห์เพื่อเข้ากลุ่ม ดังนั้นกลุ่มนี้จำเป็นต้องมีชุดบทเรียนหมุนเวียนเพื่อให้คนใหม่เข้าร่วมได้ตลอดเวลา ผู้นำต้องตระหนักว่าผู้เชื่อใหม่บางคนจะถอนตัว การที่บางคนออกจากกลุ่มไม่ได้หมายความว่ากลุ่มทำงานไม่ดี ถึงแม้ว่ามีบางคนถอนตัว แต่กลุ่มสำหรับผู้เชื่อใหม่ก็ควรเปิดกว้างสำหรับคนใหม่ครับ
ถ้าหากเป็นกลุ่มสำหรับการอบรมพันธกิจหรือการพัฒนาฝ่ายวิญญาณระดับลึก สมาชิกกลุ่มก็ควรเป็นคนที่ปรารถนาจะเติบโตฝ่ายวิญญาณและเต็มใจจะอุทิศตัวต่อเป้าหมายของกลุ่ม ถ้าหากสมาชิกบางคนไม่อุทิศตัว กลุ่มก็จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ได้ดี
สมาชิกส่วนใหญ่ต้องอาศัยการเกณฑ์โดยเชื้อเชิญส่วนตัว อย่ารอให้คนขอเข้าร่วม
ไม่ใช่ทุกคนในคริสตจักรจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโปรแกรมกลุ่มขนาดเล็ก ถ้าหากคุณเป็นผู้นำในคริสตจักร อย่าผลักไสคนโดยวิจารณ์พวกเขาที่ไม่เข้าร่วมกลุ่มขนาดเล็ก สนับสนุนพันธกิจกลุ่มด้วยการอธิบายถึงประโยชน์ของกลุ่มครับ
ให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าใจถึงความสำคัญของกลุ่มในการพบปะครั้งแรก แบ่งปันพระคัมภีร์และข้อมูลที่แสดงถึงความสำคัญของการสร้างสาวก
กลุ่มอาจกำหนดตารางเวลาและจำนวนสัปดาห์ที่พบปะเพื่อช่วยการเข้าร่วม อธิบายว่ากลุ่มกำลังครอบคลุมชุดบทเรียนที่เจาะจงอยู่และบอกพวกเขาว่าจะเสร็จชุดบทเรียนนี้เมื่อไหร่ วิธีนี้จะทำให้สมาชิกแต่ละคนรู้อย่างแน่ชัดว่ากำลังอุทิศตัวให้กับอะไรอยู่ เน้นถึงความจำเป็นสำหรับการเข้าร่วมทุกครั้ง หลังจากจบชุดบทเรียนแล้วอาจเริ่มกลุ่มกับคนที่อยากเข้าร่วมต่ออีกครั้งได้
ฉากเหตุการณ์เพื่อการพิจารณา
สยามชัยมาเป็นคริสเตียนมาหลายปีแล้ว เขาเป็นสมาชิกคริสตจักรและช่วยเหลือคริสตจักรของเขา เขาเป็นห่วงว่าคริสตจักรของเขาไม่มีแผนสำหรับการสร้างสาวก เขาคิดว่าคริสตจักรควรเริ่มกลุ่มขนาดเล็กแต่บรรดาผู้นำไม่สนใจ
► สยามชัยควรทำอะไร?
สยามชัยควรพูดกับบรรดาผู้นำคริสตจักรและขอความเห็นชอบจากพวกเขาเพื่อนำกลุ่มขนาดเล็ก เขาไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์พันธกิจของคริสตจักรแต่อธิบายถึงประโยชน์ที่ได้รับจากกลุ่ม ถ้าหากกลุ่มทำได้ดี คริสตจักรก็จะเริ่มเข้าใจถึงประโยชน์ของพันธกิจประเภทนี้
นำกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ
มีความตื่นเต้นและความคาดหวังเมื่อเริ่มต้นกลุ่ม สมาชิกหลายคนไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าต้องคาดหวังอะไร แต่พวกเขาหวังจะได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มครับ
คำชี้แนะต่างๆต่อไปนี้จะช่วยให้กลุ่มมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ มีหลักการสำคัญสำหรับการทำหน้าที่ของกลุ่มขนาดเล็ก ถ้าหากผู้นำช่วยให้กลุ่มทำตามหลักการเหล่านี้ เขาก็จะลดความคับข้องใจและความท้อใจ
การพบปะครั้งแรกอาจแตกต่างจากการพบปะครั้งอื่นๆเพราะกลุ่มกำลังเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีพบปะ อย่างไรก็ตามการพบปะครั้งแรกจะกำหนดแนวทางสำหรับการพบปะต่อไปในอนาคต ถ้าหากคนไม่พูดในการพบปะครั้งแรก เขาคาดหวังว่าจะเงียบแบบเดียวกันในอนาคต ถ้าบางคนควบคุมการสนทนาร่วมกัน กลุ่มย่อมคาดหวังว่าการพบปะในอนาคตจะถูกควบคุมโดยคนเดียวกันนี้ ถ้าการพบปะกันไม่มีระเบียบ พวกเขาก็จะคาดหวังสิ่งเดียวกันในอนาคต ถ้าหากการพบปะเป็นเหมือนชั้นเรียนที่มีการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนน้อย พวกเขาก็จะคาดหวังรูปแบบเดียวกัน
สมาชิกบางคนอาจถอนตัวหลังจากพบปะสองสามครั้งเพราะกลุ่มไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคาดหวัง การนำการพบปะอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสมาชิกที่คาดหวังสิ่งที่ถูกต้องจะไม่ผิดหวังครับ
เครื่องชี้แนะสำหรับความมีประสิทธิภาพ
(1) กำหนดตารางเวลากลุ่มให้พบปะเป็นประจำทุกสัปดาห์ถ้าเป็นไปได้ บางคนอาจต้องการความช่วยเหลือเรื่องการดูแลลูก
(2) รูปแบบการพบปะควรเป็น (1) เวลาศึกษา จากนั้น (2) แบ่งปันความจำเป็นส่วนตัวเพื่อจะอธิษฐาน จากนั้น (3) อธิษฐาน
ถ้าหากวัตถุประสงค์พื้นฐานของกลุ่มคือการศึกษา เวลาศึกษาอาจนานและเวลาส่วนอื่นสั้น แต่ยังควรมีทั้งสามส่วน ถ้าหากวัตถุประสงค์ของกลุ่มคือการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณ เวลาศึกษาอาจสั้นแต่พวกเขาควรมีข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่
ถ้าหากกลุ่มมีการแบ่งปันส่วนตัวและการอภิปรายแต่ไม่มีข้อมูลบทเรียนให้ศึกษา การพบปะนี้มีแนวโน้มที่จะสับสนอลหม่าน จะถูกบุคลิกภาพของสมาชิกบางคนควบคุม ข้อมูลบทเรียนทำให้พวกเขาทุกคนตอบสนองต่อความจริงมากกว่าสิ่งที่อยู่ในความคิด
(3) เริ่มต้นและสิ้นสุดการพบปะตรงเวลา
ถ้าหากคุณเริ่มต้นและเสร็จการพบปะสาย คนที่ให้คุณค่ากับเวลาของตัวเองจะเริ่มต้นมาสายหรือข้ามการพบปะบางครั้งไป
(4) กำหนดวันที่กลุ่มจะสิ้นสุดลง
สมาชิกจำเป็นต้องรู้ว่าพันธสัญญาของพวกเขายาวนานแค่ไหน โดยปกติแล้วไม่ควรอนุญาตให้สมาชิกใหม่เข้าร่วมหลังจากที่พบปะแล้วหลายครั้งถ้าหากกลุ่มไม่ได้หมุนเวียนบทเรียนสำหรับผู้เชื่อใหม่ ถ้าหากกลุ่มกำลังศึกษาชุดบทเรียน จำนวนบทเรียนอาจกำหนดจำนวนสัปดาห์ที่พบปะ ถ้าหากพวกเขาพบปะเพื่อการตรวจสอบได้ฝ่ายวิญญาณพวกเขาควรกำหนดระยะเวลาหกเดือน หลังจากสิ้นสุดลงพวกเขาจัดขึ้นใหม่อีกครั้งได้ เวลานั้นสมาชิกบางคนอาจออกจากกลุ่มและกลุ่มสามารถพิจารณาได้ว่าควรให้สมาชิกเข้าร่วมหรือเปล่า
(5) เวลาศึกษาให้เน้นวัตถุประสงค์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตมากกว่าความรู้ที่แค่ให้รู้ไว้เท่านั้น
สมาชิกจะรู้สึกว่ากลุ่มนั้นควรค่าถ้าหากเขาดึงการประยุกต์เจาะจงส่วนตัวจากการศึกษามาใช้ได้
(6) ติดตามพันธสัญญา
ถ้าหากบางคนแบ่งปันปัญหาและตกลงว่าเขาควรลงมือทำอะไรบางอย่าง ถามในการพบปะครั้งถัดไปว่าเขาได้ทำอย่างที่บอกว่าจะทำหรือเปล่า
(7) ผู้นำควรว่างพร้อมจะพบปะกับสมาชิกแต่ละคนเพื่อให้คำชี้แนะฝ่ายวิญญาณ
สมาชิกคนอื่นอาจรวมตัวกันเพื่อรับการหนุนใจในเวลาอื่น
(8) เลือกสถานพบปะที่ดี
ควรเป็นสถานพบปะแบบไม่เป็นทางการโดยมีบรรยากาศแบบที่บ้าน ถ้าเป็นไปได้ที่นั่งควรเป็นวงกลมเพื่อสมาชิกแต่ละคนจะเห็นหน้าสมาชิกคนอื่น นี่จะกระตุ้นการมีส่วนร่วม พบปะในสถานที่ที่จะไม่มีสิ่งรบกวนหรือสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิ
(9) ฝึกฝนนิสัยการฟังที่ดี
เครื่องหมายของการฟังที่ดีคือการสบตา การแสดงออกถึงการจดจ่อ การละเลยสิ่งต่างๆที่ทำให้เสียสมาธิ และการตอบสนองต่ออารมณ์ขันหรืออารมณ์อื่นๆของผู้พูด
(10) ให้แน่ใจว่าไม่มีสมาชิกคนไหนไม่พูดอยู่เสมอ
ป้อนคำถามแก่สมาชิกที่ไม่ค่อยพูด (“คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ สมพงษ์?)
(11) อย่ากดดันสมาชิกให้แบ่งปันเรื่องราวส่วนตัว
แต่พยายามสร้างบรรยากาศที่สมาชิกรู้สึกเป็นอิสระที่จะพูด สร้างความเชื่อมั่นแก่สมาชิกด้วยการสบตาและยกย่องสิ่งที่เขาพูด
(12) พยายามถามคำถามที่พวกเขาตอบได้เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่พวกเขา
ถ้าหากมีบางคนตอบผิด พยายามรับรองสิ่งที่ดีเกี่ยวกับคำตอบก่อนจะให้คำวิจารณ์เกี่ยวกับคำตอบนั้น
(13) พยายามรับรองทุกความคิดเห็นในบางลักษณะก่อนวิจารณ์
(14) ถ้าหากบางคนมีแนวโน้มว่าจะพูดมากเกินไปและตอบทุกคำถาม หาวิธีจำกัดเขา
วิธีหนึ่งคือถามคำถามเจาะจงกับสมาชิก หรือคุณอาจถามว่า “พวกคุณที่เหลือคิดว่าอย่างไรครับ?” ในการอภิปราย คุณอาจพูดว่า “ให้เราฟังคนที่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กันนะครับ”
ถ้าหากสมาชิกยังคงพูดมากเกินไป ผู้นำควรพูดกับเขานอกการพบปะ เขาควรพูดในลักษณะนี้ว่า “สมพงษ์ คุณเป็นคนคิดไวและตอบสนองได้ไวเวลาอภิปราย แต่ผมเป็นห่วงว่าบางคนจะไม่ได้มีส่วนร่วมถ้าหากเราตอบทุกอย่างไว คุณช่วยผมให้ทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องได้ไหมครับ?”
(15) อย่าให้สมาชิกสองสามคนอภิปรายกันเองแล้วไม่สนใจกลุ่ม
ถ้าหากมีบางคนโต้แย้งเกี่ยวกับบางอย่างเป็นเวลานาน บอกเขาว่าต้องจบการอภิปรายนั้นภายหลังนอกการพบปะ
(16) อย่าอนุญาตให้มีใครรบกวนคนอื่นๆ
ยกมือขึ้น หยุดคนที่รบกวนอย่างแน่วแน่ แล้วให้คนพูดคนแรกพูดให้จบ มิฉะนั้นการอภิปรายจะถูกควบคุมโดยสมาชิกที่มีมารยาทน้อยกว่าเสมอ คนที่แน่วแน่น้อยกว่าจะรู้สึกคับข้องใจที่ตัวเองไม่อาจพูดจบประโยค
(17) ฟังคำบ่นต่างๆ
ทุกคำบ่นอาจแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่แก้ไขได้ อย่าละเลยเครื่องหมายต่างๆที่แสดงถึงความไม่พอใจ ถ้าหากมีบางคนที่รู้สึกไม่พอใจกับการพบปะ เขาอาจะไม่เข้าใจวัตถุประสงค์หรือเขาอาจมีคำบ่นที่มีเหตุผลก็ได้
(18) ถ้าหากสมาชิกแสดงตัวว่าไม่เป็นมิตร น่ารำคาญ ชอบโต้แย้ง หรือเบื่อ เขาอาจไม่ยอมรับเป้าหมายของกลุ่มก็ได้
กลุ่มอาจไม่อย่างที่เขาคาดหวัง พูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวเพื่อช่วยให้เขาเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของกลุ่ม
(19) ผู้นำไม่จำเป็นต้องรู้คำตอบสำหรับทุกคำถาม
บทบาทของเขาไม่ใช่เพื่อให้มีคำตอบสำหรับทุกเรื่องแต่เพื่อนำกลุ่มนำภาระต่างๆสู่การอธิษฐาน
(20) ยืดหยุ่นและอดทนต่อสิ่งที่รบกวนตารางเวลา
จดจำว่าเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของเราเป็นส่วนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อพัฒนาเรา ปัญหาคือโอกาส
(21) ถ้าหากสมาชิกมักใช้การพบปะทั้งหมดแบ่งปันความจำเป็นของตัวเอง เสนอให้คำปรึกษาแก่เขาในเวลาอื่น
มิฉะนั้นสมาชิกคนอื่นจะรู้สึกว่าการพบปะถูกขโมย อย่าให้กลุ่มสูญเสียวัตถุประสงค์ของกลุ่มไปถ้าหากสมาชิกไม่เห็นด้วยว่าควรเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์
(22) อย่ายอมให้การอภิปรายถูกล้มไป
อย่าให้กลุ่มกลายเป็นที่ประชุมสำหรับวิพากษ์วิจารณ์คริสตจักรท้องถิ่นและผู้นำคนอื่นๆ
(23) จดจำว่าประสิทธิภาพของกลุ่มขึ้นอยู่กับฤทธิ์เดชของพระเจ้าซึ่งทำงานผ่านกลุ่ม
กลุ่มเป็นเพียงโครงสร้างจากพระคัมภีร์ที่พระเจ้าทรงใช้เท่านั้น
3. การตอบสนองความจำเป็นต่างๆของสาวกใหม่
การตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อผู้เชื่อใหม่
การสร้างสาวกเริ่มต้นที่การเปลี่ยนความเชื่อ ผู้เชื่อใหม่มีความจำเป็นเร่งด่วนหลายอย่าง เขาจำเป็นต้องรู้วิธีอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์เพื่อจะสานต่อความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่เขาพึ่งเริ่มต้นขึ้น เขาจำเป็นต้องรู้จักชุมชนเพื่อนใหม่ด้วยเช่นกันเพราะเขาจะเสียเพื่อนเก่าหลายคน เขาต้องการคำชี้แนะเกี่ยวกับประเด็นรูปแบบการใช้ชีวิตต่างๆครับ
คริสตจักรต้องเริ่มต้นการสร้างสาวกกับผู้เชื่อใหม่ทันที ทันทีไม่ได้หมายถึงวันอาทิตย์ถัดไป ทันทีหมายถึงเวลาที่เขาเงยหน้าขึ้นหลังจากอธิษฐานเพื่อรับความรอด บางคนต้องรับผิดชอบติดต่อกับผู้เชื่อใหม่เป็นประจำทุกวันอย่างน้อยในสัปดาห์แรก เขาควรพบกับคริสเตียนหลายๆคนในคริสตจักรท้องถิ่น เขาควรมีโอกาสได้อภิปรายถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นกับเขาและถามคำถามต่างๆ
ผู้เชื่อใหม่ควรได้รับเชิญให้เข้าร่วมกลุ่มขนาดเล็กที่ตัวเขาจะถามคำถามต่างๆและได้รับการหนุนใจได้ ถ้าเป็นไปได้เขาควรถูกแนะนำแก่คนอื่นๆภายในกลุ่มก่อนการพบปะครั้งแรกที่เขาเข้าร่วม สมาชิกหลายคนอาจโทรศัพท์ถึงเขาล่วงหน้าเพื่อสร้างความคุ้นเคยและต้อนรับเขาเข้าสู่กลุ่ม สิ่งนี้เริ่มสร้างความรู้สึกของการอยู่ในชุมชนให้แก่เขาครับ
ผู้เชื่อใหม่ควรร่วมกลุ่มในการพบปะถัดไป บทเรียนต่างๆควรครอบคลุมแบบหมุนเวียนเพื่อให้เพิ่มสมาชิกใหม่ได้ตลอดเวลา วิธีทีนี้ผู้เชื่อจะมีรับกลุ่มการสนับสนุนทันที สมาชิกจบชั้นจากหลักสูตรเป็นรายบุคคลเวลาที่พวกเขาจบบทเรียนทั้งหมด
อธิษฐานด้วยคำอธิษฐานของเปาโลสำหรับผู้เชื่อ
คำอธิษฐานของเปาโลสำหรับผู้เชื่อใหม่บอกสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นกับคริสเตียนใหม่ คำอธิษฐานเหล่านี้แนะนำเราในการอธิษฐานเผื่อคริสเตียนใหม่เพราะเราควรอธิษฐานถึงสิ่งเดียวกันสำหรับพวกเขาอย่างที่เปาโลอธิษฐาน คำอธิษฐานเหล่านี้ยังแนะนำพันธกิจของเราด้วยเช่นกันเพราะว่าเราควรร่วมมือกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อพวกเขา
ให้เราพิจารณาคำอธิษฐานของเปาโลสำหรับคนสามกลุ่มที่แตกต่างกันออกไป
ชาวเธสะโลนิกา
► อ่านพระธรรม 1 เธสะโลนิกา 5:23-24
จดหมายฉบับแรกถึงชาวเธสะโลนิกาเรียกร้องถึงความบริสุทธิ์ ผู้เชื่อทุกคนถูกเรียกให้ใช้ชีวิตอย่างมีชัยชนะและบริสุทธิ์ พระเจ้าทรงสัญญาว่านั่นเป็นไปได้โดยความเชื่อ เราควรอธิษฐานและสอนด้วยเป้าหมายที่จะนำผู้เชื่อทุกคนสู่ชัยชนะและความบริสุทธิ์
ชาวฟีลิปปี
► อ่านพระธรรมฟีลิปปี 1:9-11
ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้บอกถึงขั้นตอนต่อเนื่องในชีวิตของผู้เชื่อ ความรักของเขาควรเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง เมื่อความรักของเขาเพิ่มพูน ความสามารถของเขาในการแยกแยะว่าสิ่งไหนดีที่สุดควรเพิ่มพูนด้วย เมื่อเขาแยกแยะ เขาก็ปรับชีวิตของเขาให้เข้ากับจุดสนใจว่าสิ่งไหนดีที่สุด สิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นเพื่อตัวเขาจะบริสุทธิ์ (จริงใจ) และปราศจากการละเมิด
ผู้คนที่เปาโลเขียนจดหมายถึงเป็นคนที่เป็นคริสเตียนมาแล้วระยะหนึ่ง กระนั้นเปาโลก็อธิษฐานที่พวกเขาจะเพิ่มพูนความรักที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเรื่อยไปและจะเข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขามากขึ้นโดยความรักนั้น
คำถามต่างๆที่ผู้เชื่อใหม่ควรพิจารณามีดังต่อไปนี้
- ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่ผมทำเมื่อพระเจ้าทรงแสดงให้ผมเห็นว่าท่าที นิสัย หรือการกระทำไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดคืออะไร?
- มีบางอย่างในชีวิตที่ผมสงสัยอยู่หรือเปล่า?
- ผมเต็มใจจะยินยอมให้พระเจ้าแสดงให้ผมเห็นในคำอธิษฐานถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่ตัวผมควรทำหรือเปล่า?
ชาวโคโลสี
► อ่านพระธรรมโคโลสี 1:9-12
ท่านอธิษฐานที่พวกเขาจะรับความรู้แห่งน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยสรรพปัญญาและความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ผู้เชื่อใหม่ยังไม่เข้าใจทั้งหมดเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของเขา เขาจะค่อยๆมองเห็นว่านิสัย คำพูด ท่าทีบางอย่างควรเปลี่ยนแปลง เขาจะปรับชีวิตของเขาให้เข้ากับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเนื่องจากเขารักพระเจ้า ผู้สร้างสาวกควรอธิษฐานและสอนคริสเตียนใหม่ด้วยความระมัดระวังเพื่อให้เขาสำนึกถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า
ท่านกล่าวว่าพวกเขาจะ “ดำเนินชีวิตควรค่าแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า” ซึ่งเป็นผลจากการเข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น พวกเขาจะเป็นตัวแทนที่เหมาะสมมากขึ้นของพระเจ้า ชีวิตของพวกเจาจะสอดคล้องกับการแสดงตัวถึงการได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระคุณ สิ่งที่ผู้สร้างสาวกต้องจดจำคือชีวิตของคริสเตียนใหม่จะมีความไม่คงเส้นคงวาบางอย่างให้เห็นในจนกว่าขั้นตอนนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตของเขาไปแล้วระยะหนึ่ง
ส่วนของ “การดำเนินชีวิตควรค่า” ถูกรวมเข้าไว้ในการ “เกิดผลในการดีทุกอย่าง” เราไม่ควรแปลกใจเวลาที่คริสเตียนใหม่ยังไม่เกิดผลในการดีทุกอย่าง เขาอาจจะยังไม่รับผิดชอบและตระหนักถึงหน้าที่อย่างที่ควรครับ
ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้บอกเราด้วยเช่นกันว่าเรามี “ความทรหดอดทน และมีความอดทนในทุกสิ่ง พร้อมทั้งมีความยินดี” คนที่รักษาความชื่นชมยินดีแบบคริสเตียนขณะที่รับใช้และทนทานเอาไว้ได้นั้นก็ได้รับความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณมากขึ้น
สรุปเกี่ยวกับคำอธิษฐานของเปาโล
คำอธิษฐานของเปาโลสำหรับคริสเตียนใหม่บอกเราเกี่ยวกับงานแห่งการสร้างสาวก เราควรมีเป้าหมายที่ถูกต้องสำหรับการพัฒนาของผู้เชื่อ เราควรสำนึกถึงความคืบหน้าได้ เราไม่ควรแปลกใจที่เห็นความไม่คงเส้นคงวาต่างๆ ความเข้าใจผิดต่างๆ และความไม่รับผิดชอบในคริสเตียนใหม่ เราไม่ควรคาดหวังว่าคุณลักษณะของคริสเตียนทั้งหมดจะเกิดขึ้นทันที
เราควรสังเกตว่าเปาโลไม่ได้เป็นห่วงมากที่สุดเกี่ยวกับการอบรมพันธกิจหรือการพัฒนาด้านทักษะพันธกิจของพวกเขา ท่านเป็นห่วงมากที่สุดเกี่ยวกับการพัฒนาความเชื่อและอุปนิสัยแบบคริสเตียน เราไม่ควรพอใจกับคนที่ทำงานพันธกิจเป็นแต่ขาดอุปนิสัยแบบคริสเตียนครับ
ครูมีความสำคัญเนื่องจากตัวอย่างของครูและเนื่องจากคุณค่าแห่งข้อมูล การเรียนรู้เน้นเป็นสิ่งหนึ่งในสองสิ่งที่ถูกเน้นในคำอธิษฐานข้างต้น ความรู้เกี่ยวข้องในขั้นตอนฝ่ายวิญญาณ ครูมีผลกระทบอันยิ่งใหญ่ผ่านการใช้ความจริง
เราควรอธิษฐานคำอธิษฐานของเปาโลสำหรับคริสเตียนใหม่ที่เราจะมีอิทธิพล เราควรร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อช่วยให้ขั้นตอนเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขาครับ
คำอธิษฐานต่อไปนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำอธิษฐานของเปาโลสำหรับคริสเตียนใหม่
คำอธิษฐานสำหรับคริสเตียนใหม่
พระบิดาในสวรรค์
ข้าพระองค์อธิษฐานเผื่อ ___________ ที่พระเจ้าจะทรงชำระเขาให้สะอาดโดยสมบูรณ์ ข้าพระองค์อธิษฐานที่เขาจะบริสุทธิ์ในการกระทำ ท่าที และแรงจูงใจต่างๆของเขา
โปรดช่วยให้ความรักของเขาที่มีต่อพระองค์เพิ่มพูนเพื่อเขาจะเข้าใจมากขึ้นว่าน้ำพระทัยอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ที่มีต่อเขาคืออะไร โปรดช่วยเขาแยกแยะสิ่งที่ดีที่สุดและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเสมอเพื่อจะชีวิตของเขาจะเกิดผลเพื่อพระสิริของพระองค์
โปรดช่วยเขาให้ใช้ชีวิตอย่างคริสเตียนคือทำให้พระองค์พอพระทัยในทุกๆอย่างและเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับวิถีของพระองค์ โปรดช่วยเขาให้ได้รับกำลังจากพระองค์เพื่อเขาจะใช้ชีวิตอย่างมีชัยชนะและทนทานต่อการทดสอบด้วยความชื่นชมยินดีได้ ขอให้เขากตัญญูต่อพระคุณที่พระองค์ประทานให้เสมอ
อาเมน
4. บทนำสู่ชุดบทเรียน
บทนำสู่ชุดบทเรียน
บทเรียนต่างๆได้รับการออกแบบให้ใช้ในกลุ่มผู้เชื่อใหม่หรือผู้เชื่อที่สนใจที่จะเติบโตฝ่ายวิญญาณ บทเรียนต่างๆสอนได้ง่ายมีคำถามสำหรับการอภิปรายเตรียมไว้ ในระหว่างบทเรียนควรมีการอภิปรายให้มากแล้วจึงมีการแบ่งปันส่วนตัวที่ตอนท้าย
ในการเตรียมตัวสำหรับการพบปะแต่ละครั้งนั้นผู้นำควรอ่านบทเรียนหลายๆ รอบเพื่อให้แน่ใจว่าเข้าใจแนวคิดและความสำคัญของแนวคิด เขาควรเตรียมตัวเพื่อจะเริ่มเวลาแบ่งปันโดยเริ่มแบ่งปันจากประสบการณ์ของเขาเอง เขาควรพิจารณาวิธีที่จะตอบคำถามแบ่งปันต่างๆในตอนท้ายของแต่ละบท ระดับควา
มลึกที่เขาแบ่งปันกำหนดระดับความลึกที่คนอื่นแบ่งปันครับ
แบบบทเรียน
เนื้อความสำหรับผู้นำแสดงบทเรียนเต็มรวมทั้งข้อมูลการสอน ประเด็นการอภิปราย และเนื้อความพระคัมภีร์ เนื้อความสำหรับนักศึกษารวมประเด็นสำคัญที่สุดจากแต่ละบทเรียนเท่านั้น
ในข้อมูลของผู้นำ สัญลักษณ์ ► บ่งชี้คำถามอภิปรายหรือพระคัมภีร์ที่ต้องอ่าน ในกรณีคำถามอภิปรายผู้นำควรรอการตอบสนองต่างๆหลังจากถามคำถามเสียก่อนแทนที่จะให้คำตอบทันที การตอบสนองต่างๆมักช่วยเตรียมข้อมูลที่จะตามมา
ผู้เข้าร่วมแต่ละคนควรใช้พระคัมภีร์ของตัวเองระหว่างบทเรียน ข้อพระคัมภีร์ส่วนใหญ่ของบทเรียนพิมพ์อยู่ในข้อมูลของผู้นำแต่ไม่อยู่ในหน้าของนักศึกษา ผู้นำควรถามบางคนให้หาข้อพระคัมภีร์แล้วอ่านออกเสียง เขาอาจรักษาเวลาเป็นครั้งคราวด้วยการอ่านข้อพระคัมภีร์ด้วยตัวเองจากบันทึกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ใช้พระคัมภีร์หลายข้อแต่เขาไม่ควรอ่านเองบ่อยๆ การให้นักศึกษาค้นหาข้อพระคัมภีร์เป็นการให้พวกเขามีส่วนร่วมอีกทางหนึ่ง ให้พวกเขาฝึกฝนและคุ้นเคยกับพระคัมภีร์ของตัวเองและให้พวกเขาคุ้นเคยกับการเห็นข้อพระคัมภีร์ในบริบท นี่เป็นการค่อยๆสนับสนุนสำนึกว่าพระคัมภีร์เป็นสิทธิอำนาจเด็ดขาดของเราครับ
ส่วนย่อยที่ระบุว่า “สำหรับการแบ่งปันภายในกลุ่ม” มีคำถามต่างๆเพื่อเริ่มการอภิปรายที่ตอนท้ายของบทเรียน การอภิปรายอาจเริ่มได้ง่ายในหลายหัวข้อและอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้คำถามต่างๆ ไม่จำเป็นต้องใช้คำถามทั้งหมด
คำอธิษฐานที่ตอนท้ายของแต่ละบทเรียนช่วยสมาชิกอธิษฐานเพื่อให้ความจริงบรรลุผลในชีวิตของพวกเขา บางคนควรอ่านคำอธิษฐานที่ตอนท้าย สมาชิกควรได้รับการหนุนใจให้ย้อนกลับไปที่คำอธิษฐานนี้ระหว่างสัปดาห์และทำให้คำอธิษฐานนี้เป็นคำอธิษฐานจากใจของพวกเขาจริงๆ
แต่ละบทเรียนจบลงด้วยการบ้าน กลุ่มควรจัดเวลาอภิปรายผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาส่วนตัวของพวกเขาเป็นครั้งคราว
บทเรียนหลายบทกำหนดให้สมาชิกทำพันธสัญญาเจาะจงเพื่อประยุกต์ใช้ความจริงที่ได้เรียนรู้ ผู้นำควรบันทึกพันธสัญญาต่างๆที่ทำและถามสมาชิกภายหลังว่าพวกเขาได้ทำพันธสัญญาให้สำเร็จหรือเปล่าครับ
Ready to Start Learning?
Select a lesson from the sidebar to begin your journey through this course.